ชาวนาเชียงราย ขอรัฐเคลียร์ให้ชัด ใช้ ‘น้ำกก’ ทำนาได้หรือไม่ ?

ยังสับสน! ชาวนา 2 อำเภอ จ.เชียงราย กว่า 58,000 ไร่ ไม่กล้าหว่านข้าว ไม่กล้าให้ควายกินหญ้า หลังรัฐไม่สื่อสาร ทำชาวบ้านไร้ความชัดเจนใช้น้ำกกทำเกษตร จี้ จัดการเหมืองแร่ในรัฐฉาน ย้ำ หากไม่รีบแก้ คนในพื้นที่อาจเผชิญผลกระทบข้ามรุ่น

สถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก และแม่น้ำสาย ยังคงสร้างความสับสน ความกังวลใจ ให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่ใช้แม่น้ำเป็นแหล่งน้ำในการทำเกษตรกรรมและประมง ขณะที่ภาครัฐยังไม่มีคำชี้แจงหรือแผนรองรับที่ชัดเจน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ The Active ติดตามการลงพื้นที่วัดโบราณเวียงเดิม ต.เวียงเหนือ อ.เวียงชัย จ.เชียงราย ของ สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมเวทีรับฟังปัญหาจากประชาชนเกษตรกรในพื้นที่ โดยพบว่า ชาวบ้านต่างแสดงความกังวลอย่างหนัก โดยเฉพาะประเด็น น้ำที่ใช้ในการทำเกษตรยังปลอดภัยหรือไม่ ?

“วันนี้ชาวบ้านเชิญผมมาอธิบายสถานการณ์ภาพรวมว่า ปัญหามันคืออะไร แล้วโดยเฉพาะเรื่องพื้นที่เกษตร ว่ามันได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง เพราะที่ผ่านมา ชาวบ้านเห็นแต่ข่าวการตรวจน้ำ ตรวจตะกอนดิน แต่คำถามใหญ่ของเขาคือ น้ำที่เขาใช้อยู่ทุกวัน เอามาทำนา ปลูกผัก หรือจับปลา มันยังใช้ได้อยู่ไหม

สืบสกุล กิจนุกร

สืบสกุล บอกด้วยว่า ชาวบ้านที่ทำเกษตรกรรมนาข้าว ทั้งนาปี และนาปรัง รวมถึงผู้ปลูกผักต่างรู้สึกหวาดวิตกว่าน้ำที่ใช้ในการเพาะปลูกอาจนำสารหนูเข้าไปสะสมในผลผลิต เช่น ข้าว, ผักใบเขียว หรือ แม้แต่ปลาที่จับได้จากแม่น้ำ

นอกจากนี้ น้ำที่เคยใช้เล่นน้ำในช่วงสงกรานต์ ซึ่งแต่ก่อนเป็นแหล่งรวมของชุมชน ก็ถูกสั่งห้ามใช้จากประกาศของจังหวัด ชาวบ้านจึงตั้งคำถามว่า “ถ้าห้ามเล่นน้ำ แล้วจะใช้น้ำทำเกษตรได้หรือไม่” โดยยังไม่ได้รับคำตอบจากหน่วยงานรัฐ  

รัฐต้องชี้แจงให้ชัด…”น้ำใช้ได้หรือไม่ได้ ?”

สืบสกุล อยากให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ออกมาชี้แจงให้ชัดเจนว่า พี่น้องเกษตรกรในลุ่มน้ำกก ลุ่มน้ำสาย ลุ่มน้ำโขง ยังสามารถใช้น้ำจากแม่น้ำในการเกษตรได้หรือไม่ เพราะในที่ประชุมกรรมาธิการความมั่นคงของรัฐ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สำนักงานเกษตรจังหวัดก็มีคำแนะนำให้ “หลีกเลี่ยงการใช้น้ำผิวดิน” แต่คำแนะนำนี้ยังไม่ถูกสื่อสารถึงประชาชนอย่างทั่วถึง

เขาย้ำว่า หากคำตอบคือ “ไม่สามารถใช้น้ำได้” ผลกระทบจะมีมากถึง 50,000 กว่าไร่ ในพื้นที่ทำนาชลประทานเชียงราย ซึ่งจะเป็นวิกฤตที่ไม่ใช่แค่สิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่จะกระทบความมั่นคงทางอาหารและปากท้องของประชาชน

พร้อมทั้งแสดงความห่วงใยเป็นพิเศษต่อเกษตรกรกลุ่มเปราะบาง ที่ไม่มีทุนเจาะน้ำบาดาลมาใช้แทน เพราะการลงทุนในระบบน้ำทางเลือกไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ สำหรับเกษตรกรรายย่อย

“บางครอบครัวอาจมีเงินเจาะบ่อได้ แต่บางครอบครัวไม่มีเลย แล้วจะให้เขาทำยังไง? พอรัฐบาลเงียบ ปล่อยให้เขาเลือกเอง มันก็กลายเป็นความไม่เท่าเทียม ผมว่าปัญหานี้มันหนัก แต่รัฐบาลยังไม่เคยพูดถึงจริงจัง”

สืบสกุล กิจนุกร

รัฐแจงสถานการณ์ดีขึ้น แต่สวนทางความจริงในพื้นที่ ?

เมื่อถามถึงคำแถลงของรัฐบาลที่ระบุว่าสถานการณ์คุณภาพน้ำในแม่น้ำกกเริ่มดีขึ้นนั้น สืบสกุล ตั้งข้อสงสัยว่าอิงจากข้อมูลใด เพราะรายงานของกรมควบคุมมลพิษยังยืนยันว่าทั้งแม่น้ำสายและแม่น้ำโขงยังคงพบสารหนู สารตะกั่ว และสารสังกะสีเกินค่ามาตรฐาน

“ถ้าจะพูดว่าสถานการณ์ดีขึ้น มันต้องดีขึ้นจากอะไร และใครเป็นคนรายงาน เพราะรายงานทางวิชาการล่าสุดก็ยังยืนยันว่าแม่น้ำยังไม่ปลอดภัย นี่มันไม่ใช่แค่วิกฤตสิ่งแวดล้อมแล้ว แต่มันกำลังกลายเป็นวิกฤตความเชื่อมั่นด้วย”

สืบสกุล กิจนุกร

สืบสกุล ยังเสนอให้ทุกกระทรวง โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรฯ ออกแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน เช่น การตรวจวิเคราะห์ในพื้นที่เกษตร การสนับสนุนระบบน้ำทางเลือก หรือการให้เงินช่วยเหลือแก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ

ชูธงวันสิ่งแวดล้อม 5 มิ.ย. นัดเคลื่อนไหวใหญ่

สืบสกุล เปิดเผยด้วยว่า ในวันที่ 5 มิถุนายนนี้ ซึ่งตรงกับ วันสิ่งแวดล้อมโลก จะจัดกิจกรรมรวมพลังของประชาชนเชียงราย ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อแสดงเจตนารมณ์ต่อรัฐบาลไทย จีน และเมียนมา รวมถึงกลุ่มกองกำลังติดอาวุธในรัฐฉาน ให้ตระหนักถึงผลกระทบจากสารโลหะหนักในแม่น้ำที่มีต้นทางจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน

“มันเป็นการรวมตัวของทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย เพื่อบอกว่าพวกเขาเดือดร้อนจริง ๆ ไม่ได้เป็นเรื่องเล็ก ๆ และต้องการให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเร่งยุติการปล่อยสารโลหะหนักลงแม่น้ำอย่างเร่งด่วน”

สืบสกุล กิจนุกร

สืบสกุล ยังย้ำว่า แม้การจัดงานครั้งนี้จะไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ในแง่จำนวน แต่เป็นการนับหนึ่งของประชาชนเชียงรายในการแสดงเจตจำนงร่วมกันอย่างเป็นทางการ

“หลังวันที่ 5 มิ.ย. ภาคประชาชน ภาควิชาการ และสื่อมวลชนยังต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปอย่างใกล้ชิด เพราะปัญหานี้มันไม่ใช่เรื่องที่จะจบลงได้แค่ในวันเดียว”

สืบสกุล กิจนุกร

หวั่นมลพิษเปื้อนน้ำกก กระทบนาข้าว 58,000 ไร่ ใน 2 อำเภอ จ.เชียงราย

ปฐมพงษ์​ ฤทธิแผลง ประธานผู้ใช้น้ำฝั่งขวา ฝายเชียงราย ให้ข้อมูลกับ The Active ว่า ฝายชลประทานแห่งนี้มีบทบาทสำคัญในการส่งน้ำเพื่อการเกษตรครอบคลุมพื้นที่กว่า 58,000 ไร่ ใน 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเวียงชัย และอำเภอเวียงเชียงรุ้ง โดยเฉพาะฝั่งที่ตนรับผิดชอบดูแลมีพื้นที่ประมาณ 24,000 ไร่ ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ใช้ในการทำนาปีและนาปรังปีละ 2 ฤดู

อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังชาวบ้านเริ่มกังวลเกี่ยวกับสภาพน้ำในแม่น้ำกกที่ขุ่นผิดปกติและมีข่าวลือเรื่องสารปนเปื้อน โดยเฉพาะหลังมีข้อมูลว่าแหล่งต้นน้ำในเขตรัฐฉาน ประเทศพม่า มีการทำเหมืองแร่ซึ่งอาจเป็นต้นตอของปัญหา

ปฐมพงษ์​ ฤทธิแผลง ประธานผู้ใช้น้ำฝั่งขวา ฝายเชียงราย

“ช่วงแรกชาวบ้านไม่เข้าใจว่าทำไมน้ำขุ่น ตอนนี้รู้แล้วว่าเกิดจากการทำเหมืองแร่ต้นน้ำในเมียนมา…แม้ยังไม่มีผลตรวจอย่างเป็นทางการที่พบสารปนเปื้อนในพืช แต่ชาวบ้านก็เริ่มไม่กล้าใช้น้ำ บางพื้นที่ไม่กล้าหว่านข้าว”

ปฐมพงษ์​ ฤทธิแผลง

ปฐมพงษ์ ยังเปิดเผยด้วยว่า เกษตรกรในบางพื้นที่ของอำเภอเวียงเชียงรุ้ง ยังชะลอการหว่านข้าว เพราะไม่มั่นใจว่าน้ำที่ใช้จะปลอดภัย ขณะเดียวกันหน่วยงานภาครัฐก็ยังไม่มีข้อมูลยืนยันที่ชัดเจนว่าจะสามารถใช้น้ำได้โดยไม่มีผลกระทบในระยะยาว

นอกจากผลกระทบต่อภาคการเกษตรแล้ว การท่องเที่ยวและการบริโภคปลาจากลำน้ำกกก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

“เมื่อก่อนมีคนมาตกปลา พักผ่อน ตอนนี้ไม่มีใครกล้าแล้ว ตลาดก็ไม่รับซื้อปลา ชาวบ้านไม่มั่นใจว่ากินได้หรือเปล่า กลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงระดับชาติเลยก็ว่าได้”

ปฐมพงษ์​ ฤทธิแผลง

เขา ยังบอกอีกว่า ในวันที่ 5 มิ.ย.นี้ ชาวบ้านในพื้นที่เวียงเหนือจะรวมตัวกันจัดกิจกรรม “ก้าวแรกของคนลุ่มน้ำกก” เพื่อแสดงพลังและส่งเสียงไปถึงภาครัฐและประชาคมโลกว่าไม่ต้องการน้ำที่ปนเปื้อนสารพิษอีกต่อไป พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลไทยจริงจังกับการเจรจากับฝั่งพม่า และผลักดันมาตรการปกป้องแม่น้ำกกอย่างเป็นรูปธรรม

“เราไม่ใช่นักวิชาการ แต่เราอยู่กับน้ำ เราใช้มันทุกวัน ถ้าน้ำเป็นพิษ เราก็อยู่ไม่ได้… อยากให้ผู้มีอำนาจฟังเสียงชาวบ้านบ้าง”

ปฐมพงษ์​ ฤทธิแผลง

วอนรัฐเร่งตรวจพืช ให้ข้อมูลที่ชัดเจน

ขณะที่ วรเพชร ศิริชุมภู ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ต.เวียงเหนือ อ.เวียงชัย จ.เชียงราย ให้สัมภาษณ์ The Active ถึงสถานการณ์การทำนาของชาวบ้านในพื้นที่ซึ่งยังคงใช้น้ำจากแม่น้ำกกเป็นหลัก ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับข่าวการปนเปื้อนของสารเคมีในน้ำ

วรเพชร ศิริชุมภู ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ต.เวียงเหนือ อ.เวียงชัย จ.เชียงราย

“น้ำเป็นปัจจัยหลักในการทำนา ชาวบ้านเราแทบทุกคนทำนา และใช้น้ำจากแม่น้ำกก ตอนนี้เริ่มเพาะกล้า เตรียมแปลงกันแล้ว แม้จะยังพออาศัยน้ำฝนอยู่ แต่สุดท้ายก็ต้องใช้น้ำจากแม่น้ำ”

วรเพชร ศิริชุมภู

แม้จะมีทางเลือกอย่างการใช้น้ำบาดาล แต่ผู้ใหญ่บ้าน ระบุว่า มีต้นทุนสูงและเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ชาวบ้านจะหันมาใช้ หากไม่มีน้ำจากแม่น้ำกก

“กังวลมากครับ เพราะไม่รู้ว่าสารที่มากับน้ำจะส่งผลต่อร่างกายเราแค่ไหน ยิ่งใช้ปลูกข้าวปลูกผักก็ยิ่งน่ากลัว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีหน่วยงานไหนมาตรวจพืชที่เราปลูกเลย อยากให้กรมวิชาการเกษตรมาช่วยตรวจ มอนิเตอร์ข้าวของเราเอาไปวิเคราะห์ว่า มีสารตกค้างอะไรไหม”

วรเพชร ศิริชุมภู

ผู้ใหญ่บ้าน ยังระบุว่า สิ่งที่ชุมชนต้องการคือข้อมูลที่ชัดเจนจากหน่วยงานรัฐ ว่า “ถ้ามีสารหนูหรือสารปนเปื้อนแบบนี้ ใช้น้ำได้ไหม ทำได้แค่ไหน เพราะตอนนี้มีแต่ประกาศห้ามลงเล่นน้ำ แต่ไม่ได้ห้ามใช้น้ำทำนา มันก็ทำให้เรากังวลว่าร่างกายเราจะกระทบหรือเปล่า”

ทั้งนี้ แม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำสำคัญของชาวเชียงราย และมีรายงานว่าอาจได้รับผลกระทบจากสารเคมีตกค้างจากต้นน้ำ ซึ่งบางส่วนไหลมาจากนอกประเทศ โดยขณะนี้หน่วยงานต่าง ๆ เริ่มเข้าตรวจสอบคุณภาพน้ำในพื้นที่ แต่ชาวบ้านยังรอผลตรวจที่ชัดเจนและมาตรการรองรับที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง

ไม่กล้าหว่านข้าว ไม่กล้าให้ควายกินหญ้า

เช่นเดียวกับ รัตนัย โสภารัตน์ ชาวนา บ้านร่องหวาย ต.ดงมหาวัน อ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย บอกกับ The Active ถึงผลกระทบจากกรณีสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก ที่กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ต่อชีวิตและปากท้องของชาวบ้านในพื้นที่

รัตนัย โสภารัตน์ ชาวนา บ้านร่องหวาย ต.ดงมหาวัน อ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย

“ถ้าพูดถึงชาวนา ตอนนี้ไม่มีใครกล้าหว่านข้าวเลยค่ะ แม้แต่นาของป้าเองก็ไม่กล้า เพราะน้ำที่ใช้มาจากแม่น้ำกก”

รัตนัย โสภารัตน์ 

เธอ ยังเล่าว่า โดยปกติช่วงต้นเมษายน ถึงกลางพฤษภาคม ชาวบ้านจะเริ่มหว่านข้าวเพื่อให้ทันฤดูกาล แต่ปีนี้ทุ่งนาเงียบเหงา เมล็ดข้าวยังไม่ลงนา เพราะไม่มีใครกล้าเสี่ยงกับน้ำที่อาจมีสารพิษ แม้รัฐบาลจะไม่ได้ห้ามทำนา แต่คำเตือนที่ว่า “ห้ามสัมผัสน้ำแม่กกโดยเด็ดขาด” ก็ทำให้เรากลัวกันหมด

ไม่เพียงข้าวและข้าวโพดเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ ชาวบ้านที่หาปลาในแม่น้ำกกเพื่อเลี้ยงชีพก็ต้องหยุดกิจกรรมลง เพราะไม่มีใครกล้าซื้อปลา แม้จะจับได้ตัวใหญ่ราคาดี

“คนหาปลาเคยได้วันละหลายพัน ตอนนี้ไม่มีใครกล้าลงน้ำ ไม่มีใครซื้อปลา แม้แต่เล่นน้ำสงกรานต์ในคลองชนประทานก็ไม่มีใครกล้าเปิดน้ำให้ใช้”

รัตนัย โสภารัตน์ 

รัตนัย บอกด้วยว่า น้ำจากคลองชลประทาน ฝายเชียงราย ใช้หล่อเลี้ยงพื้นที่เกษตรอำเภอเวียงเชียงรุ้งและพื้นที่ใกล้เคียง ล้วนมีต้นทางมาจากแม่น้ำกก ซึ่งไหลมาจากอำเภอเมืองเชียงราย ผ่านหลายตำบลใน 2 อำเภอ

“ตอนนี้ไม่ใช่แค่ตำบลเดียว แต่เป็นทั้งอำเภอ หลายตำบลในเมืองเชียงรายและเชียงแสนก็ใช้แม่น้ำกกเหมือนกัน ปีนี้รายได้หายหมด หนักกว่าน้ำท่วม เพราะน้ำท่วมเรายังรู้ว่ามันจะลงเมื่อไร แต่สารปนเปื้อน เราไม่รู้ว่าปลูกไปแล้วข้าวจะกินได้หรือเปล่า เรากลัวว่าต้นข้าวจะดูดน้ำที่ปนเปื้อนเข้าไป ตอนนี้ต้องรอให้ฝนตกอย่างเดียว หวังว่าน้ำฝนจะพอช่วยให้เรารอดปีนี้ไปได้”

รัตนัย โสภารัตน์ 

ไม่เพียงแต่พืชผลเท่านั้น สัตว์เลี้ยงอย่างวัวควายก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

“ควายกับวัวตอนนี้ต้องกักบริเวณ กางมุ้งให้อยู่ในคอก ต้องซื้อฟางอัดก้อนมาให้กินแทนหญ้าสด เพราะหญ้าข้างทางอาจดูดซับสารพิษจากน้ำแม่กกไปแล้ว”

รัตนัย โสภารัตน์ 

ด้วยสถานการณ์ที่ไร้ความแน่นอน รัตนัย และชาวบ้านจึงเตรียมรวมตัวกันยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้กระทรวงเกษตรฯ เข้ามาช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม

“น้ำแม่กกเป็นพิษตั้งแต่เชียงใหม่ถึงเชียงราย แล้วไหลลงแม่น้ำโขงต่อไปอีกหลายจังหวัด ไม่ใช่แค่เรื่องของอำเภอเราอีกแล้ว”

รัตนัย โสภารัตน์ 

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active