รศ.นวลน้อย ชี้ภัยสแกมเมอร์รุนแรงต่อเนื่อง 3 ปี แต่รัฐยังปราบไม่อยู่หมัด ซ้ำละเลยเยียวยาผู้เสียหาย เสนอเร่งตั้งกองทุนช่วยฉุกเฉิน ให้รัฐ-ธนาคาร-แพลตฟอร์ม แชร์ความรับผิดชอบ
วันนี้ (27 ธ.ค.2568) รศ.นวลน้อย ตรีรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์กับ The Active ถึงปัญหาอาชญากรรมออนไลน์และการหลอกลวงทางไซเบอร์ในประเทศไทย โดยยืนยันว่า ปัญหาดังกล่าวทวีความรุนแรงต่อเนื่องมากว่า 3 ปีแล้ว นับตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา โดยมีผู้เสียหายจำนวนมากและสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจในแต่ละปีอย่างมหาศาล ข้อมูลจากสถิติการแจ้งความของตำรวจสะท้อนชัดว่าปัญหานี้ไม่ได้ลดลง แม้รัฐจะออกพระราชกำหนดปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์แล้วถึง 2 ฉบับก็ตาม
รศ.นวลน้อย ระบุว่า แม้กฎหมายฉบับล่าสุดจะระบุถึงแนวคิดเรื่องการคืนเงินผู้เสียหาย แต่ในทางปฏิบัติกลับยังไม่เห็นกลไกหรือหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนออกมาใช้จริง นับตั้งแต่กฎหมายมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้เสียหายจำนวนมากยังคงไร้ที่พึ่ง และไม่รู้ว่าจะได้รับการช่วยเหลือเมื่อใด
“ปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นปัญหาทางจิตใจและการดำรงชีวิต หลายคนสูญเงินเก็บทั้งชีวิต บางรายไม่รู้จะอยู่ต่ออย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ต่างจากภัยพิบัติรูปแบบหนึ่ง”
รศ.นวลน้อย ตรีรัตน์

สแกมเมอร์: ภัยสาธารณะยุคไซเบอร์ที่ไร้ผู้รับผิดชอบ
รศ.นวลน้อย อธิบายต่อไปว่า หลายประเทศเริ่มมองอาชญากรรมไซเบอร์ในลักษณะ ‘ภัยสาธารณะ’ และมีระบบช่วยเหลือผู้ประสบเหตุฉุกเฉิน เช่น การจ่ายเงินเยียวยาเบื้องต้น การให้คำปรึกษาทางจิตวิทยา หรือการตั้งกองทุนกลางเพื่อรองรับผู้เสียหาย ขณะที่บางประเทศกำหนดให้ธนาคารหรือผู้ให้บริการทางการเงินต้องร่วมรับผิดชอบ เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่เอื้อให้เกิดธุรกรรมรวดเร็ว
ปัญหาสำคัญของไทยคือการปล่อยให้ความเสี่ยงตกอยู่กับประชาชนเพียงฝ่ายเดียว ทั้งที่ระบบดิจิทัลเอื้อให้การหลอกลวงเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าสมัยก่อนอย่างมาก จากเดิมที่ต้องเดินไปโอนเงินที่ธนาคาร ปัจจุบันเพียงกดลิงก์หรือคลิกลวงก็อาจสูญเงินทั้งบัญชีในไม่กี่นาที ขณะที่การรู้เท่าทันเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน
“เราเข้าสู่ยุคดิจิทัล แต่กลับปล่อยให้ประชาชนรับความเสี่ยงฝ่ายเดียว ทั้งที่รัฐ เอกชน ธนาคาร ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และแพลตฟอร์มออนไลน์ ต่างก็ได้ประโยชน์จากระบบนี้”
รศ.นวลน้อย ตรีรัตน์
