ปชน. จี้ รัฐบาล – กทม. อุดช่องว่าง แก้วิกฤตฝุ่น PM2.5

‘หน.เท้ง’ ขน สส. – สก. สะท้อนปัญหาฝุ่น พบปีนี้สถิติฝุ่นสูงกว่าปีที่แล้ว 20% เสนอมาตรการ ‘ยังไม่พอ-ยังไม่ทำ-ยังไม่เริ่ม’ พร้อมเชิญนายกฯ – ผู้ว่าฯ กทม. ร่วมเวที กมธ.ที่ดิน ถก แนวทางแก้ปัญหา 13 ก.พ.นี้

วันนี้ (6 ก.พ. 68) พรรคประชาชน นำโดย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วย สส.กทม. และ สก. กว่า 40 คน ร่วมแถลงข่าว “วิกฤต PM 2.5 คือวิกฤตภาวะผู้นำ” พร้อมข้อเสนอเชิงนโยบายที่ต้องการให้ผู้นำทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่นดำเนินการแก้ไขปัญหาฝุ่นอย่างจริงจังจากช่องว่างในการบริหารราชการแผ่นดินทั้งระดับประเทศและระดับท้องถิ่น

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน

ทั้งนี้ ตลอดเวลาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. จนถึงปัจจุบัน นับว่าเป็นเวลาถึง 36 วันแล้วที่ชาวกรุงเทพฯ ต้องใช้ชีวิตในภาวะที่ค่าฝุ่นสูงกว่าค่ามาตรฐาน และเมื่อเทียบค่าฝุ่น 36 วันแรกของปี 2567 และปี 2568 จะพบว่าปัญหาฝุ่นในปีนี้มีความหนักหน่วงเพิ่มขึ้น 20% ซึ่งสถานการณ์ฝุ่นล่าสุดวันนี้ปริมาณฝุ่นที่ได้รับจากการสูดอากาศอาจมีปริมาณเท่ากับการสูบบุหรี่ 1.7 มวน

ไม่เพียงเท่านั้น ปัญหาฝุ่นยังกระทบไปถึงเด็กทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา จนถึงผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งนอกจากส่งผลกระทบต่อสุขภาพยังสร้างความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจที่นับรวมมูลค่า 2 ล้านล้านบาทต่อปีอีกด้วย

แม้ที่ผ่านมาพรรคประชาชนพยายามผลักดันมาตรการแก้ไขปัญหา ทั้งการผลักดันร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาด การใช้มาตรการต่าง ๆ ผลักดันผ่านการตั้งกระทู้ถาม และเวทีกรรมธิการ รวมถึงระดับท้องถิ่น โดย สก. พรรคประชาชน ที่เคยผลักดันข้อบัญญัติรถเมล์อนาคต และข้อบัญญัติพื้นที่สีเขียว เพื่อเพิ่มปอดให้กับชาว กทม. ไปแล้ว แต่ขณะนี้เป็นเวลาที่รัฐบาลและผู้บริหารท้องถิ่นจำเป็นต้องดำเนินมาตรการร่วมกันอย่างจริงจัง อุดช่องว่างที่เกิดในการบริหารราชการแผ่นดินระหว่างกัน และเดินหน้าแก้ไขเพื่อประชาชนโดยเร็วที่สุด

“ประชาชนรู้จักฝุ่นมานานนับ 10 ปี และปีนี้เป็นปีที่สองของการบริหารราชการแผ่นดิน และเป็นปีที่สามของการบริหารของผู้ว่าฯ กทม. เชื่อว่าหากมีการประสานของผู้นำทั้งสองระดับจะสามารถแก้ไขปัญหาฝุ่นได้ดีกว่านี้”

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ

ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. พรรคประชาชน มองว่า ผู้นำระดับชาติและระดับท้องถิ่นเพิกเฉยต่อสถานการณ์อย่างมาก ขณะนี้กลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มผู้เปราะบางใน กทม. ไม่สามารถหาทางออกได้ 1.24 ล้านคน และกำลังเผชิญกับชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะเขตบางแค ที่มีผู้สูงอายุถึง 43,000 คน แต่ยังไม่มีมาตรการใด ๆ เข้ามาดูแลแก้ไข

“เสมือนหนึ่งว่ารัฐบาลกำลังฆ่าผู้สูงอายุทางอ้อม อยากจะเรียนถึงประชาชนว่าในพื้นที่เขตบางแค มีศูนย์ดูแลผู้สูงอายุบ้านบางแคหนึ่งที่มี พม. ดูแลอยู่ และบ้านบางแคสองที่ดูแลโดย กทม. ซึ่งทั้ง 2 หน่วยงานทำให้เห็นชัดเจนว่าไม่มีมาตรการใดที่จะรองรับ ยังไม่พูดถึงแผนกอายุรกรรมตามโรงพยาบาลที่เป็นห้อง Open Air ที่กำลังเผชิญชะตากรรม นี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่ยังหาทางออกหรือหามาตรการเยียวยาช่วยเหลือป้องกันกลุ่มคนเหล่านี้ได้เลย”

ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์

ภัสริน รามวงศ์ สส.กทม. พรรคประชาชน ที่ได้สะท้อนปัญหาของนักเรียนและผู้ปกครองในพื้นที่บางซื่อและเขตดุสิตจากการเดินทางไปโรงเรียน หรือสถานที่ทำงาน ในทุก ๆ วัน โดยขอเป็นตัวแทนของคนเหล่านี้ว่ามหัตภัยฝุ่น PM2.5 ไม่ใช่ภัยเงียบแต่เป็นหายนะที่กำลังจะพาให้สุขภาพย่ำแย่ลง

ขณะที่ ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กทม. พรรคประชาชน วิจารณ์พรรคเพื่อไทย และรัฐบาลเกี่ยวกับปัญหาการจัดซื้อรถเมล์ไฟฟ้า โดยชี้ว่า ในช่วงเลือกตั้งปี 2566 พรรคเพื่อไทยใช้รถเมล์ไฟฟ้าเป็นสัญลักษณ์หาเสียง แต่หลังจากนั้น กลับไม่มีความคืบหน้าในการผลักดันให้ ขสมก. จัดซื้อรถเมล์ไฟฟ้าจริง ๆ

โดยปัญหาหลักเกิดจาก ขสมก. ไม่มีบอร์ดบริหาร ทำให้ไม่สามารถอนุมัติหรือดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างได้ ซึ่งต้องรอจนกระทั่งพรรคประชาชนกดดันในสภา รัฐบาลจึงแต่งตั้งบอร์ดขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะผ่านมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี ก็ยังไม่มีการจัดทำ TOR สำหรับการจัดซื้อรถเมล์ไฟฟ้าเช่นเดิม

นอกจากนี้ แม้หลังเลือกตั้งในปี 2566 ที่ เศรษฐา ทวีสิน ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ได้เคยหารือกับ ผู้ว่าฯ กทม. เกี่ยวกับเรื่องสถานการณ์ฝุ่นไปแล้ว แต่ในการหารือนั้นเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว และจนถึงตอนนี้ยังไม่มีมาตรการชัดเจนในการแก้ปัญหาเลยตั้งแต่นั้นมา

ศุภณัฐ ยังได้ยกตัวอย่างหลายมาตรการที่รัฐบาลและกรุงเทพมหานครสามารถจับมือร่วมกันทำงานได้ เช่น

  • มาตรการนำรถเก่ารถบรรทุกมาเทิร์นเปลี่ยนเป็นรถใหม่พลังงานสะอาดรถไฟฟ้า
  • มาตรการการเปลี่ยนไส้กรองสนับสนุนให้ประชาชนเปลี่ยนไส้กรองเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
  • มาตรการเวิร์คฟอร์มโฮมอย่างจริงจัง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
  • มาตรการสนับสนุนการจอดแล้วจร
  • มาตรการพัฒนาที่อยู่อาศัยรอบสถานีรถไฟทำให้ประชาชนเข้าใกล้สถานีรถไฟมากขึ้น
  • มาตรการเพิ่มเส้นทางรถเมล์ให้เข้าถึงประชาชน
  • มาตรการในการพัฒนาพื้นที่ต่าง ๆ ให้เป็นพื้นที่สีเขียวและการรับค่าธรรมเนียมค่าต่อภาษีเพื่อสะท้อนมลพิษที่มีการปล่อยออกมา

อย่างไรก็ตาม ณัฐพงษ์ ยังได้สรุปมาตรการต่าง ๆ ที่คนในพรรคได้เสนอมาเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

  1. ผู้บริหารทั้งสองระดับอาจทำมาแล้วแต่ยังไม่เพียง (ยังไม่พอ)
  2. อาจจะมีการสื่อสารมาแล้วแต่ยังไม่เริ่มลงมือทำอย่าง (ยังไม่ทำ)
  3. กลุ่มที่ยังไม่ได้มีการเริ่มดำเนินการใด (ยังไม่เริ่ม)

1. ผู้บริหารทั้ง 2 ระดับอาจทำมาแล้วแต่ยังไม่เพียง (ยังไม่พอ)

