กมธ.สันติภาพฯ เชื่อปิดกั้นเสรีภาพ ปิดพื้นที่แสดงออกทางการเมือง เอื้อให้ความรุนแรงเปิดฉากหนักขึ้น ขณะที่ นักสันติวิธี วิเคราะห์ กระบวนการเจรจาสันติภาพไม่ขยับ รัฐบาลไร้เจตจำนงชัดเจน ตัวเร่งปัจจัยความไม่สงบ ชี้ บทบาท ‘ทักษิณ’ ถูกมองไร้ความชอบธรรม ดับไฟใต้
จากกรณีการก่อเหตุความรุนแรงหลายจุดในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ทั้งยิง และคาร์บอม บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บ 11 คน รวมทั้งเหตุระเบิด และลอบยิงเจ้าหน้าที่ทหารพรานในพื้นที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 คนบาดเจ็บ 1 คน
เจตจำนงทางการเมือง ตัวชี้วัดความไม่สงบ ?
ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ อาจารย์ประจำสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นกับ The Active โดยตั้งข้อสังเกตว่า เหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นบ่อยในช่วงนี้ อาจเป็นการส่งสัญญาณต่อกระบวนการเจรจาสันติภาพที่หยุดชะงัก เช่นเดียวกับ เจตจำนงทางการเมือง ก็เป็นตัวชี้วัดสำคัญ ว่าที่ผ่านมารัฐไทยมีเจตจำนงมากน้อยแค่ไหนกับการแก้ปัญหาชายแดนใต้

ทั้งนี้กระบวนการสร้างสันติภาพมีหลายเครื่องมือ มีหลายองค์ประกอบ ซึ่งการลงนามพูดคุยแก้ปัญหาความไม่สงบ ในช่วงรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2556 ถือเป็นหนึ่งเครื่องมือในอีกหลายมิติ แต่ใจความสำคัญที่จะทำให้เห็นการแก้ปัญหาได้จริง ๆ คือ ต้องแก้ที่รากเหง้าความรุนแรง ความขัดแย้ง การจัดการโครงสร้างอำนาจรัฐ การกระจายอำนาจ การทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ ยอมรับในอัตลักษณ์ แก้ปัญหาเรื่องการศึกษา สังคม นิยามการแก้ไขปัญหาในสายตาของหน่วยงานความมั่นคง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ คือ องค์ประกอบ ที่ต้องมีเครื่องมือแต่ละชนิดเพื่อนำมาปรับใช้สู่การแก้ไขปัญหา แต่การพูดคุยเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญ คือ ถ้าไม่มีสิ่งนี้ การแก้ไขปัญหาก็จะไร้ทิศทาง
“รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เห็นชอบให้ลงนามพูดคุยสันติภาพ มี พล.ท. ภราดร พัฒนถาบุตร มาทำหน้าที่ ก็ถือเป็นความชอบธรรมระดับหนึ่ง แต่ทำได้ไม่ต่อเนื่อง เมื่อเกิดรัฐประหาร การเจรจาพูดคุยสันติภาพถูกโยนกลับไปอยู่ในมือของฝ่ายความมั่นคง มีทหารเป็นหัวหน้าคณะพูดคุย ถามว่าเกิดความชอบธรรมของกระบวนการนี้หรือไม่ เพราะปัญหาชายแดนใต้ ต้องยอมรับว่า เป็นปัญหาทางการเมือง แต่ใช้นิยามการทหาร ความมั่นคงมาแก้โดยตลอด ซึ่งถือว่าผิดที่ผิดทาง จะแก้ให้ได้ผล คือ รัฐบาลพลเรือนต้องมีเจตจำนง มองเห็นคนชายแดนใต้ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ ต้องเห็นรากเหง้าปัญหา ว่ามาจากการถูกกดขี่ กดทับ ถ้าเอานิยามฝ่ายความมั่นคงมานำ แล้วเอาพลเรือนแค่มานับอยู่ในกระบวนการให้ครบถ้วนเท่านั้น จึงไม่อาจถือเป็นความชอบธรรมในกระบวนการสันติภาพ เพราะมองอีกฝ่ายเป็นกลุ่มที่จะแบ่งแยก เป็นภัยความมั่นคง ทั้งที่จริง ๆ เขาอาจแค่ต้องการต่อสู้ให้รัฐเห็นคุณค่าความเป็นคน แต่รัฐเป็นคนไปผลักเขาออก อันนี้คือรากเหง้าที่ต้องแก้ให้ตรงจุด”
ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์
‘ทักษิณ’ ความชอบธรรมในกระบวนการสันติภาพ ที่ยังเป็นคำถาม
ขณะเดียวกันก็ต้องตั้งคำถามต่อความชอบธรรมในตัวบุคคลด้วย โดย ผศ.พัทธ์ธีรา ระบุถึง กรณีของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งปัจจุบันแม้อยู่ในบทบาทของที่ปรึกษา อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลยเซีย และเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้ลงพื้นที่ชายแดนใต้ พร้อมระบุว่าจะเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาให้จบภายในรัฐบาลนี้ ก็ต้องตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของ อดีตนายกฯ ทักษิณ ด้วย เพราะแม้ อดีตนายกฯ ทักษิณ จะเป็นที่ปรึกษาของนายกฯ มาเลเซีย และมาเลเซียเองก็อยู่ในสถานะของผู้อำนวยความสะดวกในกระบวนการพูดคุยสันติภาพ แต่จะมีความชอบธรรมอยู่หรือไม่นั้น ก็เป็นที่รับรู้กันทั่วไปตั้งแต่การกลับมาประเทศไทยของอดีตนายกฯ ทักษิณ คราวนี้ ก็ถูกตั้งคำถามเรื่องความชอบธรรม และยังมีปัญหาความยุติธรรมในพื้นที่ชายแดนใต้ สืบเนื่องมาจากปมปัญหากรณีการขาดอายุความของคดีตากใบ ที่ถูกทวงถามถึงความชอบธรรม ความเป็นธรรม และความยุติธรรม

“ส่วนตัวมองว่า อย่าปรามาสสังคมไทย และสังคมชายแดนใต้ ว่า จะเห็นดีเห็นงามกับคนที่ละเมิดเรื่องความยุติธรรม แม้จะเข้ามาเสนอความเห็นเพื่อจะแก้ไขปัญหา แต่ปัญหาใหญ่คือความชอบธรรมมากกว่า ก็ต้องยอมรับความจริง ว่า สังคมไทยมีปัญหาความชอบธรรมมาหลายปี ขณะที่การลงไปที่ชายแดนใต้ของ อดีตนายกฯ ทักษิณ เอาเข้าจริง ๆ นักรัฐศาสตร์ มองว่า ก็เป็นเรื่องดี น่าจะทำให้การเมือง รัฐบาลไทยตื่นตัว และหันมาให้ความสำคัญกับปัญหาชายแดนใต้มากขึ้น กลับมาพูดคุยสันติภาพมากขึ้น แต่ปรากฎว่า ยังมองไม่เห็นทิศทางที่ชัดเจนขนาดนั้น นายกฯ แพทองธาร เองก็ดูเหมือนว่าไม่ได้ประสีประสาอะไรกับเรื่องนี้ ไม่ได้มีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน ไม่ได้ใช้โอกาสที่คุณพ่อได้ลงไปช่วย ทำให้กระบวนการพูดคุยสันติภาพกลับมาชัดเจนได้ พอเป็นแบบนี้ก็คิดว่า ยิ่งลำบากเพราะมองไม่เห็นทิศทางอะไรเลย”
ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์
