‘มูลนิธิบูรณะนิเวศ’ เผย ผลตรวจสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก พื้นที่เกษตร หลังน้ำท่วมใหญ่ ปี 2567 พบค่า ตะกอนสูงกว่าหน่วยงานรัฐหลายเท่า ระบุ แม้พิษสะสมในพืช ผัก ยังไม่น่าห่วง แต่หากปล่อยให้เกิดซ้ำซาก จะกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง กระทบทั้งสุขภาพ เศรษฐกิจ และความมั่นคงทางอาหาร
เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ เปิดเผยกับ The Active ว่า มูลนิธิฯ ได้รับการประสานจากชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำกก จ.เชียงราย และแม่น้ำสาย หลังเกิดเหตุดินโคลนถล่มและน้ำหลากช่วงปลายปี 2567 เนื่องจากกังวลว่า ข้อมูลจากการตรวจสอบของรัฐอาจไม่ถูกเผยแพร่อย่างโปร่งใส จึงร่วมกับชาวบ้านลงเก็บตัวอย่างน้ำ ตะกอนดิน และพืชผลการเกษตรบางชนิด เช่น กระเทียม หอมแดง ขิง และผักในพื้นที่ที่เคยถูกน้ำท่วม
“เราเจอสารหนูในตะกอนสูงมาก สูงกว่าผลตรวจของหน่วยงานรัฐที่เคยรายงานมา ซึ่งน่าจะเป็นเพราะวันที่เก็บตัวอย่างน้ำเพิ่งท่วมใหม่ ๆ โคลนเข้มข้นมาก”
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง

รัฐตรวจวัดต่อเนื่อง แต่ขาดการใช้ประโยชน์ข้อมูล
แม้ผลการตรวจในพืชผัก เพื่อการบริโภคยังไม่พบการสะสมของโลหะหนักในระดับน่ากังวล แต่ เพ็ญโฉม มองว่าเป็น “โชคดี” ที่ยังไม่สะสมในห่วงโซ่อาหาร เพราะระยะเวลาการปนเปื้อนยังสั้น แต่เตือนว่า หากน้ำหลากและดินโคลนปนเปื้อนเกิดบ่อยครั้ง การสะสมจะเพิ่มขึ้นและสร้างปัญหาร้ายแรงต่อชุมชน
“ถ้าหยุดมลพิษจากต้นทางไม่ได้ ระยะยาวจะอันตรายมาก ทั้งต่อเกษตรกรและผู้บริโภค”
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง
ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศ ยังยอมรับว่า หน่วยงานรัฐ เช่น สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค และกรมควบคุมมลพิษ ตรวจสอบและรายงานผลอย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นข้อดีที่ช่วยให้เกิดการเฝ้าระวังต่อเนื่อง แต่ยังไม่เห็นการนำผลไปสู่การแก้ปัญหาที่ต้นทาง
“รัฐบาลต้องเอาผลตรวจเหล่านี้มาประมวล ใช้เป็นหลักฐานเจรจากับเมียนมา ลาว และจีน เพราะนี่ไม่ใช่แค่ปัญหาไทย แต่เป็นเรื่องของลุ่มน้ำโขงทั้งหมด”
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง
พบสารหนูในร่างกายเด็ก เรื่องใหญ่ไม่ควรมองข้าม
ส่วนกรณีผลตรวจปัสสาวะเด็กในพื้นที่บางส่วน พบการปนเปื้อนสารหนู แม้ยังไม่เกินค่ามาตรฐาน เพ็ญโฉม ชี้ว่า เรื่องนี้ไม่ควรถูกมองข้าม เพราะสารหนู อนินทรีย์เป็นสารก่อมะเร็ง ไม่ควรตรวจเจอในร่างกายมนุษย์เลย การที่เจอแม้ไม่เกินมาตรฐาน แสดงว่าสภาพแวดล้อมเริ่มเสี่ยง ต้องมีการสืบหาสาเหตุและเฝ้าระวังอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในเด็กซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง
จึงเสนอให้ตรวจเพิ่มเติม ทั้งเลือด เส้นผม และเล็บ เพื่อดูการสะสมระยะยาว และต้องจัดหาน้ำดื่ม-อาหารปลอดภัยให้ชุมชนเป็นมาตรการเร่งด่วน
ข้อเสนอถึงรัฐบาล จากเฝ้าระวังสู่การแก้ไข
แม้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการเฝ้าระวังร่วมแล้ว เพ็ญโฉม ก็มองว่า ยังไม่เพียงพอ การตรวจและเฝ้าระวังเป็นเพียงการตามดู ไม่ได้แก้ปัญหา ถ้าหยุดแค่นี้ ผลกระทบทางสุขภาพ เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมจะเรื้อรัง จึงเสนอถึงรัฐบาล ดังนี้
- เจรจาแก้ที่ต้นทาง ร่วมกับเมียนมา จีน และลาว
- มีมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน โดยเฉพาะน้ำดื่มและอาหารปลอดภัย
- ขยายการเฝ้าระวังสุขภาพ ตรวจสอบอย่างต่อเนื่องและเผยแพร่ข้อมูลโปร่งใส
- ใช้ข้อมูลภูมิประเทศและน้ำท่วม มาวิเคราะห์หาพื้นที่เสี่ยงสะสมสารพิษ
เพ็ญโฉม ยังยกตัวอย่างกรณีเหมืองทอง จ.เลย ที่แม้ปิดไปแล้ว แต่ยังพบสารปนเปื้อนในลำห้วย และกรณีประวัติศาสตร์ที่ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ที่ชาวบ้านจำนวนมากป่วยเป็นมะเร็งผิวหนังจากสารหนูสะสม
“บทเรียนเหล่านี้สะท้อนว่า ถ้าปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อ ผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์จะชัดเจนและรุนแรงขึ้น การแก้ไขจึงต้องทำตั้งแต่วันนี้ ก่อนจะสายเกินไป”
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง