สงครามซ้ำเติม ความพยายาม ‘แก้จน’ ย้ำต้นทุนอพยพ-หนี้-สูญรายได้ ภาระหนัก

ย้ำ ครัวเรือนแรงงานรับจ้าง-ค้าขาย เจอผลกระทบหนักสุด น่าห่วงการบริหารจัดการอพยพไม่สมบูรณ์ ชาวบ้านต้องอพยพกันเอง ผลักประชาชนใช้เงินเอาชีวิตรอด สวนทางหนี้พอกพูน เกษตรกรเสียฤดูเก็บเกี่ยว ติดหนี้นอกระบบ หวั่นเสี่ยงจนยาวข้ามปี แนะ หยุดยิง!! ทำได้ทันที หากทุกฝ่ายจริงใจ พร้อมเสนอเยียวยา ‘สูญเสียโอกาสดำรงชีวิต’ ช่วยพยุงสมดุลรายรับรายจ่ายครัวเรือน

วันนี้ (15 ธ.ค. 68) ธวัช มณีผ่อง ประธานหลักสูตรนวัตกรรมการพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ให้สัมภาษณ์ The Active ถึงมุมมองเชิงลึกจาก งานวิจัยความยากจนและการทำงานกับชุมชนชายแดน ว่า เหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อครัวเรือนยากจนในมิติที่ซับซ้อนกว่าที่ปรากฏในตัวเลขทางราชการ พร้อมยืนยันว่าการหยุดยิงทำได้ทันที หากผู้มีอำนาจทางการเมืองและความมั่นคงมีความจริงใจ

ความยากจนในระดับชีวิตจริง ซับซ้อนกว่าฐานข้อมูล

ธวัช อธิบายว่า แม้ครัวเรือนยากจนจำนวนมากจะถูกนับในฐานข้อมูลความยากจนของรัฐ เช่น TP MAP แต่เมื่อเข้าไปดูในระดับชีวิตจริง จะพบว่าความยากจนไม่ได้มีแค่เรื่องรายได้ต่ำ หากแต่เต็มไปด้วยรายละเอียดของการประคองชีวิต ทั้งภาระหนี้สิน การจัดการรายรับรายจ่าย และการประนีประนอมภายในครัวเรือน

“ช่วงโควิด เราเห็นชัดว่าลูกหลานที่เคยออกไปทำงานต้องย้อนกลับมาขอเงินจากบ้านเพื่อเลี้ยงดูผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นภาพที่สวนทางกับโครงสร้างเศรษฐกิจปกติ และสถานการณ์ใน 5-6 จังหวัดชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบในครั้งนี้ กำลังเผชิญภาวะคล้ายกัน”

ธวัช มณีผ่อง

อพยพซ้ำซาก ชาวบ้านแบกรับต้นทุนเอง

สำหรับการอพยพประชาชนที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่ครั้งก่อนที่มีผู้ได้รับผลกระทบหลายแสนคน จนถึงครั้งล่าสุดที่มีการประเมินว่ามีผู้ต้องอพยพราว 4 แสนคนนั้น ธวัช ย้ำว่าถือเป็นผลกระทบโดยตรงต่อครัวเรือน โดยเฉพาะเมื่อการบริหารจัดการอพยพในทางปฏิบัติยังไม่สมบูรณ์ หลายครัวเรือนจำเป็นต้องอพยพกันเอง ใช้เงินสดที่มีอยู่อย่างจำกัดเป็นต้นทุนในการเอาชีวิตรอด

“การบอกว่าให้อพยพก่อน รักษาชีวิตไว้ก่อน ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน เป็นการจัดการในระดับมหภาค แต่ในระดับครัวเรือน รายละเอียดมันยุ่งยากมาก เงินในกระเป๋าที่มีอยู่ถูกใช้ไปกับการอพยพทันที”

ธวัช มณีผ่อง

แรงงานรับจ้าง-ค้าขาย รายได้หาย 100% รายจ่ายพุ่ง

จากการพูดคุยกับนักศึกษาและครูในพื้นที่ พบว่า ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดคือ กลุ่มแรงงานรับจ้างและค้าขาย เนื่องจากรายได้หายไปเกือบ 100% ในทันที ขณะที่รายจ่ายกลับเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ทั้งค่าเดินทาง ค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายในการดูแลสมาชิกครอบครัว

ส่วนมาตรการเยียวยาที่ผ่านมา เช่น การจ่ายเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 5,000 บาท ธวัช มองว่า ยังไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง เพราะยึดตามทะเบียนบ้าน โดยไม่คำนึงถึงจำนวนครัวเรือนย่อยหรือโครงสร้างอาชีพของสมาชิกในบ้าน

“การขาดรายได้แค่ 5-15 วัน สำหรับครัวเรือนยากจน มันไม่ใช่ผลกระทบระยะสั้น แต่มันจะลากยาว เพราะมีหนี้ มีการลงทุนที่ทำไปแล้วแต่ไม่ได้ผลตอบแทน การขาดทุนระดับหลักร้อยหรือหลักพันบาทสำหรับชาวบ้าน ฟื้นฟูยากมาก และอาจยืดไปจนถึงปลายปีหรือข้ามปี