ผศ.พัทธ์ธีรา ยังย้ำว่า การแก้ปัญหาชายแดนใต้นับจากนี้จึงเป็นสิ่งท้าทายอย่างมาก เพราะการแก้ปัญหาชายแดนใต้ คือ ส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาความชอบธรรม ความยุติธรรมในสังคมด้วย โดยรัฐบาลเองก็ยังขาดเจตจำนงที่ชัดเจน ทั้งที่มีกลไก กรรมาธิการสันติภาพชายแดนใต้ ซึ่งเกิดขึ้นในรัฐบาลเพื่อไทย และประธานกรรมาธิการ จาตุรนต์ ฉายแสง ก็เป็นคนของเพื่อไทย ดังนั้นรัฐบาลควรต้องใช้โอกาสนี้แสดงความจริงจัง จริงใจที่จะแก้ปัญหาเพื่อลบล้างในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดในช่วงปี 2547 แต่เท่าที่ดูข้อมูลเวลานี้ก็ยังไม่เห็นข้อเสนอที่ชัดเจนจากกรรมาธิการชุดนี้ สิ่งนี้จึงย้อนกลับไปที่เจตจำนงของรัฐบาล ที่ยังไม่ได้ให้น้ำหนักมากพอ
ภาคประชาชนกับข้อเสนอดับไฟใต้ ที่ไม่เคยถูกตอบสนอง
นอกจากกลไกการแก้ปัญหาโดยบทบาททางการเมืองผ่านกรรมาธิการแล้ว อีกปัจจัยสำคัญคือ การมีภาคประชาสังคม ภาคประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้ที่ตื่นตัวและเปิดพื้นที่พูดคุยกันมาโดยตลอด ทั้งระดมความเห็นเพื่อช่วยรัฐบาลไทยแก้ปัญหา จัดเวทีเสวนา ถอดบทเรียน ข้อสรุปต่าง ๆ เฉพาะประเด็นโครงสร้างอำนาจ การปรับโครงสร้างอำนาจรัฐ การกระจายอำนาจ การออกแบบให้คนในพื้นที่ได้คลายความอึดอัด ก็เกิดขึ้นไม่น้อยกว่า 200 – 300 เวที มีผล มีข้อสรุปออกมาเยอะมาก ถึงขั้นมี 6 – 7 โมเดลการแก้ปัญหา ล่าสุดเมื่อมีข้อตกลง JCPP ในพื้นที่ก็จัดเวทีพูดคุย รวบรวมข้อเสนอส่งถึงรัฐบาล นำเอาข้อเสนอชุมชนในพื้นที่ขึ้นมาสู่การแก้ปัญหา ที่สำคัญคือการมีกรรมาธิการสันติภาพชายแดนใต้ ซึ่งหลายฝ่ายก็อยากให้ตั้งคณะทำงานแก้ปัญหาชายแดนใต้ขึ้นมาให้เป็นรูปธรรม แต่รัฐก็ไม่เคยตอบสนองต่อข้อเรียกร้องใด ๆ
“คนในพื้นที่มีเยอะมากที่พร้อม และอยากจะช่วยรัฐบาลแก้ปัญหา แต่สิ่งแรกที่ต้องถามกลับไป คือ ฝ่ายความมั่นคง หรือ รัฐบาล จะต้องฟังยังไง และจะนำไปปฏิบัติได้หรือเปล่า ไม่ว่าจะแก้ปัญหาเรื่องอัตลักษณ์ กระจายอำนาจ สิทธิเสรีภาพการพูดคุย มีข้อเรียกร้อง ข้อเสนอหมดแล้วจริง ๆ ก็ควรจะหยิบขึ้นมาจัดการสักที”
ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์

(ภาพ : Thai PBS ศูนย์ข่าวภาคใต้ )
จับตาเหตุรุนแรง ตัดไม่ขาดการเมืองส่วนกลาง
ผศ.พัทธ์ธีรา ยังตั้งข้อเกตถึงสถานการณ์ที่ยังเกิดขึ้น โดยส่วนตัวเท่าที่จับสัญญาณหลายครั้ง และเป็นสิ่งที่ผู้คนในพื้นที่วิเคราะห์กัน คือ ความรุนแรงที่ชายแดนใต้ ไม่ได้แยกขาดจากสถานการณ์การเมืองส่วนกลาง ถ้าสังเกตช่วงที่จะแต่งตั้ง โยกย้าย ช่วงใกล้สิ้นปีงบประมาณ ส่วนใหญ่ก็จะเกิดขึ้นเหตุรุนแรงขึ้น
