‘ทักษิณ’ น้อมรับคำพิพากษา กลับเข้าคุก 1 ปี ย้ำ ขอมองไปข้างหน้า ยุติคดี-ความขัดแย้ง

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งชี้ว่า การบังคับโทษ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฯ จึงสั่งให้กลับไปจำคุกใหม่ เป็นเวลา 1 ปี

วันนี้ (9 ก.ย. 68) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำสั่งคดี บค.1/2568 คดีบังคับโทษชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่ง ทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยในคดี และอัยการสูงสุด กับ ป.ป.ช. เป็นโจทก์

ศาลฯ ได้อ่านคำสั่งระบุ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การบังคับโทษจำคุกจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และตามพฤติกรรมดังกล่าว ในข้างต้น บ่งชี้เห็นว่า จำเลยทราบข้อเท็จจริง หรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่า ไม่ได้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน แต่ทักษิณมีเพียงโรคประจำตัว ซึ่งเป็นโรคเรื้อรัง ที่รักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ และสภาวะร่างกายของจำเลยเอง


ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้ยังได้ความว่า ทักษิณ เข้าไปมีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดโรคหัวใจ และโรคกระดูกคอทับ กดทับไขสันหลัง และเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษารักษาโดยรับประทานยาตามอาการ และเลือกผ่าตัดนิ้วล็อค และเอ็นหัวไหล่ขวาฉีก ซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และเป็นผลให้ต้องรักษาในโรงพยาบาลตำรวจ ต้องขยายระยะเวลาไป ทักษิณจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ต้องกลับคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจนได้รับการปล่อยตัว และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดำเนินการของแพทย์ และ เจ้าหน้าที่ ไม่ได้เกิดจากการกระทำของทักษิณ เพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจ มาหักวันคุมขัง โทษตามคำพิพากษา

ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันวันที่ 31 สิงหาคม ปี 2566 มีพระบรมราชโองการพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษ ให้จำเลย เหลือจำคุกเป็นเวลา 1 ปี ตามกำหนดโทษคำพิพากษา ดังนั้นย่อมมีผลทำให้ทักษิณได้รับการลดโทษ และต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาต่อไปอีกหนึ่งปี นับแต่วัน 31 สิงหาคม 2566

กระบวนการบังคับโทษ รวมทั้งการพักการลงโทษจำเลย จึงไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่อาจ นำเอาระยะเวลาที่ที่พักรักษาตัวโรงพยาบาลตำรวจมาหักเป็นวันคุมขังได้ ทักษิณจึงต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปีตามมีพระบรมราชโองการ

ทักษิณ ชินวัตร ระหว่างถูกเจ้าหน้าที่คุมตัว

ล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 11.25 น. ผู้สื่อข่าว Thai PBS รายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้คุมตัว ทักษิณ ขึ้นรถกรมราชทัณฑ์ มุ่งหน้าออกจากศาลฎีกาแล้ว

‘แพทองธาร’ เชื่อมั่น ‘ทักษิณ’ ทำประโยชน์แก่ประเทศ

ขณะที่ แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังศาลฎีกาฯ สั่งบังคับโทษจำคุก ทักษิณ 1 ปี ว่า ทิศทางของพรรคเพื่อไทยหลังจากนี้ ยังทำงานทางการเมืองต่อไป แม้จะเป็นฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล

โดยขอขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา และยืนยันยังมีกำลังใจที่ดี เชื่อมั่นในตัว ทักษิณ ชินวัตร ที่เคยทำสาธารณะประโยชน์ให้ประเทศเป็นอย่างมาก

เพจ ‘ทักษิณ’ โพสต์ย้ำ น้อมรับคำพิพากษา ขอมองไปข้างหน้า ยุติคดี-ความขัดแย้งต่าง ๆ

ขณะที่ เพจ Thaksin Shinawatra ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า “ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานอภัยลดโทษจำคุกแก่ผมคงเหลือเวลา 1 ปี นับเป็นพระมหากรุณาที่คุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ ต่อทั้งตัวผม และครอบครัว ผมขอน้อมรับและพร้อมเข้าสู่กระบวนการตามคำพิพากษาในวันนี้”

พร้อมย้ำว่า แม้ทุกคดีจะเกิดขึ้นหลังการรัฐประหารรัฐบาลของผมเมื่อปี 2549 แต่วันนี้ขอมองไปข้างหน้า ให้ทุกอย่างที่ผ่านมามีข้อยุติ ทั้งการต่อสู้คดีตามกฎหมาย และความขัดแย้งใด ๆ อันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวข้องกับตัวผม

“จากวันนี้แม้ผมจะไร้อิสรภาพ แต่ยังมีเสรีภาพทางความคิดเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ผมจะรักษาความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อใช้เวลาในชีวิตที่เหลืออยู่ รับใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ แผ่นดินไทย และประชาชนคนไทย ไม่ว่าจะในสถานะใดนับจากนี้”

เปิดระเบียบ ‘จำคุกนอกเรือนจำ’ แรงสั่นสะเทือนจากคดีทักษิณ

สำหรับคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเวลา 1 ปี สิ่งที่ถูกจับตาไม่แพ้คำพิพากษา คือ ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำ ของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งเพิ่งประกาศใช้ในปี 2566 และมีผลบังคับจริงในปี 2568

ระเบียบนี้ เปิดช่องให้ผู้ต้องขังบางรายที่เข้าเกณฑ์สามารถถูกคุมขังในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำได้ เช่น บ้านพัก สถานพยาบาล หรือสถานสงเคราะห์ โดยมีการติดกำไล EM และกล้องวงจรปิดควบคุมเข้มงวด

จุดประสงค์ที่ราชทัณฑ์ ระบุคือ ลดความแออัดในเรือนจำ และเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยตัว แต่ในมุมสังคม กลับถูกตั้งคำถามว่าระเบียบนี้คือ “ทางออก” เพื่อรองรับคดีของทักษิณหรือไม่ ?

