แนะรัฐเร่งประเมินความเสี่ยงกากแคดเมียม สื่อสาร ‘ตรงไปตรงมา’ – ปชช. จะได้รับมือถูก

“นักวิชาการวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มธ.” เรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประเมินผลกระทบกากแคดเมียมกลางกรุง ใน 3 ระดับ พร้อมสื่อสารกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมาเพื่อรับมือได้ถูกวิธี ขณะที่ “กรมควบคุมโรค“ เร่งค้นหาผู้ที่ได้รับผลกระทบ ตรวจคัดกรองสุขภาพ

จากกรณีตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ขยายผลนำกำลังเข้าตรวจค้นโกดังของบริษัท ล้อโลหะไทย แมททอล จำกัด ตั้งอยู่ ซ.เรียงปรีชา ถนนประชาราษฏร์ แขวงและเขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร ภายหลังสืบสวนทราบว่า โรงงานดังกล่าวมีการซุกซ่อนกากแคดเมียมจำนวนมากกว่า 300 ตัน และยังเชื่อมโยงกับการตรวจพบกากแคดเมียมอีกจำนวนกว่า 1.5 หมื่นตัน ที่ จ.สมุทรสาคร อีกด้วยนั้น 

วันนี้ ( 11 เม.ย. 2567) ณัฐฐา แสงนรินทร์ เหมจินดา อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า สิ่งที่หน่วยงานภาครัฐต้องเร่งดำเนินการในขณะนี้คือต้องตรวจสอบสภาพแวดล้อมในละแวกที่พบกากแคดเมียม เพื่อประเมินความเสี่ยงว่ากากแคดเมียมนั้นได้ปนเปื้อนในสภาพแวดล้อมใกล้เคียงมากน้อยเพียงใด เพื่อเป็นข้อมูลสำคัญต่อประชาชนให้ระมัดระวังผลกระทบต่อสุขภาพ  

สำหรับแนวทางการวิเคราะห์ความเสี่ยง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรับผิดชอบ ควรดำเนินทั้ง 3 ขั้นตอนคือ 

1. ประเมินความเสี่ยงของแคดเมียม และโลหะหนักชนิดอื่นที่ตรวจพบต่อสุขภาพ เพื่อให้ทราบว่าความเข้มข้นการปนเปื้อนในสภาพแวดล้อมในปริมาณที่ตรวจพบส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร หากประชาชนรับสารเข้าไปในร่างกาย ซึ่งแคดเมียมสามารถเป็นพิษแบบเฉียบพลันหากได้รับในปริมาณสูง แต่ถ้ารับสารความเข้มข้นต่ำๆ อาจแสดงความเป็นพิษแบบเรื้อรัง หรือทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ 

2. การสื่อสารความเสี่ยง เมื่อพบความเสี่ยงของการปนเปื้อนแล้วต้องแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดการร่วมกันในหน่วยงานรัฐ และแจ้งต่อประชาชนในทันที พร้อมคำแนะนำในการป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ 

3. การจัดการความเสี่ยง โดยการฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อนแคดเมียมด้วยวิธีการที่ถูกต้อง การใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อให้ผู้ที่ส่วนเกี่ยวข้องรับผิดชอบ 

ณัฐฐา กล่าวว่า ในเบื้องต้นภาครัฐควรประเมินความเสี่ยงสภาพแวดล้อม โดยตรวจสอบสภาพอากาศตั้งแต่จุดที่ขนย้ายกากแคดเมียมตามเส้นทางที่มีการบรรทุกจากต่างจังหวัดเข้ามายังกรุงเทพฯ รวมไปถึงบริเวณภายในโกดังของโรงงานที่จัดเก็บกากแคดเมียม หากพบว่ามีการปนเปื้อนภายในก็ต้องขยายวงรัศมีการตรวจสอบออกไปในพื้นที่โดยรอบ ทั้งแหล่งดินเพาะปลูก แหล่งน้ำ และสภาพอากาศโดยรอบด้วยเช่นกัน ซึ่งหากตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงแล้วพบว่าไม่มีผลกระทบ หรือมีผลกระทบก็ตาม ต้องรีบแจ้งต่อประชาชนให้ทราบถึงสถานการณ์เป็นระยะ ๆ  

“เป็นหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐที่ต้องเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่โดยรอบของโกดังที่จัดเก็บ ทั้งแหล่งน้ำ พื้นที่เพาะปลูก และในอากาศ ซึ่งต้องเริ่มต้นจากโกดังที่จัดเก็บก่อน หากพบว่ามีการปนเปื้อน ก็ต้องขยายวงรัศมีการตรวจสอบออกไปจนกว่าจะไปพบว่าพื้นที่ใดบ้างที่ไม่มีการปนเปื้อนแล้ว และจากนั้นก็ต้องมีแนวทางการจัดการกากแคดเมียมที่ค้นพบอย่างถูกต้องต่อไป เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อประชาชนได้อีก”

ณัฐฐา กล่าวย้ำ 

ณัฐฐา กล่าวอีกว่า ในส่วนประชาชนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงโกดังที่จัดเก็บกากแคดเมียม อย่าเพิ่งตื่นตระหนก แต่ให้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เบื้องต้นจะต้องใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการสูดดมสารแคดเมียมที่อาจกระจายตัวอยู่ในอากาศ รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงที่เป็นรอยต่อของกรุงเทพฯ อย่าง จ.นนทุบรี ก็ต้องเฝ้าระวังด้วยเช่นกัน แม้ว่าขณะนี้ยังไม่มีความแน่ชัดว่ามีการปนเปื้อนหรือกระจายไปก็ตาม 