  • นโยบาย Low Emission Zone หรือเขตควบคุมมลพิษ ในหลายพื้นที่ยังไม่ครอบคลุม จากจำนวนที่บังคับใช้น้อยเกินไป จำนวนรถที่เข้าร่วมโครงการยังไม่มากพอ โดยเสนอให้มีการผลักดันการบังคับใช้มาตรการนี้ให้ครอบคลุมและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
  • รัฐบาลส่วนกลางมอบอำนาจให้กับท้องถิ่นไม่มากพอ ตามที่ กทม. สื่อสารว่ายังไม่มีอำนาจตรวจจับปรับรถที่มีควันดำ ซึ่งจะต้องอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ. ขนส่งทางบก และต้องประสานกับรัฐบาลส่วนกลางที่จะมอบอำนาจให้กับท้องถิ่น
  • การตรวจโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล นอกจากการติดตั้งเครื่องตรวจจับฝุ่น PM2.5 แล้วการตรวจจับสารพิษสารเคมีต่าง ๆ ที่เป็นบ่อเกิดฝุ่นทุติยภูมิ ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเตาเผาขยะของ กทม. ควรมีการติดตั้งเครื่องตรวจจับมลพิษด้วย
  • พื้นที่ปลอดภัยให้กับกลุ่มเปราะบาง เช่น ห้องปลอดฝุ่นในสถานที่ศึกษา หรือสถานสถานพยาบาลต่าง ๆ เพื่อดูแลประชากรกลุ่มเปราะบางทุกกลุ่มให้ได้รับการป้องกันอย่างทั่วถึง

2. อาจจะมีการสื่อสารมาแล้วแต่ยังไม่เริ่มลงมือทำอย่าง (ยังไม่ทำ)

  • การผลักดันพระราชบัญญัติรถเมล์อนาคต ที่กฤษฎีกาตีความว่ากทม. ไม่มีอำนาจในการทำเอง แต่เรายังมีรัฐบาลระดับประเทศที่มีอำนาจเต็มในการออกกฎหมายลำดับรองหรือประกาศต่าง ๆ เพื่อให้พื้นที่กรุงเทพมหานครให้รถโดยสารสาธารณะทุกสายต้องใช้พลังงานสะอาด หรือต้องใช้รถเมล์ไฟฟ้าอย่างเดียวเท่านั้น
  • การปรับมาตรฐานปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ ให้สอดคล้องกับอายุของรถ สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานสะอาด
  • มาตรการเรือโดยสาร การควบคุมมลพิษเรือโดยสารทางน้ำ ที่ผู้ว่า กทม. ออกมาสื่อสารว่ายังมีอำนาจดำเนินการได้

3. กลุ่มที่ยังไม่ได้มีการเริ่มดำเนินการใด (ยังไม่เริ่ม)

  • การประกาศเขตควบคุมมลพิษ เนื่องจากขณะนี้ กทม. ยังขาดอำนาจการจัดการมลพิษ คือการรอประกาศให้กทม. เป็นเขตควบคุมมลพิษ ให้สามารถควบคุมมลพิษที่เกิดจากการปล่อยผ้าขนขนส่ง จากโรงงานอุตสาหกรรม การเผาในพื้นที่ภาคการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“นี่คือข้อเสนอมาตรการทั้ง 3 กลุ่ม ที่พรรคประชาชนเชื่อว่าหากมีการดำเนินการทำอย่างจริงจังมากเพียงพอระหว่างผู้บริหารระดับประเทศและระดับท้องถิ่น จะสามารถแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ให้กับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ

หน.พรรคประชาชน ยังได้เชิญชวนส่วนราชการทุกส่วน และผู้บริหารทั้งสองระดับร่วมหาทางออกร่วมกัน รวมถึงกำหนดแนวมาตรการนโยบายการดำเนินการทำทันที เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนในเวทีกรรมาธิการที่ดินและสิ่งแวดล้อมวันที่ 13 ก.พ. นี้

ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้บริหารทั้งสองระดับ ทั้งนายกรัฐมนตรี และผู้ว่าฯ กทม. จะมาร่วมประชุมเองหรือส่งตัวแทนมา เพราะต้องการมีวิธีหาทางออกร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่เป็นวิกฤตร้ายแรงให้กับประชาชนได้ในทันที และยังเชื่ออีกว่าหากแก้ไขปัญหานี้ได้จะเป็น โรลโมเดล ตัวอย่างต้นแบบที่สามารถแก้ไขปัญหาในจังหวัดอื่น ๆ ของประเทศได้อีก ซึ่งประชาชนในภาคส่วนต่าง ๆ รอการแก้ไขปัญหาเช่นเดียวกัน”

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active