ทั้งนี้เมื่อเดือนธันวาคม 2566 สหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ (ในขณะนั้น) ได้ลงนามประกาศ “ระเบียบว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566” จากนั้นในวันที่ 9 เมษายน 2568 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศคุณสมบัติ วิธีการ และลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะได้รับสิทธิคุมขังนอกเรือนจำ

สาระสำคัญคือ ผู้ต้องขังที่จะเข้าระบบนี้ ประกอบด้วย

  • มีโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี (หรือเหลือโทษไม่เกิน 4 ปี)

  • เป็นนักโทษเด็ดขาดครั้งแรก

  • ไม่มีประวัติความผิดร้ายแรง และต้องผ่านการประเมินความเสี่ยง

  • กรณีพิเศษสำหรับผู้ต้องขังเจ็บป่วยร้ายแรง หรือติดเตียงที่ต้องได้รับการดูแลรักษา

สมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) ชี้แจงว่า ระเบียบดังกล่าวไม่ได้ทำขึ้นเพื่อบุคคลใด แต่เป็นการดำเนินการตาม พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 ซึ่งกำหนดให้ต้องมีอนุบัญญัติรองรับเพื่อให้การบังคับใช้สมบูรณ์ โดยการออกระเบียบนี้เป็นเพียงการเติมเต็มกฎหมายที่มีอยู่แล้ว และหากใครจะได้สิทธิ์จริงหรือไม่ ต้องไปดูรายละเอียดการพิจารณาในแต่ละกรณี ซึ่งขึ้นอยู่กับกรมราชทัณฑ์ ไม่ใช่ฝ่ายการเมือง

จำคุกนอกเรือนจำ กับคดีทักษิณ

เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งลงโทษจำคุกทักษิณ 1 ปี ข้อสงสัยยิ่งชัดเจนขึ้นว่า ระเบียบคุมขังนอกเรือนจำอาจถูกนำมาใช้ เพราะที่ผ่านมา ทักษิณยังไม่เคยใช้ชีวิตในเรือนจำแม้แต่วันเดียว อ้างเหตุผลเรื่องสุขภาพและการรักษาต่อเนื่องในโรงพยาบาลตำรวจ

หากเจ้าหน้าที่ถูกตรวจสอบว่า การดำเนินการไม่เป็นไปตามกฎหมาย จนต้องส่งตัวทักษิณกลับเข้าเรือนจำจริง การนำระเบียบนี้มาใช้เพื่อรองรับ การคุมขังนอกเรือนจำ ในรูปแบบบ้านพัก หรือโรงพยาบาลก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

เปิดรายละเอียดเงื่อนไขและขั้นตอน

ระเบียบปี 2568 วางเกณฑ์และกระบวนการไว้อย่างละเอียด เช่น

  • คุณสมบัติ นักโทษเด็ดขาดโทษไม่เกิน 4 ปี, จำคุกครั้งแรก, สมัครใจ, ไม่มีคดีร้ายแรง, ไม่มีโทษวินัย

  • ผู้ป่วยร้ายแรง ต้องมีใบรับรองแพทย์จากราชการ 2 คน และสามารถถูกคุมขังในสถานพยาบาล

  • มาตรการควบคุม ใช้กำไล EM และกล้องวงจรปิดในสถานที่คุมขัง

  • กระบวนการอนุมัติ คัดกรองโดยคณะทำงานเรือนจำ → เสนอต่อผู้บัญชาการเรือนจำ → เสนอกรมราชทัณฑ์ → อธิบดีกรมราชทัณฑ์ อนุมัติขั้นสุดท้าย

  • การเพิกถอนสิทธิ์ หากผู้ต้องขังฝ่าฝืนกฎ หรือสถานที่ไม่เหมาะสม สามารถเพิกถอนและส่งกลับเรือนจำได้ทันที

4 กลุ่มผู้ต้องขังที่เข้าเกณฑ์

กรมราชทัณฑ์ ยังได้แบ่งกลุ่มเป้าหมายผู้ต้องขังไว้ชัดเจน ได้แก่

  1. กลุ่มผู้ต้องขังที่ได้รับการจำแนกตามเกณฑ์

  2. กลุ่มที่ต้องประเมินพฤตินิสัย

  3. กลุ่มเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย

  4. กลุ่มผู้ต้องขังเจ็บป่วย

แต่ผู้ที่มีโทษเกิน 4 ปี เช่น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะไม่เข้าเกณฑ์นี้ เว้นแต่มีการพระราชทานอภัยโทษลดโทษลงมา ทั้งนี้ตามหลักการ จำคุกนอกเรือนจำ ไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายประเทศใช้มาตรการนี้เพื่อลดความแออัดในเรือนจำ และเพื่อคืนผู้ต้องขังกลับสู่สังคมอย่างมีคุณภาพ

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active