ชัชชาติ สรุป 11 มาตรการ 11 ข้อเสนอ แก้ฝุ่น PM 2.5 จี้ เก็บภาษีสิ่งแวดล้อม เร่ง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ

กทม. เผยผลการศึกษา ต้นเหตุฝุ่น PM 2.5 ใน กทม. มาจาก 3 ปัจจัย “รถยนต์ สภาพอากาศปิด และการเผาชีวมวล” เดินหน้า “แผนลดฝุ่น 365 วัน” ย้ำ ทำทุกวันทั้งปี เฝ้าระวัง-แจ้งเตือนประชาชน-การกำจัดต้นตอ พร้อมยื่น 11 ข้อเสนอต่อรัฐบาล ประกาศให้กรุงเทพมหานครเป็นเขตควบคุมมลพิษ

เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2568 ที่ประชุมสภากรุงเทพมหานคร ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รายงาน แผนปฏิบัติการแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปี 2568 หรือ “แผนลดฝุ่น 365 วัน” ว่า กทม. ดำเนินการอยู่ตลอดทุกวันทั้งปี โดยในระยะปกติมีการติดตามเฝ้าระวังและแจ้งเตือนประชาชน การกำจัดต้นตอ  โดยสามารถสรุปออกมาเป็น 11 มาตรการฝุ่น ได้แก่ 

1. Low Emission Zone (LEZ) หรือ มาตรการเขตมลพิษต่ำ ควบคุมรถเข้าพื้นที่ โดยใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ห้ามรถ 6 ล้อขึ้นไปที่ไม่ลงทะเบียนบัญชีสีเขียว (Green List) เข้าพื้นที่วงแหวนรัชดาภิเษก ซึ่งหากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายและมีแนวโน้มฝุ่นเพิ่มมากขึ้นจะประกาศขยายพื้นที่ควบคุมไปยังวงแหวนกาญจนาภิเษกด้วย ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยใช้ CCTV และ เทคโนโลยี อ่านป้ายทะเบียน และตรวจสอบกับ Green List เพื่อดำเนินการแจ้งความ โดยมีรถลงทะเบียน Green List แล้ว 43,716 คัน 

2. โครงการรถคันนี้ลดฝุ่น เป็นการชวนประชาชนเป็นแนวร่วมลดฝุ่น ซึ่งจากการวิจัยพบว่าการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง/ ไส้กรอง สามารถลดฝุ่น PM 2.5 ได้ถึง 55% โดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง/ไส้กรอง เพื่อช่วยเหลือประชาชน เริ่มดำเนินการ เมื่อปี 2567 (18 ธ.ค. 66 – 29 ก.พ. 67) มีรถเข้าร่วม 265,130 คัน จากเป้าหมาย 265,130 คัน ส่วนในปี 2568 เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 มีรถเข้าร่วม 229,711 คัน (ข้อมูล ณ วันที่ 23 ม.ค. 68) จากเป้าหมาย 500,000 คัน 

3. ห้องเรียนปลอดฝุ่น โดยโรงเรียนสังกัด กทม. ระดับชั้นอนุบาล 429 แห่ง ปรับปรุงเสร็จแล้ว 744 ห้อง จากห้องเรียนอนุบาลทั้งหมด 1,966 ห้อง และจะปรับปรุงให้เสร็จทั้งหมดภายในปี 2568 ซึ่งเป็นเหตุผลที่ กทม. ไม่ปิดทุกโรงเรียนพร้อมกัน เพราะเชื่อว่าโรงเรียนเป็นที่ปลอดภัยให้กับนักเรียนได้ ในส่วนของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน ได้มีการติดตั้งเครื่องกรองอากาศ ซึ่งปัจจุบันยังติดไม่ครบ อยู่ระหว่างติดตั้งเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังมีโครงการห้องเรียนสู้ฝุ่น ร่วมกับ สสส. ติดตั้งเครื่องวัดคุณภาพอากาศ 437 เครื่อง และสร้างความตระหนักรู้ถึงปัญหาฝุ่นละออง

4. เครือข่าย WORK FROM HOME (WFH) เพื่อลดการจราจรในท้องถนน และประชาชนจะได้ไม่ต้องออกไปเจอสภาพอากาศที่ไม่ดีข้างนอก ปัจจุบันมีหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วมกับ กทม. เป็นภาคีเครือข่าย WFH รวม 103,781 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 28 ม.ค. 68) โดยตั้งเป้าหมายจะทำให้ถึง 200,000 คน