ธวัช มณีผ่อง

เกษตรกรเสี่ยงสูญเสียผลผลิต-ติดหนี้นอกระบบ

ในกรณีของเกษตรกร ธวัช ประเมินว่า แม้จะได้รับผลกระทบน้อยกว่ากลุ่มรับจ้างและค้าขาย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะหากเหตุปะทะเกิดขึ้นในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว เช่น การกรีดยางที่ต้องทำทุกวัน หรือพืชผลที่ไม่สามารถทิ้งไว้ได้ ประกอบกับภาระหนี้สินจาก ธ.ก.ส. และการเข้าถึงแหล่งทุนในระบบที่จำกัด ทำให้หลายครัวเรือนต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบ

“จากประสบการณ์ทำวิจัยเรื่องความยากจน 3-4 ปี ผมประเมินว่าผลกระทบจากเหตุปะทะครั้งนี้ สำหรับบางครัวเรือน อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปี หรือมากกว่านั้นกว่าจะคลี่คลายได้”

ธวัช มณีผ่อง

“เอาให้จบ” หมายถึงสันติภาพ ไม่ใช่ชัยชนะทางทหาร

เมื่อถามถึงเสียงสะท้อนร่วมของชาวบ้าน ธวัช ระบุว่า ประโยคที่พบเห็นบ่อยในโซเชียลมีเดียคือคำว่า “เอาให้จบ” ซึ่งสำหรับชาวบ้านไม่ได้หมายถึงการเอาชนะทางทหาร แต่หมายถึงการยุติการสู้รบและการอพยพซ้ำซาก เพราะทุกครั้งที่เกิดเหตุ ชีวิตของพวกเขาจะจนลงกว่าเดิม

ทั้งยังย้ำว่า หน้าที่ในการสร้างความชัดเจนและความเชื่อมั่นเป็นของรัฐ พร้อมเสนอว่า การหยุดยิงโดยทันทีคือสิ่งจำเป็น เพราะชาวบ้านจำนวนมากไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมีเหตุผลอะไร ขณะที่ต้นทุนทางเศรษฐกิจ ชีวิต การศึกษา และความสัมพันธ์ทางสังคม กลับตกอยู่กับประชาชนในพื้นที่โดยตรง

“ในฐานะนักวิชาการและคนในท้องถิ่น เราหาความชอบธรรมไม่เจอเลยว่า การสู้รบที่ทำให้เกิดการสูญเสียทั้งสองฝ่ายนั้น เพื่ออะไร สิ่งที่ควรเกิดขึ้นมากที่สุดคือการหยุดยิง เพื่อไม่ให้ความยากจนและความสูญเสียของชาวบ้านยืดเยื้อไปมากกว่านี้”

ธวัช มณีผ่อง

นักวิชาการ ยังเห็นว่า การหยุดยิงในสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จำเป็นต้องเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งสองฝ่าย และสามารถทำได้ทันที หากผู้มีอำนาจตัดสินใจทางการเมืองและความมั่นคงมีความจริงใจมากพอ

โดยแนวคิดสันติวิธีในบริบทร่วมสมัยไม่ใช่การเสียสละชีวิต หรือการต่อต้านอย่างถึงที่สุดดังในอดีต หากแต่หมายถึง “การเจรจา” บนพื้นฐานเหตุผลและผลประโยชน์ร่วม

“สันติวิธีสำหรับยุคสมัยนี้ ไม่ใช่อหิงสาแบบเอาชีวิตเข้าแลก เพราะประสบการณ์ในช่วง 1-2 ทศวรรษที่ผ่านมา เราเห็นชัดว่ามันไม่คุ้มกับการสูญเสียชีวิต แต่สันติวิธีที่เป็นไปได้จริงคือการเจรจา”

ธวัช มณีผ่อง

เทคนิคแก้ได้ แต่ติดประวัติศาสตร์บาดแผล-ชาตินิยม

ธวัช ยังมองว่า หากพิจารณาในเชิงเทคนิค ความขัดแย้งด้านพรมแดนและแผนที่ เช่น ความแตกต่างระหว่างแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 และ 1:200,000 ไม่ใช่ปัญหาที่ยากเกินจะแก้ไข หากมีการพูดคุยกันอย่างจริงจัง ทว่าอุปสรรคสำคัญกลับอยู่ที่มิติทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และอคติที่ถูกกระพือซ้ำในสังคม โดยเฉพาะผ่านโซเชียลมีเดีย

“สิ่งที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วนคือการกำกับการยั่วยุ การดูหมิ่นชาติ และอคติในโลกออนไลน์ เพราะสิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผู้คนอย่างมาก และทำให้การเจรจายากขึ้นเรื่อย ๆ”

