นักนิติศาสตร์ ยกเคส ‘ทักษิณ’ ถึงเวลาปฏิรูปการบังคับโทษโดยฝ่ายบริหาร ย้ำปัญหากระบวนการยุติธรรมไทย

แนะ รัฐบาลใหม่ สร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม เอาจริงเอาจังการบังคับโทษ ไม่ให้กลายเป็นภาระศาล ชี้ สังคมร่วมจับตา ‘ทักษิณ’ ต้องถูกปฏิบัติอย่างเท่าเทียมนักโทษคนอื่น

วันนี้ (9 ก.ย. 68) กรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิจารณาว่าการบังคับโทษ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีคำพิพากษาให้ ทักษิณ ต้องกลับเข้ารับโทษในเรือนจำใหม่ เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยนำตัวเข้าเรือนจำในวันนี้ทันทีนั้น

รศ.มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์รายการ ตรงประเด็น ย้ำว่า กรณีนี้สะท้อนปัญหาร้ายแรงในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของการบังคับตามคำพิพากษาให้จำคุก 

รศ.มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

“ตอกย้ำสิ่งที่คนไทยจำนวนมากไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งมีบางกรณีอาจจะหลบหนีออกไป ตามตัวไม่ได้ ตามจับไม่ได้ เป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า คุกมีไว้ขังคนจน หรือคนจนเท่านั้นต้องไปติดคุกตามคำพิพากษา แต่คนที่มีสถานะ ทางสังคม ทางเศรษฐกิจก็จะหาทางหลบหนี ไม่ต้องเข้าไปอยู่ในคุก จึงสะท้อนปัญหานี้อย่างชัดเจนมาก”  

รศ.มุนินทร์ พงศาปาน

เพราะหากจำได้ตอนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่า จะไต่สวน ตอนนั้นก็มีข้อถกเถียงในหมู่นักวิชาการ ว่า กฎหมายไม่ได้เขียนให้อำนาจศาลฎีกาฯ ไว้อย่างชัดเจน ว่าให้ศาลฎีกามีอำนาจไต่สวน ไม่เคยปรากฏกรณีที่ศาลฎีกาจะไต่สวนการบังคับโทษมาก่อน เพราะว่าการบังคับโทษเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร ก็คือ กรมราชทัณฑ์ ซึ่งการที่ศาลฎีกาฯ วินิจฉัยเอง ว่ามีอำนาจ แสดงว่าศาลต้องเห็นว่า ผิดปกติจริง ๆ มีปัญหามากจริง ๆ และศาลมองว่า อาจจะเหลือทนแล้วกับปัญหาความร้ายแรงในกระบวนการยุติธรรม หรือการบังคับโทษ ศาลก็เลยต้องตีความว่าตัวเองมีอำนาจ เพื่อเพื่อพิจารณาในเรื่องนี้ เพื่อแก้ปัญหา เพื่อสร้างเป็นบรรทัดฐานเป็นตัวอย่างว่าศาลจะเข้ามาดูแล้ว ที่ผ่านมามีปัญหาเยอะ กรณีนี้ศาลจริงจังมาก ตรงนี้ก็กลายเป็นบรรทัดฐานขึ้นมา 

ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นว่า กรณีนี้ร้ายแรงมากโดยที่ศาลต้องตีความว่าตัวเองมีอำนาจ เพื่อเข้ามาตรวจสอบเอง จะปล่อยให้ฝ่ายบริหารมาตรวจสอบกันก็คงไม่ได้แล้ว สิ่งนี้เป็นเรื่องใหญ่และเป็นโจทย์ใหญ่มาก ที่เป็นสัญญาณชัดเจนว่า รัฐบาลใหม่ หรือรัฐบาลที่อาจจะเกิดขึ้นหลังเลือกตั้งต้องเอาสัญญาณตรงนี้ เอากรณีนี้ ไปพิจารณาดูว่ามีปัญหาใหญ่ในกระบวนการบังคับโทษกระบวนการยุติธรรม ไม่ควรจะปล่อยให้ศาลต้องมานั่งตรวจสอบเอง เพราะศาลไม่มีเวลาเยอะขนาดนี้ ไม่มีคนพอที่จะมาทำหน้าที่ในส่วนนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว รัฐบาลคงต้องไปหาทางจัดการเรื่องนี้  

ขณะเดียวกันในส่วนของศาลเอง ก็คงต้องกลับไปคิดเหมือนกันว่า ด้วยการที่ศาลมีข้อจำกัดในเรื่องของคน ในเรื่องของผู้พิพากษา ที่จะต้องมาตรวจสอบ จะสามารถดำเนินการกับทุกกรณีได้หรือไม่ ? ถ้ามีคนมาขอตรวจสอบเรื่องการบังคับโทษ ว่า มีการบังคับโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ จะกลายเป็นงานที่งอกขึ้นจากกรณีนี้  