รศ.นวลน้อย ยังชี้ให้เห็นว่า กลไกของรัฐและเอกชนยังปรับตัวไม่ทันกับพัฒนาการของมิจฉาชีพ ซึ่งปัจจุบันมีลักษณะเป็นอุตสาหกรรมอาชญากรรม มีการแบ่งงานกันทำ ตั้งแต่การขโมยข้อมูล การขายข้อมูล ไปจนถึงการพัฒนาเครื่องมือหลอกลวง โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI หรือระบบอัตโนมัติ ขณะที่ต่างประเทศเริ่มใช้ระบบตรวจจับแบบเรียลไทม์ มีการแชร์ข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และสามารถแทรกแซงธุรกรรมต้องสงสัยได้ทันที แต่ประเทศไทยยังคงอยู่ในระบบตามแก้หลังเกิดเหตุเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ความเสียหายขยายวงกว้างก่อนจะเข้าไปช่วยเหลือได้
แม้รัฐบาลจะออก พ.ร.ก.ไซเบอร์ฉบับใหม่ที่เน้นการแบ่งสรรความรับผิดชอบ ระหว่างรัฐ เอกชน และผู้ให้บริการ แต่ในทางปฏิบัติยังขาดความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม และยังไม่เห็นการดูแลผู้เสียหายอย่างเป็นระบบ ที่ผ่านมาเราพูดถึงการปราบปรามเยอะ แต่แทบไม่พูดถึงคนที่ถูกหลอกเลย ทั้งที่บางคนสูญเสียทุกอย่าง บางคนซึมเศร้า บางคนเลิกใช้ระบบดิจิทัลไปเลย ซึ่งสุดท้ายมันกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม
เสนอตั้งกองทุนเยียวยาผู้เสียหาย
ให้รัฐ-ธนาคาร-แพลตฟอร์ม แชร์ความรับผิดชอบ
ในมุมของนโยบาย รศ.นวลน้อย เสนอว่ารัฐควรจัดตั้งกองทุนเยียวยาผู้เสียหายจากอาชญากรรมไซเบอร์ ในลักษณะกองทุนฉุกเฉิน ไม่ใช่เพื่อชดใช้เต็มจำนวน แต่เพื่อช่วยประคองชีวิตผู้ประสบเหตุในระยะสั้น โดยเงินสามารถมาจากหลายแหล่ง ทั้งทรัพย์สินที่ยึดได้จากขบวนการหลอกลวง เงินสมทบจากธนาคาร แพลตฟอร์มออนไลน์ และผู้ให้บริการโทรคมนาคม ซึ่งล้วนได้รับประโยชน์จากระบบดิจิทัล เช่นการทำธุรกรรม การรับค่าโฆษณาจากกลุ่มหลอกลวง เป็นต้น
ตามการประเมิน พบว่า หากมีงบประมาณระดับ 1-2 หมื่นล้านบาทต่อปี (ซึ่งคำนวณจากมูลค่าความเสียหายโดยรวมจากกรณีการหลอกลวงทางไซเบอร์) ก็สามารถช่วยเหลือผู้เสียหายได้ในระดับหนึ่ง และหากระบบป้องกันมีประสิทธิภาพมากขึ้น จำนวนผู้เสียหายก็จะลดลงตามไปด้วย
รศ.นวลน้อย ยังตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงที่ประเทศกำลังเข้าสู่ฤดูการเลือกตั้ง ซึ่งจะมีการเลือกตั้ง 8 ก.พ. 2569 ประเด็นอาชญากรรมไซเบอร์มักถูกพูดถึงในเชิงปราบปราม แต่แทบไม่มีพรรคการเมืองใดเสนอแนวทางดูแลผู้เสียหายอย่างจริงจัง ทั้งที่เป็นกลุ่มคนจำนวนมากที่กำลังเผชิญความทุกข์เงียบ วันนี้ใครก็เป็นเหยื่อได้ เสียงก็ปลอม ภาพก็ปลอม เอกสารราชการก็ปลอม คนธรรมดาไม่อาจแยกออกได้ง่าย ๆ เราจึงต้องมองผู้เสียหายด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่โทษว่าเขาประมาท
ท้ายที่สุด รศ.นวลน้อยเตือนว่า หากรัฐยังไม่เร่งจัดการปัญหานี้อย่างจริงจัง ประเทศอาจสูญเสียไม่ใช่แค่เงิน แต่คือผู้คนที่หมดศรัทธาในระบบดิจิทัล ไม่กล้าใช้เทคโนโลยี และค่อย ๆ ถอยออกจากเศรษฐกิจดิจิทัล
“ถ้าประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่าโลกดิจิทัลไม่ปลอดภัย ประเทศก็จะเดินต่อได้ยาก นี่จึงไม่ใช่แค่ปัญหาอาชญากรรม แต่เป็นโจทย์ใหญ่ของอนาคตประเทศ”