ธวัช มณีผ่อง

พร้อมยกตัวอย่างกรณีการรณรงค์หยุดยิงในบางพื้นที่ ที่แม้จะมีประชาชนออกมาแสดงจุดยืนเพื่อสันติภาพ แต่ขณะเดียวกันก็ถูกตอบโต้ด้วยกระแสเรียกร้องให้ “สู้ให้ถึงที่สุด” สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยยังให้ความสำคัญกับอารมณ์ ความรู้สึก และชาตินิยม มากกว่าการวิเคราะห์ที่มาที่ไปของความขัดแย้งอย่างรอบด้าน

“เราเป็นสังคมพุทธ แต่เราแทบไม่เคยตั้งคำถามว่าเหตุแห่งทุกข์คืออะไร อารมณ์ความรู้สึกที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยอุดมการณ์ชาตินิยม กลับนำสังคมไปสู่ความชอบธรรมของสงคราม โดยที่คนตัวเล็กตัวน้อยต้องแบกรับผลกระทบโดยไม่รู้ตัว”

ธวัช มณีผ่อง

ธวัช มณีผ่อง ประธานหลักสูตรนวัตกรรมการพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

บทเรียนจาก “พื้นที่สีแดง” เตือนผลกระทบยาวนาน

เมื่อพูดถึงการฟื้นฟูชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ธวัช เชื่อมโยงกับบทเรียนจากงานวิจัยเกี่ยวกับ “พื้นที่สีแดง” ในยุคสงครามเย็น ซึ่งนโยบายปราบปรามคอมมิวนิสต์ส่งผลกระทบต่อชุมชนยาวนานหลายทศวรรษ ทั้งการอพยพ การสูญเสียที่ดินทำกิน และการถูกประกาศเขตอุทยานทับพื้นที่ชุมชน

“บางชุมชนต้องใช้เวลา 10-20 ปี เพื่อเรียกร้องสิทธิในการกลับเข้าไปทำกิน ทั้งที่ต้นตอของปัญหาไม่ได้เกิดจากพวกเขา เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีเขื่อนปากมูล ที่ผ่านมากว่า 30 ปี ยังมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้รับการชดเชยการสูญเสียอาชีพอย่างเป็นธรรม

เสนอเยียวยา “การสูญเสียโอกาสดำรงชีวิต” ด้วยตัวเงิน

ธวัช ยังมองว่า เหตุปะทะชายแดนในปัจจุบัน แม้จะไม่ยืดเยื้อยาวนานเช่นกรณีในอดีต แต่รัฐจำเป็นต้องชดเชยเยียวยา “การสูญเสียโอกาสในการดำรงชีวิต” โดยเฉพาะการขาดรายได้ของประชาชนที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่ ทั้งที่พวกเขาไม่ใช่ผู้ก่อสงคราม

สำหรับรูปแบบการเยียวยา ก็เสนอว่า ในกรณีความขัดแย้งครั้งนี้ ควรเป็นการชดเชยในรูปแบบตัวเงิน เพื่อพยุงสมดุลรายรับรายจ่ายของครัวเรือน เนื่องจากประชาชนยังมีอาชีพเดิมอยู่ เพียงแต่ไม่สามารถประกอบอาชีพได้อย่างต่อเนื่อง

“คนในศูนย์อพยพบอกว่า มีข้าวกินก็ดีแล้ว แต่ค่าใช้จ่ายอื่นยังมี ทั้งค่ายา ของใช้จำเป็น นม ผ้าอนามัย สิ่งเหล่านี้ไม่ได้แจกครบทั้งหมด ที่บ้านเขาก็ต้องซื้อ แต่ต่างกันตรงที่ก่อนหน้านี้ยังมีรายได้เข้ามา”

ธวัช มณีผ่อง

นักวิชาการยังเตือนว่า หากรัฐมีนโยบายแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างจริงจัง ครัวเรือนยากจนจำนวนมากยังสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตได้ แต่สงครามเปรียบเสมือน “อุปสรรคเชิงระนาบ” ที่เข้ามาแทรกกลางความพยายามเดิม ทำให้ภาระหนักหน่วงขึ้นกว่าเดิม

สงคราม “จบยาก” เพราะเศรษฐกิจ-การเมือง-ประวัติศาสตร์

ในตอนท้าย ธวัช ยังวิเคราะห์อีกว่า สงครามครั้งนี้มีแนวโน้ม “จบยาก” เนื่องจากมีปัจจัยหนุนอย่างน้อย 2 ประการ คือ

  • ปัจจัยทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการช่วงชิงทรัพยากร

  • ปัจจัยทางการเมืองภายในของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งชาตินิยมถูกนำมาใช้สร้างความชอบธรรมและคะแนนนิยมให้กับผู้นำ

ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งยังถูกหล่อเลี้ยงด้วย “ประวัติศาสตร์บาดแผล” และการรับรู้ทางวัฒนธรรมที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน จนก่อให้เกิดอคติและความเกลียดชังระหว่างประชาชน

“ชาวบ้านพูดว่า เอาให้จบ แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ คือสันติภาพ คือการได้ชีวิตของตัวเองคืน ไม่ต้องอพยพ ไม่ต้องสูญเสียรายได้ ไม่ต้องอยู่กับความกลัวอีก”

ธวัช มณีผ่อง

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active