“สารแคดเมียมมีความอันตรายและเป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งเข้าสู่ร่างกายได้ทางการสูดดมในอากาศ การสัมผัสทางผิวหนัง และการรับประทานพืชผักผลไม้ที่ปนเปื้อนจากการเพาะปลูก ดังนั้น ประชาชนอาจต้องตระหนักรู้ และเมื่อได้รับข่าวสารเกี่ยวกับสารเคมี หรือสารพิษ ก็ต้องคอยรับฟังข้อมูลจากภาครัฐ และกรองข่าวสารนั้นเพื่อความถูกต้อง พร้อมกับหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อให้รู้ตัวว่าต้องระวังขนาดไหน แต่สิ่งสำคัญคือภาครัฐต้องสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาต่อไปประชาชน”

ณัฐฐา กล่าว

กากแคดเมียม ถุงใหญ่อยู่ในโรงงานมิดชิด ประชาชนทั่วไปมีความเสี่ยงน้อย

วันเดียวกัน นายแพทย์อภิชาต วชิรพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ลงพื้นที่เฝ้าระวังสุขภาพประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากกากแคดเมียม เร่งค้นหาผู้ที่ได้รับผลกระทบ ตรวจคัดกรองสุขภาพ และตรวจหาสารแคดเมียมในปัสสาวะของประชาชนเพิ่มเติม พร้อมทั้ง ให้ความรู้ประชาชนในพื้นที่ เช่น ความรู้ทั่วไป อันตราย และวิธีการป้องกัน รวมถึงการปฐมพยาบาลเบื้องต้น พร้อมให้คำปรึกษาและศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

นายแพทย์อภิชาต กล่าวว่า เนื่องจากกากแคดเมียมดังกล่าว ส่วนใหญ่ เก็บไว้ในถุงขนาดใหญ่ในโรงงานมิดชิด ประชาชนทั่วไปจึงมีความเสี่ยงน้อยที่สัมผัสหากไม่ได้ทำงานในโรงงาน หรือเตาหลอมโลหะ แต่จะสัมผัสจากการฟุ้งกระจาย ไปติดตามพื้นบ้านที่อยู่อาศัย ซึ่งฟุ้งไปไม่ไกล ซึ่งประชาชนในพื้นที่สามารถป้องกันตัวเองได้ด้วยมาตรการ ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด ใช้การดูดฝุ่นหรือผ้าชุบน้ำเช็ด ทำความสะอาดแทนการกวาดบ้าน และหมั่นล้างมือบ่อยๆ ก่อนรับประทานอาหารและดื่มน้ำ ประชาชนที่อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียงควรสังเกตอาการตนเองหรือหากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ระคายเคืองหลอดลม มีประวัติเข้าใกล้พื้นที่เสี่ยง ขอให้รีบพบแพทย์และแจ้งประวัติเสี่ยงทันที

ทั้งนี้ ถ้าเป็นคนงานที่ปฏิบัติงานในโรงงานที่มีกากแคดเมียมต้องสวมชุด และหน้ากากป้องกันตัวตามมาตรฐาน สำหรับประชาชนทั่วไป ที่อยู่ในบริเวณพื้นที่รอบข้าง ควรปฏิบัติตัวดังนี้

  1. หลีกเลี่ยงการเข้าไปในเขตพื้นที่โรงงาน หรือพื้นที่ที่พบแคดเมียม
  2. หากมีการสูดดมไอระเหยจากการหลอมเข้าไป ให้รีบไปอยู่ในพื้นที่โล่งแจ้ง อากาศบริสุทธิ์
  3. หากผงฝุ่นเข้าตา รีบล้างด้วยน้ำสะอาดและพบจักษุแพทย์
  4. หากเผลอกลืนกิน รีบดื่มน้ำตามทันที อย่างน้อย 2 แก้ว
  5. หากมีอาการผิดปกติ รีบปรึกษาแพทย์ทันที ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลสุขภาพเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422

สำหรับสารแคดเมียม เป็นแร่โลหะหนักชนิดหนึ่ง ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมหลากหลายด้าน เช่น ใช้ฉาบและเคลือบเงาผิวโลหะต่างๆ เพื่อความเงางาม ทนต่อการกัดกร่อน ผลิตแบตเตอรี่ขนาดเล็ก เป็นต้น สามารถพบแคดเมียมปนเปื้อนได้ในอาหาร น้ำ รวมทั้งพบแคดเมียมในสีที่ผสมใช้กับบ้าน หรืออาคาร เมื่อร่างกายได้รับสารแคดเมียมเข้าไป จะมีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง สามารถทำให้เกิดอาการแบบเฉียบพลัน ได้แก่ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ระคายเคืองหลอดลม จมูก และคอ เป็นต้น หลังจากการรับสัมผัสเป็นระยะเวลานานจะก่อให้เกิดพังผืดที่ปอด พิษต่อไต โรคกระดูก หรือที่รู้จักกันในโรคอิไต อิไต และก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active