สส.พรรคประชาชน อ้างรัฐบาลไร้แผนรองรับ แก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ควบจัดการฝุ่น PM 2.5 จี้ประกาศแผนสนับสนุนชาวนา ลดเผาตอซัง พยุงราคาข้าวในประเทศ ที่ไม่ใช่แค่มาตรการเยียวยา
เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 68 สส.พรรคประชาชน แถลงระบุถึงกรณีการประท้วงของชาวนาเรื่องราคาข้าวตกต่ำ และและการจัดการฝุ่น PM 2.5 ของรัฐบาล โดย ณรงเดช อุฬารกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน บอกว่า จากปัญหาราคาข้าวตกต่ำและมาตรการลงโทษเกษตรกรในการห้ามเผาในพื้นที่การเกษตร โดยไม่มีการสนับสนุนที่เป็นรูปธรรมจากรัฐบาล ส่งผลให้พี่น้องชาวนาหลายจังหวัดมีการชุมนุมเพื่อเรียกร้องจากรัฐบาลในสัปดาห์ที่ผ่านมา และยังมีการนัดหมายชุมนุมต่อเนื่องในสัปดาห์นี้
พรรคประชาชน เห็นว่า ปัญหาที่ชาวนาต้องเผชิญ เกิดขึ้นจาก ภาวะวิกฤตการนำของรัฐบาล โดยเฉพาะ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ไม่เข้าใจเงื่อนไขข้อจำกัดของชาวนา ไม่เตรียมการล่วงหน้า และไม่มีการประสานงานที่ดีระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลที่ดูแลกระทรวงต่าง ๆ โดยเฉพาะ 2 กระทรวงที่เกี่ยวข้องคือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์
“จะเห็นได้ว่าทันทีที่รัฐบาลสั่งการให้กระทรวงต่าง ๆ หามาตรการแก้ปัญหา PM 2.5 กระทรวงเกษตรฯ ก็ออกมาตรการห้ามเผาในพื้นที่การเกษตรทันที โดยกำหนดบทลงโทษว่าเกษตรกรที่ทำการเผาจะถูกตัดความช่วยเหลือในปีต่อไป ซึ่งเรื่องนี้กระทบต่อต้นทุนการผลิตของเกษตรกร พรรคประชาชนทราบดีว่าการเผาในพื้นที่เกษตรเป็นสาเหตุประการหนึ่งของปัญหามลพิษทางอากาศ แต่ควรมีการเตรียมที่ดีกว่านี้ ออกแบบการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้พี่น้องเกษตรกรได้ปรับตัว ปรับรูปแบบการทำนาจากแบบที่มีการเผาเป็นแบบที่ไม่มีการเผาได้อย่างแท้จริง”
ณรงเดช อุฬารกุล

ณรงเดช บอกด้วยว่า พรรคประชาชนได้ทำการสำรวจพื้นที่การทำนาทั่วประเทศ พบว่า การทำนาโดยเฉพาะการเตรียมดินแบบไม่เผาฟาง หรือตอซัง จำเป็นจะต้องมี
- น้ำชลประทานหรือน้ำเพื่อการเกษตรเพื่อใช้ในการหมักตอซัง บางพื้นที่ถ้าไม่ได้น้ำเข้าไปช่วยในช่วงเวลาที่เหมาะสมก็จะหมักตอซังไม่ได้
- จุลินทรีย์ที่ช่วยในการย่อยสลายฟางและตอซังให้เร็วขึ้น
- การปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ของผู้ให้บริการ เช่น การติดตั้งเครื่องกระจายฟางของรถเกี่ยวนวดข้าว หรือการปรับเครื่องมือในการไถและเตรียมแปลง
- การมีผู้ให้บริการที่เพียงพอในการรับจ้างไถนาแบบไม่เผาตอซัง ซึ่งจะมีระยะเวลาและต้นทุนทำงานที่มากกว่าการเตรียมดินแบบเดิม
“การที่จู่ ๆ รัฐบาลออกมาตรการโดยไม่มีการเตรียมพร้อม ทำให้ถ้าวันนี้เราไปดูแผนที่ทางอากาศที่เป็นพื้นที่เผาไหม้ (Burn Scar) จะเห็นว่ายังมีการเผาในพื้นที่ภาคการเกษตรอยู่ เนื่องจากพี่น้องชาวนาที่ทำนาปรังในฤดูกาลผลิตนี้มีความกังวลว่าถ้าไม่สามารถเตรียมพื้นที่ทำนา จะไม่สามารถทำนาในฤดูกาลต่อไปได้ทัน ซึ่งจะเป็นปัญหาอย่างมากในพื้นที่ภาคกลางที่ต้องทำนาหนีน้ำท่วม”
ณรงเดช อุฬารกุล