“ต้องทดเอาไว้ด้วยว่ามันมีข้อสังเกตแบบนี้ขึ้น ตอนนี้การเมืองส่วนกลาง มีเรื่องการตรวจสอบ สว. ใกล้จะอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯ ก็มีเหตุรุนแรงขึ้นในพื้นที่ จึงเห็นชัดเจนว่า เหตุการณ์ในพื้นที่ไม่ได้แยกขาดจากการเมืองส่วนกลาง ดังนั้น ปัญหาที่ชายแดนใต้ ไม่ใช่เรื่องเฉพาะชายแดนใต้ แต่เกี่ยวกับส่วนกลาง โดยสังคมไทยต้องช่วยกันจับตา ตรวจสอบ ที่สำคัญกว่านั้น รัฐ และผู้ก่อเหตุ ต้องหยุดใช้ช่วงรอมฎอนเป็นเครื่องมือต่อรองผลประโยชน์ให้กับตนเอง เพราะถ้าเกิดลักษณะนี้ขึ้นจริง ๆ จะถือเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจมาก”
ผศ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์
ปิดพื้นที่ทางการเมือง ความรุนแรงจึงเปิดฉาก
สอดคล้องกับมุมมองของ มะยุ เจ๊ะนะ กรรมาธิการสันติภาพชายแดนใต้ เปิดเผยกับ The Active โดยชี้ข้อสังเกตว่า ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ พื้นที่ทางการเมือง พื้นที่การแสดงออกในชายแดนใต้ ถูกจำกัด ถูกปิดกั้น อย่างมาก ยิ่งพื้นที่ทางการเมืองถูกปิดลงเมื่อไร ผลที่ตามมาคือ สถานการณ์ความรุนแรงก็มักจะเกิดขึ้น เพราะหากย้อนดูสถิติ ตั้งแต่ปี 2556 ที่กลไกการเจรจาสันติภาพดูเป็นรูปเป็นร่าง สถานการณ์ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ แม้ไม่ได้หยุด 100% ก็ตาม แต่เห็นพัฒนาการ เห็นปรากฎการณ์บางอย่าง ที่ทำให้การก่อเหตุลดลง พอมาถึงปัจจุบันที่พื้นที่เจรจาพูดคุยหยุดชะงักไปเลยทำให้สถานการณ์กลับมารุนแรงอีกครั้ง

“เราพยายามบอกว่าถ้าพื้นที่ทางการเมืองยังไม่เปิด ทุกอย่างมันจะสัมพันธ์กันไปหมด ถ้ากิจกรรมในพื้นที่ไม่สามารถทำได้อย่างมีเสรีภาพ ก็แน่นอนว่าความรุนแรงเป็นสิ่งที่จะเข้ามาแทนที่ พอเรื่องนี้ไม่ตอบโจทย์ในพื้นที่ความรุนแรงก็เลยสูงขึ้น อาจไม่ใช่แค่ช่วงรอมฎอนอย่างเดียว ก่อนหน้านี้ก็เกิดขึ้นอยู่แล้ว มันสัมพันธ์กับกระบวนการพูดคุย เมื่อสิ่งนี้ไม่ขยับ เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นเรื่อย ๆ เป็นระยะ”
มะยุ เจ๊ะนะ
กระบวนการสันติภาพ หวังผล แก้โจทย์ระยะยาว
กรรมาธิการสันติภาพชายแดนใต้ ย้ำว่า ไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น แต่ความเชื่อมั่นต่อแนวทางการแก้ปัญหาก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลด้วย แต่อาจเป็นเรื่องยาก ถ้ารัฐยังเชื่อมั่นในแนวทางการใช้รูปแบบกดขี่ การปราบปราม หรือแม้แต่การพาคนกลับบ้าน ซึ่งไม่ตอบโจทย์ ไม่เห็นผล ก็ยังใช้อยู่ จึงแสดงให้เห็นว่าคุณยังไม่มีความเชื่อมั่นต่อกระบวนการแก้ป้ญหาแบบระยะยาว ต้องใช้กระบวนการพูดคุยอย่างจริงจัง เพื่อทำให้ทั้ง 2 ฝ่าย เกิดความเชื่อมั่นกัน ที่จะร่วมกันแก้ปัญหาด้านการศึกษา สังคม เศรษฐกิจ รัฐต้องทำให้เชื่อมั่นได้ว่าทั้งหมดจะถูกแก้ไขให้สอดคล้องกับบริบทชายแดนใต้ ดังนั้นการพูดคุยต้องไม่ใช่หวังผลแค่ยุติความรุนแรง แต่ต้องมองการตอบโจทย์แก้ปัญหาในระยะยาวด้วย