รศ.มุนินทร์ ยังมองว่า ศาลเองก็ต้องไปกำหนดเกณฑ์ให้ชัดเจน ว่าจะเข้าไปตรวจสอบเมื่อไหร่ ในคดีแบบไหนที่น่าสงสัย ไม่เช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นว่า ทุกคดีก็อาจจะมาที่ศาล ยกตัวอย่าง เราสงสัยว่านายคนนี้ ไปอยู่ชั้น 14 ไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจได้อย่างไร ขอให้มีการตรวจสอบว่าการบังคับโทษเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งก็จะกลายเป็นภาระของศาลจึงต้องกำหนดเกณฑ์ให้ชัดเจน 

“สรุปมี 2 อย่างที่ต้องทำคู่กัน คือ 1. ปฏิรูปการบังคับโทษ โดยฝ่ายบริการหน่วยงานที่มีหน้าที่ต้องไปดูอย่างจริงจัง 2. ศาล ต้องกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนว่ามันมีกรณีไหนบ้างที่ศาลควรจะเข้าไปตรวจสอบได้”  

รศ.มุนินทร์ พงศาปาน

ชี้สังคมจับตา! บังคับโทษ ‘ทักษิณ’ รอบนี้ ต้องปฏิบัติอย่างเท่าเทียมนักโทษคนอื่น

เมื่อถามถึงการบังคับโทษ ทักษิณ นั้น รศ.มุนินทร์ มองว่า กฎหมายหลักเกณฑ์มีอยู่แล้ว ถ้าหากไม่มีปัญหาเรื่องความไม่ชอบทั้งหลายจะไม่ถูกเพิกถอนไปในที่สุด กฎหมายหลักเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติต่อผู้ถูกคุมขัง ต่อนักโทษต่าง ๆ ต้องมีชัดเจน ทักษิณ ต้องกลับไปอยู่ในทัณฑสถาน คือ ติดคุก จะมีสถานะเป็นนักโทษ ก็ต้องมีการปฏิบัติอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกับนักโทษคนอื่น ๆ แต่ในส่วนกฎหมายหรือตามหลักเกณฑ์ ที่มีการกำหนดหลักเกณฑ์ในเรื่องของการขอพักโทษต่าง ๆ ก็จะมีสิทธิ์ตามกฏหมายเหมือนคนอื่นอย่างเท่าเทียม จึงคาดหวังว่า พอกลับเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว จะอยู่จนครบทั้งหนึ่งปีไม่สามารถที่จะใช้สิทธิ์ต่าง ๆ ถ้าคิดแบบนั้นก็คงไม่ได้ ก็ต้องว่าไปตามหลักเกณฑ์ตามหลักปฏิบัติอย่างเท่าเทียม เพียงแต่ว่า บางเรื่องนี้ก็อาจจะเป็นดุลพินิจของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง 

“ผมคิดว่าสิ่งที่มันจะเปลี่ยนแปลงไปในกรณีของคุณทักษิณจากกรณีการขอพักโทษ จะอยู่ในความสนใจในการจับตาดูของสาธารณชน เพราะฉะนั้นแล้วในการปฏิบัติคณะกรรมการ หรือคนที่เกี่ยวข้อง ก็อาจจะรู้สึกระมัดระวังตัวเองมากขึ้น กังวลมากขึ้น ว่า พอมันเกี่ยวกับเรื่องของคุณทักษิณ อาจจะต้องทำอย่างรัดกุม ทำตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด เพราะว่าสังคมกำลังจับตาอยู่ ไม่เช่นนั้นก็จะมีคนไปร้องอีกว่า การปฏิบัติต่อคุณทักษิณไม่เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่เป็นไปตามระเบียบต่าง ๆ ก็จะไปยื่นต่อศาลพิจารณาอีกเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นแล้วหลักในทางกฎหมาย คุณทักษิณก็จะมีสิทธิ์มีหน้าที่ตามกฏหมายเหมือนนักโทษคนอื่น ๆ อย่างเท่าเทียมที่อยู่ในลักษณะแบบเดียวกัน คือเป็นผู้สูงอายุ แต่ว่าในทางความเป็นจริง เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับคุณทักษิณ ที่ต้องมาจัดการกับเรื่องคุณทักษิณ ก็คงจะต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่าเคสอื่น ๆ”  

รศ.มุนินทร์ พงศาปาน

ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ปฎิรูปการบังคับโทษโดยฝ่ายบริหาร แนะรัฐบาลใหม่ สร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม 