ณรงเดช ยังบอกอีกว่า พรรคประชาชนเรียกร้องมาตั้งแต่กลางปี 2567 ให้มีการเตรียมสนับสนุนปัจจัยเหล่านี้อย่างเป็นระบบและทั่วถึง จากการหารือกับพี่น้องชาวนาจำนวนมาก พบว่าส่วนใหญ่ยินดีปรับเปลี่ยนเพื่อช่วยลด PM 2.5 หากรัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ และไม่เพิ่มต้นทุนการทำนาแก่เกษตรกร เพราะการลดการเผาจะช่วยเพิ่มธาตุอาหารในดินให้กับเกษตรกรด้วย จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศแผนการสนับสนุนชาวนาในการไม่เผาตอซังให้ชัดเจน
โดยวางแผนร่วมกับพี่น้องชาวนาในแต่ละทุ่งอย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องการปล่อยน้ำ การจัดหาผู้ให้บริการไถนา และการเตรียมความพร้อมของผู้ให้บริการไถนา โดยงบประมาณในการดำเนินการจะอยู่ในช่วงไม่เกิน 200 บาทต่อไร่ ก็จะสามารถช่วยพี่น้องเกษตรกรได้อย่างเป็นระบบและทั่วถึง
โรงงานอ้อยเริ่มปิดหีบ แต่มาตรการสนับสนุนยังไม่ชัดเจน
นอกจากนี้ ณรงเดช ยังระบุถึง การสนับสนุนชาวไร่อ้อย ที่ขณะนี้โรงงานบางแห่งเริ่มปิดหีบแล้ว แต่รัฐบาลยังไม่ตัดสินใจว่าจะสนับสนุนชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดเข้าสู่โรงงานในอัตรา 120 บาทต่อตัน ตามที่เคยประกาศหรือไม่ ทำให้ชาวไร่อ้อยไม่มีความมั่นใจ หรือแม้แต่กระทรวงเกษตรฯ กับนายกฯ ที่ออกมาประกาศว่า ถ้าใครเผาจะไม่ได้ไร่ละ 1,000 บาท คำถามจากพี่น้องเกษตรกรคือสรุปแล้ว ปีนี้จะยังมีโครงการไร่ละพันใช่หรือไม่ ถ้าเขาไม่เผา เขาจะได้เงินส่วนนี้แน่นอนใช่หรือไม่ ?
จากการตรวจสอบไปยังคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) พบว่า ในสัปดาห์นี้ยังไม่มีการนัดประชุมแต่อย่างใด ประชุมครั้งล่าสุดเมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ตรงกับฤดูกาลผลิตที่แล้ว แต่ขณะที่สถานการณ์ราคาข้าวเป็นแบบนี้ รัฐบาล และ นบข. กลับไม่มีการเรียกประชุมเพื่อแก้ปัญหาให้เกษตรกรแต่อย่างใด ความไม่เข้าใจ ความคลุมเครือ และการไม่กล้าตัดสินใจเช่นนี้ สะท้อนภาวะวิกฤตการนำของรัฐบาลในการสนับสนุนพี่น้องเกษตรกรในวิกฤต PM 2.5 อย่างชัดเจน
จี้รัฐบาลออกนโยบายพยุงราคาข้าวในประเทศ
ส่วนเรื่องราคาข้าวนั้น ณรงเดช บอกว่า พรรคได้ผลักดันผ่านกลไกสภาผู้แทนราษฎรมาโดยตลอด ว่า เมื่อประเทศอินเดียผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก กลับมาส่งออกข้าวอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ภายหลังจากสถานการณ์เอลนีโญคลี่คลาย ทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกและในประเทศไทยตกต่ำลง รัฐบาลจะต้องเร่งออกมาตรการในการดูดซับผลผลิตที่ออกมาพร้อมกันในช่วงต้นฤดู เช่น สินเชื่อในการชะลอการขายข้าว และระบายผลผลิตข้าวไปยังตลาดใหม่ ๆ ทั้งตลาดส่งออกและการแปรรูปในประเทศ แต่รัฐบาลก็ดำเนินการอย่างล่าช้า แม้ว่าจะมีการช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท แต่มาตรการนี้ เป็นมาตรการช่วยเหลือ เยียวยา ไม่ใช่มาตรการในการรักษาระดับราคาข้าว ดังจะเห็นได้ว่า หลังมีมาตรการไร่ละ 1,000 บาท ราคาข้าวก็ยังลดลงต่อเนื่อง
“นั่นแปลว่า คำว่า ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ ของรัฐบาล เป็นเพียงคำกล่าวกลวง ๆ ที่ไม่มีการดำเนินการจริงแต่อย่างใด”
ณรงเดช อุฬารกุล
