อยู่ระหว่างตรวจสอบเพิ่มอีก 8 จุด หากพบรุกล้ำดำเนินคดีอาญาทันที ส่วนกรณีพิพาทที่ดินโรงเรียนบ้านเกาะหลีเป๊ะ ให้กรมธนารักษ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้พิกัดให้ชัดก่อนตรวจสอบ พร้อมย้ำต้องเร่งแก้ปัญหาชาวเล ทั้งปมที่อยู่อาศัยและการถูกดำเนินคดีบุกรุกในพื้นที่พิพาทเอกชน
วันนี้ ( 22 ม.ค. 2566 ) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชุมชนชาวเล เกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล ลงพื้นที่เกาะหลีเป๊ะตั้งแต่เวลา 11.00 น. โดยได้ประชุมและลงพื้นที่พิพาท รังวัดแนวเส้นที่ดินแปลง น.ส.3 เลขที่ 11 ทั้งหมด ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ และกรมอุทยานฯ ได้สำรวจพื้นที่ไว้เบื้องต้นหมดแล้ว พร้อมทั้งนำภาพถ่ายทางอากาศให้ผู้เชี่ยวชาญ และนักกฎหมายดูไว้ก่อนหน้าแล้ว แต่ในการจะดำเนินคดีอาญาเพื่อบังคับใช้กฎหมาย พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ บอกว่า ต้องเอาทุกภาคส่วนมาร่วมกัน ทั้งกรมที่ดิน กรมอุทยานฯ และดีเอสไอ
จากการตรวจสอบการรังวัดพื้นที่ พบ 2 จุด ที่มีการรุกล้ำพื้นที่ ก็คือบริเวณพื้นที่ของหัวเกาะ รวมถึงสระว่ายน้ำ ในโรงแรมแห่งหนึ่ง ที่รุกล้ำที่ดินของกรมอุทยานฯ ดังนั้นจึงเตรียมดำเนินคดี โดยกรมอุทยานฯ จะร้องทุกข์ดำเนินคดีกับเจ้าของพื้นที่ที่บุกรุก ซึ่งวันนี้ก็จะดำเนินคดีอาญากับพนักงานสอบสวนท้องที่ คือผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสตูล
และอีกส่วนหลังจากนี้ จะไปสำรวจเพื่อยืนยันให้ตรงกันระหว่างกรมที่ดินกับกรมอุทยานฯ ทั้งหมดอีก 8 จุด เพราะฉะนั้นจะครอบคลุมหมดในส่วนของพื้นที่ที่เป็นข้อพิพาทที่ดินในจำนวน 80 ไร่ ถ้าพบการกระทำผิดรุกล้ำเพิ่มเติม จะดำเนินการเอาผิดต่อ
“ 8 จุดนี้ พบข้อสงสัยเลย เดี๋ยวทำต่อเลย คือกรมที่ดิน กรมอุทยานฯ มาชี้ตรงกัน เมื่อตรงกันแล้วความจริงจะปรากฎ เพราะเดิมแนวเขตบางจุดยังไม่ตรงกัน เดี๋ยวมาวัดใหม่ ใช้เครื่องมือวัดไม่โกหกใคร ตามหลักวิทยาศาสตร์ และเดี๋ยวไล่ดูกัน ถ้าผิดดำเนินการได้เลยในการเพิกถอนพื้นที่ ส่วนนี้ได้คุยกับท่านรองอธิบดีกรมที่ดิน และข้อมูลดีเอสไอทำมาชัดเจน เหลือข้อมูลกรมอุทยานฯ กับที่ดินวันนี้ เมื่อได้ข้อมูลเชิงประจักษ์สองส่วน ก็จะทำข้อมูลส่งให้ อธิบดีกรมที่ดิน มาดูร่วมกัน “
พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ยังยืนยันว่า นอกจากการดำเนินคดีอาญา เมื่อตรวจสอบที่ดินทั้งหมดและพบการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบ จะให้กรมที่ดินดำเนินการให้มีการเพิกถอนที่ดิน ตามมาตรา 61 / 1 ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่า เป็นอำนาจของอธิบดีกรมที่ดินเพียงผู้เดียวที่เพิกถอนเอกสารได้ อันนี้ไม่ต้องกังวลใจ เพราะได้กำชับทุกกรมแล้ว ถ้าใครไม่ทำตามกฎหมาย ก็ต้องมีความผิดตามมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ส่งต่อไป ปปช.