รศ.มุนินทร์ ยังระบุด้วยว่า รัฐบาลใหม่ก็มีปัญหาของตนเอง ซึ่งสังคมกำลังจับตาอยู่ แต่ว่าอาจจะเป็นปัญหาคนละขั้นตอนกับปัญหาของทักษิณ ในกระบวนการยุติธรรม เพราะกระบวนการของคดีทักษิณมีการบังคับโทษ มีคำพิพากษาแล้วว่าการบังคับโทษไม่เป็นไปตามกฎหมาย ไม่เป็นไปตามระเบียบต่าง ๆ แต่ในกรณีของพรรคภูมิใจไทยที่ถูกกล่าวหา ยังเป็นส่วนของการนำคดีเข้าไปสู่ในชั้นศาล ยังเป็นจุดเริ่มต้น แต่ก็คงไม่ได้ต่างกัน 

“คดีฮั้ว สว. มีดีเอสไอ หรือ หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย จะต้องดำเนินการตรวจสอบ ที่จะยื่นฟ้องต่อศาล และช่องทางต่าง ๆ ตอนนี้สังคมก็คงจับตาดูอยู่ว่า รัฐบาลซึ่งมีบุคคลที่ถูกกล่าวหาเข้าไปพัวพันอยู่จะจัดการเรื่องนี้ยังไง ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดมันอยู่ในสถานะที่เรียกว่ามี ความขัดแย้ง อาจจะถูกกล่าวหาได้ว่ามีผลประโยชน์ได้เสีย เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่รัฐบาลต้องทำ คือ ต้องปล่อยให้คนพิจารณา หรือว่าคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบได้ทำงานอย่างอิสระ ต้องเอาคนกลางคนที่ไม่เกี่ยวข้อง เข้ามาจัดการในเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหาว่ามาช่วยกันหรือเปล่า หรือการพยายามหลบเลี่ยงกฎหมาย กฎเกณฑ์ต่าง ๆ เหมือนกับกรณีคุณทักษิณ”  

รศ.มุนินทร์ พงศาปาน

รศ.มุนินทร์ ระบุด้วยว่า ในทางกฎหมายถ้ามีกรณีที่ช่วยกัน หรือกระทำใดใดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ชอบด้วยระเบียบ ก็ต้องมีคนไปร้องให้ศาลตรวจสอบ และเพิกถอนกระบวนการเหล่านั้นอยู่ดี คือ ฝ่ายบริหารอาจจะมีอำนาจ อย่าง กรณีทักษิณ คือการพักโทษใช้ดุลพินิจให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ แต่ก็มีการไปร้องให้ศาลให้เพิกถอน เพราะว่า ที่ทำมาไม่ถูกต้อง ต้องทำกันใหม่ กระบวนการเริ่มต้นก็อาจจะถูกตรวจสอบได้เหมือนกัน คือถ้าหากทำให้ถูกต้องตามกฏหมาย หรือว่าไม่โปร่งใสทั้งเรื่องของการสอบสวน เรื่องการดำเนินคดีต่าง ๆ ก็อาจจะมีโอกาสที่มีกระบวนการกฎหมายเข้าไปตรวจสอบ คือ ต้องรื้อกันใหม่ ทำกันใหม่อีกก็เป็นไปได้

ฟัน! ฝ่ายบริหาร ม.157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ 

รศ.มุนินทร์ ระบุเพิ่มเติมว่า เมื่อศาลวินิจฉัยว่าการบังคับโทษทักษิณไม่ชอบ ซึ่งมีคนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการนี้ จึงมีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบตามกฏหมาย อย่างเช่น การรับผิดทางอาญา มาตรา 157 ถ้าเป็นหมอก็ความรับผิดทางวิชาชีพ ซึ่งแพทยสภา ก็ดำเนินการไปแล้ว เพราะฉะนั้นเฉพาะกรณีทักษิณ ก็คงต้องเข้าไปตรวจสอบว่า มีใครต้องรับผิดบ้าง แต่ว่าในภาพรวมสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการที่มีปัญหาจริง ๆ

“เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เองก็ดี แพทย์ก็ดี หลังจากนี้ก็คงจะต้องตรวจสอบกันต่อ แล้วก็ต้องมีการระมัดระวัง เพราะว่าศาลเข้ามาตรวจสอบแล้ว แต่เดิมศาลไม่เคยเข้ามาดู แต่ตอนนี้ศาลเข้ามาดูแล้ว มาตรวจสอบแล้ว เพราะฉะนั้นจะทำแบบที่เคยทำกันมาไม่ได้ แต่จริง ๆ อย่างที่บอกไปว่า รัฐบาลไม่ควรจะปล่อยให้ศาลต้องมาตรวจตรวจสอบเอง เคสแบบนี้รัฐบาลต้องไปอุดช่องโหว่ต่าง ๆ”

รศ.มุนินทร์ พงศาปาน

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active