5. รถอัดฟางให้ยืมฟรี เนื่องจากการผลักภาระให้เกษตรกรอย่างเดียวไม่ถูกต้อง เพราะปัญหาฝุ่นเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งการเผาเป็นวิธีที่ต้นทุนต่ำ กทม. ตั้งงบประมาณซื้อรถอัดฟางสนับสนุนให้เกษตรกรยืมใช้ฟรี ช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกร และสามารถนำฟางไปขายได้

6. สนับสนุนทีมฝนหลวงช่วยลดฝุ่น กทม. ซึ่งหัวใจของฝนหลวงไม่ใช่การทำให้ฝนตกลงมาเพื่อล้างฝุ่น แต่เป็นไปตามแนวคิดการเจาะช่องฝาชีที่ครอบอยู่เพื่อให้ฝุ่นระบายขึ้นไปได้ ที่ผ่านมาไม่เคยมีการบินในเขตกรุงเทพมหานครเพราะเป็นเขตหนาแน่น ปีนี้เป็นปีแรกที่วิทยุการบินฯ อนุญาตให้บิน โดย กทม. ได้สนับสนุนทีมฝนหลวงในการรับบริจาคน้ำแข็งแห้งจำนวน 300 ตัน ส่วนประสิทธิภาพอาจยืนยันไม่ได้ ต้องให้ทางกรมฝนหลวงฯ ยืนยันอีกครั้ง

7. เปิดช่องทางแจ้งเบาะแสฝุ่น โดยใช้ Traffy Fondue ซึ่งมีเมนูแจ้งการเผา แจ้งควันดำโดยเฉพาะ 

8. การพยากรณ์และแจ้งเตือนฝุ่น โดยพยากรณ์ฝุ่นได้แม่นยำ ใช้เซ็นเซอร์ที่ได้มาตรฐาน มีการแจ้งเตือน อาทิ ธงคุณภาพอากาศในโรงเรียน/ชุมชน/สำนักงานเขต เปิดศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร และ Live แจ้งเตือนสถานการณ์วันละ 1 ครั้ง มี Line Alert ที่แจ้งเตือนเมื่อมีวิกฤต เพื่อให้ประชาชนรับรู้ทันท่วงที

9. การตรวจฝุ่นที่ต้นตออย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ 1 ต.ค. 65 – 29 ม.ค. 68 อาทิ โรงงาน 236 แห่ง ตรวจแล้ว 14,638 ครั้ง แพลนท์ปูน 105 แห่ง ตรวจแล้ว 2,451 ครั้ง สั่งปิด 17 แห่ง ตรวจรถโดยสารแล้ว 57,057 คัน ห้ามใช้ 85 คัน ตรวจรถบรรทุก 142,880 คัน ห้ามใช้ 743 คัน เป็นต้น  ซึ่งการตรวจรถเมล์/รถ 6 ล้อขึ้น กทม.ไม่มีสิทธิห้ามใช้งาน จึงต้องร่วมกับกรมการขนส่งทางบกหรือตำรวจและอาศัยอำนาจเขาในการห้าม

10. การปรับปรุงการจราจร ปรับปรุงทางเท้า เป้าหมายระยะทาง 1,000 กม. และการใช้จักรยาน Bike Sharing เพื่อให้คนลดการใช้รถยนต์ลง

11. เพิ่มพื้นที่สีเขียว โครงการปลูกต้นไม้ล้านต้น ซึ่งตอนนี้ปลูกไปแล้วกว่า 1,286,000 ต้น พร้อมขยายเป้าเป็น 2 ล้านต้น และจัดทำสวน 15 นาที ซึ่งทำไปแล้วกว่า 170 แห่ง จากเป้าหมาย 500 แห่ง ทั้งนี้ การเพิ่มพื้นที่สีเขียวอาจเป็นโครงการที่ไม่เห็นผลในวันนี้ แต่อนาคตจะเป็นร่มเงาและคอยดักฝุ่นให้เมืองกรุงฯ ได้

11 ข้อเสนอต่อรัฐบาล แก้ฝุ่นยั่งยืน

นอกจากมาตรการต่าง ๆ ข้างต้น กทม. ยังรวบรวม 11 ข้อเสนอต่อรัฐบาลเพื่อให้การดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ได้แก่ 

1. มาตรการตรวจควันดำและการตรวจสภาพรถประจำปี ประกอบด้วย การลดค่าความทึบแสงให้เหลือ 10% หรือให้ กทม. กำหนดค่ามาตรฐานเอง และการตรวจสารมลพิษอื่นจากปลายท่อไอเสีย

2. การติดตัวกรองมลพิษอนุภาคจากเครื่องยนต์ดีเซล (DPF) โดยพิจารณาในกลุ่มรถที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป เพื่อลดมลพิษจากแหล่งกำเนิดภาคการจราจร

