กังวลพื้นที่ประกาศกฏอัยการศึกในสถานการณ์ฉุกเฉิน อาจเผชิญเหตุวุ่นวายตรงกับวันเลือกตั้ง คนไปใช้สิทธิ์ไม่ได้ อาจเป็นปัญหาทางกฎหมาย ที่ต้องจัดเลือกตั้งพร้อมกันทั่วราชอาณาจักร ย้ำ เป็นอีกบทพิสูจน์ความพยายามรัฐบาล หลังยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนจริง ๆ
ตามที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา คืนอำนาจประชาชนเมื่อคืนที่ผ่านมา นำไปสู่การโปรดเกล้าฯ พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร ที่ใช้บังคับในวันนี้ (12 ธ.ค. 68) ถือว่าไม่ผิดคาดจากที่คอการเมืองวิเคราะห์ไว้
แต่คำถามต่อมา คือจะเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งท่ามกลางข้อจำกัดจากปัจจัยความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ได้อย่างไร รศ.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ให้ความเห็นกับ The Active โดยมองว่า เนื่องจากสถานการณ์ชายแดนที่ยังตึงเครียด และยังไม่มีคำตอบว่าจะสามารถยุติลงได้เมื่อไหร่ แม้พรรคภูมิใจไทย ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลก่อนหน้านี้ จะได้รับเสียงชื่นชม และเสียงสนับสนุนในการจัดการปัญหาและตอบโต้สถานการณ์ทันทีจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมขึ้นมาบ้าง

แต่ด้วยสถานการณ์ที่ยังไม่คลี่คลาย และไม่ชัดเจนในการยุติความขัดแย้งของ 2 ประเทศ จึงไม่มีอะไรการันตีว่าจะจบลงยังไง คำถามสำคัญ คือ สถานการณ์แบบนี้จะส่งผลให้การเลือกตั้ง ไม่เป็นไปตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้หรือไม่ ?
ถึงแม้ว่าการประกาศกฏอัยการศึกในสถานการณ์ฉุกเฉิน อาจจะไม่ได้พูดถึงการเลือกตั้ง ก็คือสามารถจัดการเลือกตั้งได้ แต่ไม่มีใครรู้สถานการณ์ในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะหากเกิดเหตุวุ่นวายซึ่งตรงกับวันเลือกตั้ง คนไปใช้สิทธิ์ไม่ได้ ก็จะเป็นปัญหาทางกฎหมายทันที โดยกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง เขียนเอาไว้ว่าต้องมีการจัดการเลือกตั้งพร้อมกันทั่วราชอาณาจักร คือ ต้องวันเดียวกัน เวลาเดียวกัน
“หากเป็นเช่นนี้ กกต.เองก็จะไม่กล้าที่จะทำให้เกิดการเลือกตั้ง จึงมีโอกาสที่จะทำให้เกิดการยื้อการเลือกตั้งออกไป ดังนั้นปัจจัยเรื่องความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา จึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญทั้งต่อการเลือกตั้ง และบทพิสูจน์ความพยายามของรัฐบาลในการทำหน้าที่หลังยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนจริง ๆ”
รศ.โอฬาร ถิ่นบางเตียว
ส่วนเรื่องการเดินหน้าประชามติ รศ.โอฬาร เห็นว่า น่าจะเดินหน้าได้ เพราะอย่างน้อยพรรคภูมิใจไทย ก็ต้องรักษา หรือทำให้เห็นว่า มีความจริงใจในการที่จะประคับประคอง MOA ซึ่งหากประชามติ ประชาชนสะท้อนไปว่าอยากให้เดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ก็จะเดินหน้าได้ในรัฐบาลถัดไป แต่ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ก็คือปิดจบเลย ไม่ต้องพูดถึงการแก้หรือร่างใหม่อีกแล้ว นอกเสียจากเกิดรัฐประหาร
อีกประเด็นที่ต้องเน้นย้ำ คือ ผลกระทบจากการยุบสภาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือกฎหมายสำคัญที่ยังค้างการพิจารณาในกระบวนการนิติบัญญัติ เช่น ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ และ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีป่าไม้ที่ดิน ที่เพิ่งผ่านการโหวตเห็นชอบของกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งมีโอกาสที่จะตกไป เพราะแม้จะมีกรอบระยะเวลาให้รัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง ยกขึ้นมาพิจารณาได้หากเห็นว่ากฎหมายนั้นสำคัญ แต่ที่ผ่านมามักจะมีข้ออ้างจะไม่ทันตามกรอบเวลา และต้องเดินหน้ากระบวนการนับหนึ่งกันใหม่