ส่วนบริเวณข้อพิพาทที่ดินโรงเรียน ที่มีการทำรั้วปิดกั้นทางเข้าออก ตรงนั้นเป็นพื้นที่ของกรมธนารักษ์ ขณะนี้กำลังให้กรมธนารักษ์เอาเครื่องมือพิเศษมาไล่ดู แล้วขึงจุดทั้ง 4 จุด เพราะฉะนั้นส่วนของธนารักษ์วันนี้ก็จะจบ เมื่อเสร็จวันนี้กรมธนารักษ์ก็จะบอก ได้เลยว่าใครบุกรุกใคร เพราะฉะนั้นวันนี้ความจริงจะปรากฎในส่วนของโรงเรียน
พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเรื่องของที่ดินวันนี้ที่มีปัญหา รวมถึงที่ศาลฎีกา มีคำพิพากษาแล้ว ในสัปดาห์ต่อไป ก็จะเอากรมบังคับคดี และกรมอุทยานฯ ลงมาไล่ชี้จุด เพื่อจะบังคับคดีให้ออกนอกพื้นที่ ไม่ให้ทำกินในพื้นที่ที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้ว เพราะฉะนั้นจะมีอยู่ 15 แห่ง ส่วนเรื่องคดีความต่างๆที่อยู่ที่ศาลตอนนี้ เดี่ยวผมกลับไป ก็จะเอาคดีความทั้งหมดมาไล่เรียงดู และมอบหมายเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และมาไล่เรียงดูว่าคดีความนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ใครผิดใครถูกยังไง เพราะฉะนั้นวันนี้จากการลงพื้นที่ร่วมกันหลายหน่วย ได้ความจริงมาพอสมควร ในส่วนคณะทำงาน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมาย วันนี้เราบูรณาการกันทุกกรม เพราะฉะนั้นขอให้ทุกท่านรวมถึงชาวเล ภาคธุรกิจไม่ต้องกังวลใจ ทุกส่วนจะได้รับความเป็นธรรม และจะได้ความจริง ส่วนเรื่องคดีความต่างๆของชาวเลก็จะไปไล่ดูให้ ไล่เรียงทุกคดีประมาณ 40 คดี เพื่อแก้ปัญหา
“ กรณีชาวเลมีปัญหาที่อยู่อาศัยและโดนคดีบุกรุกที่เอกชน ตรงนี้จะแก้ปัญหาแน่นอน แต่การจะไปสู่ตรงนั้นต้องได้หลักก่อน ต้องพิสูจน์ก่อนใครบุกรุกใคร พอหลักได้ กระดุมเม็ดแรกติดถูก ต่อไปก็เดินง่าย “
ส่วนการประชุมในวันที่ 24 ม.ค.นี้ จะเป็นการประชุมเพื่อสรุปและเชิญอธิบดีกรมบังคับคดีมาเพื่อรับรู้และดำเนินการขับไล่ เมื่อประชุมเสร็จก็จะทำการขับไล่ผู้บุกรุกพื้นที่ให้ออกไปจากพื้นที่ของหลวง พร้อมทั้งยังกล่าวต่อว่าการดำเนินการในครั้งนี้ไม่ยาก เพราะทุกอย่างมีหลักเกณฑ์และกฎหมายอยู่แล้ว จึงทำให้ทางคณะกรรมการสามารถดำเนินการได้ง่าย