3. การให้ กทม. เป็นผู้ตรวจการขนส่ง เพื่อให้มีอำนาจเรียกรถให้หยุดเพื่อทำการตรวจสอบ ตลอดจนจับกุมผู้ฝ่าฝืน

4. การจัดการรถเก่า โดยเพิ่มการจัดเก็บภาษีรถเก่าให้สอดคล้องกับการปล่อยมลพิษของรถตามอายุการใช้งาน และสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเข้าถึงรถพลังงานไฟฟ้า (EV) โดยอาจสนับสนุนการนำรถเครื่องยนต์สันดาปแลกรถยนต์ EV คันแรก

5. ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศให้กรุงเทพมหานครเป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษในพื้นที่ได้อย่างสอดคล้องกับบริบทเมือง

6. การควบคุมปริมาณรถ โดยสนับสนุนรถพลังงานไฟฟ้า จำกัดการซื้อรถใหม่ที่มาตรฐานต่ำกว่ายูโร 5 หรือทะเบียนเก่าแลกทะเบียนใหม่ จำกัดการเพิ่มขึ้นของรถ และนำรถเก่าออกจากระบบ

7. การย้ายท่าเรือคลองเตย เพื่อลดปริมาณแหล่งกำเนิดมลพิษภาคการจราจรในพื้นที่กรุงเทพฯ

8. การควบคุมโรงงานอุตสาหกรรม 236 แห่ง โดยกำหนดให้มีการจัดทำรายงานชนิดและปริมาณสารมลพิษที่ระบายออกจากสถานประกอบกิจการที่มีหม้อไอน้ำ รวมทั้งให้ติดตั้ง CEMs (เครื่องตรวจวัดมลพิษปลายปล่อง) ทุกโรงงาน

9. การเก็บภาษีสิ่งแวดล้อม ตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle: PPP) โดยขอให้เร่งรัดกระบวนการพิจารณาข้อบัญญัติกฎหมายภายใต้พระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … และเร่งรัดการประกาศใช้ต่อไป

10. การตรวจมลพิษในท่าเรือ (จากปลายท่อ) โดยแต่งตั้งให้ข้าราชการสังกัด กทม. เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ปฏิบัติการตามมาตรา 63 มาตรา 65 และมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการควบคุมมลพิษจากเรือตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทยทั่วราชอาณาจักร ในพื้นที่กรุงเทพฯ

11. การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อวิเคราะห์สารมลพิษและผลกระทบต่อสุขภาพ ตลอดจนการกำหนดมาตรการลดและควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นละอองขนาดเล็กและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสารมลพิษที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เมือง

“เรื่องมาตรการฝุ่นต้องเรียนว่ามีหลายมิติ และเชื่อว่าเป็นความพยายามที่ต้องมีหลายหน่วยงานร่วมกัน และต้องช่วยกันผลักดัน กทม. เองก็ต้องยอมรับว่าเรายังทำได้ไม่ดีที่สุด ต้องทำให้ดีกว่านี้ หาก ส.ก. มีข้อเสนอแนะอะไร เรายินดีรับฟังและนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันขอให้ช่วยกันผลักดันในสภาใหญ่กับทางรัฐบาลด้วยเพราะหลายเรื่องไม่ได้อยู่ในขอบเขตเรา อย่างมากทำได้แค่ไปดู ถ่ายรูป หารือ แต่ไม่มีอำนาจไปจัดการ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในอนาคตยังมีความหวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้น”
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ 

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวอีกว่า ปัญหาเรื่องฝุ่น กทม. ถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยจาการดำเนินโครงการ “นักสืบฝุ่น” ร่วมกับนักวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ  พบว่าฝุ่นในพื้นที่กรุงเทพฯ มาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ รถยนต์ สภาพอากาศปิด และการเผาชีวมวล โดยในสถานการณ์ปกติจะมีฝุ่น PM2.5 จากรถยนต์เป็นทุนเดิมอยู่ที่ประมาณ 30 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เมื่อมีอากาศปิด ร่วมกับฝุ่น PM2.5 จากรถยนต์เป็นทุนเดิม แต่ไม่มีการเผา จะมีค่าฝุ่นที่ประมาณ 60 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และเมื่อมีอากาศปิด ร่วมกับฝุ่น PM2.5 จากรถยนต์เป็นทุนเดิม และมีการเผาด้วย จะมีค่าฝุ่นที่ประมาณ 90 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ดังนั้น จึงต้องให้ความสำคัญกับทั้งฝุ่นที่มาจากรถยนต์และการเผาชีวมวลซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์ในพื้นที่กรุงเทพฯ ไม่ดี

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active