ณรงเดช จึงเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศแผนในการรักษาระดับราคาข้าวเปลือก โดยเฉพาะสำหรับผลผลิตนาปรังที่จะออกมาในช่วงนี้จนกระทั่งอีก 1 – 3 เดือนข้างหน้า โดยเดือน มี.ค. จะมีผลผลิตออกมาสูงสุด รัฐบาลจะต้องมีแผนในการนำผลผลิตข้าว และแป้งข้าวเจ้าไปใช้เพื่อการแปรรูป และสนับสนุนการเปิดตลาดใหม่ ๆ ในต่างประเทศ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือทางอาหารแก่ประเทศและพื้นที่ที่ขาดแคลน เพื่อกระตุ้นระดับราคาข้าวในประเทศให้สูงขึ้น ซึ่งพรรคประชาชนจะติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องผ่านกลไกในสภาผู้แทนราษฎร ทั้งในกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์ ที่จะมีการประชุมเรื่องนี้ในวันที่ 20 ก.พ.นี้ โดยเชิญรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และชาวนามาหารือ หากไม่มีการแก้ไขปัญหาทั้ง 2 อย่างจริงจัง และเพียงพอจากรัฐบาล พรรคประชาชนอาจมีความจำเป็นต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ชาวนาบางบาล ประท้วงปิดถนน ร้องรัฐแก้ปัญหาราคาข้าว
ขณะที่ ทวิวงศ์ โตทวิวงศ์ สส.พระนครศรีอยุธยา เขต 1 พรรคประชาชน กล่าวถึงปัญหาของเกษตรกรในทุ่งรับน้ำบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีข้อจำกัดในการทำนาแบบไม่เผาฟาง โดยเฉพาะเรื่องการปล่อยน้ำชลประทานช่วงฤดูแล้ง จากเสียงสะท้อนของชาวนาที่ทำนา และสวน ใน อ.บางบาล จากการลงพื้นที่รับฟังปัญหาและนำเสนอการแก้ปัญหานโยบายการจัดการน้ำที่เหมาะสมสำหรับทุ่งรับน้ำ และการแก้ปัญหาน้ำท่วมให้ประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำภาคกลาง มีข้อเรียกร้องให้แก้ปัญหาราคาข้าวที่ตกต่ำ ซึ่งยังไม่ได้รับการผลักดันการแก้ปัญหาจากรัฐบาล

โดยยกตัวอย่างนโยบาย ห้ามเผานาเผาตอซัง ของรัฐบาลที่ไม่สัมพันธ์กับวิถีการทำนา หรือปัญหาในบริบทที่แตกต่างกันของพื้นที่ และไม่มีมาตรการการช่วยเหลือ หรือนำเทคโนโลยีมาช่วยให้เกษตรกรไม่ต้องเผาตอซัง ทำให้เกษตรกรกังวลว่า ถ้าไม่เผาแล้วจะเพิ่มต้นทุนในการทำนาอีกหรือไม่ โดยเฉพาะการกำหนดการระบายน้ำเข้าสู่ทุ่งรับน้ำ ในวันที่ 15 ก.ย. ของทุกปี ในช่วงฤดูน้ำหลากแต่เมื่อย้อนกลับมาในช่วงต้นปี ชาวนากลับไม่มีน้ำเพียงพอต่อการทำนา ทำให้ต้องทำนาล่าช้าหรือเก็บเกี่ยวล่าช้า หรือไม่สามารถทำนาปีเพื่อทำข้าวราคาดีมีคุณภาพได้ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาการปลูกนาน เมื่อน้ำทำนามาช้าตั้งแต่ต้นปี ทำให้เมื่อเริ่มปลูกนาปีในช่วงประมาณมีนาคมถึงเมษายน ชาวนาก็จะปลูกข้าวได้ช้าลง ส่งผลให้ไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ทันในวันที่ 15 ก.ย.นี้
“ทั้งหมดนี้จึงนำมาสู่ข้อเสนอต่อรัฐบาลในการออกนโยบายจัดการน้ำ เพื่อแก้ปัญหาทั้งเรื่องการมีทุ่งรับน้ำสำหรับลดผลกระทบจากน้ำท่วม และการทำให้พี่น้องเกษตรกรชาวนามีบ่อกักเก็บใช้ตลอดทั้งปี และได้รับน้ำในช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการทำนา มีระยะเวลาและมีตัวช่วยเพียงพอในการไถนาแบบไม่เผาฟาง ก่อนที่จะปล่อยน้ำเข้าทุ่งในเดือนกันยายน เพื่อให้พี่น้องชาวนามีรายได้ที่เพียงพอในการเลี้ยงชีพ”
ทวิวงศ์ โตทวิวงศ์
ทวิวงศ์ ระบุด้วยว่า เตรียมส่งข้อเสนอในการแก้ปัญหาการจัดการน้ำและปัญหาน้ำท่วมใน จ.พระนครศรีอยุธยา และ จังหวัดใกล้เคียง ผ่านผู้นำฝ่ายค้าน เพื่อส่งต่อข้อเสนอการแก้ปัญหาให้รัฐบาลต่อไป รวมถึงส่งเรื่องให้ กมธ.เกษตรฯ นำไปหารือในวันที่ 20 ก.พ.นี้ต่อไป