จี้รัฐทบทวนแผนนำน้ำโขง ทำน้ำประปาป้อนแม่สาย เหตุพบปนเปื้อนไม่ต่างน้ำกก

ภาคประชาสังคม ขอรัฐบาล 4 เดือน ออกมาตรการแก้ปัญหาเร่งด่วนสารปนเปื้อนน้ำกก น้ำสาย ทั้งหาแหล่งน้ำดิบใหม่ทำน้ำประปา แต่ไม่ใช่น้ำโขง เหตุพบสารปนเปื้อนเช่นกัน พร้อมตรวจคุณภาพดิน สารโลหะหนักในข้าวนาปีกว่าแสนไร่ และจัดตั้งศูนย์ตรวจสารโลหะหนัก ประจำ จ.เชียงราย ด้าน สส.เชียงใหม่ เปิดข้อมูลพบประปาหมู่บ้านปนเปื้อนตะกั่วแล้ว 18 หมู่บ้าน จับตา ครม.14 ต.ค.นี้ หวังเห็นมาตรการแก้ปัญหา

วันนี้ (12 ต.ค.2568) สส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ โพส FB เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาสารปนเปื้อนในน้ำกก น้ำสาย อย่างเร่งด่วน โดยระบุว่า จากการติดตามปัญหาน้ำกก-สาย-รวกเป็นพิษอย่างใกล้ชิด และได้สื่อสารไปยังรัฐบาลหลายต่อหลายครั้ง ทั้งชุดที่แล้วและชุดนี้ ตั้งแต่พื้นที่ทำเหมืองในประเทศเพื่อนบ้าน แนวทางการเจรจากับต่างประเทศ การจัดการกับผลกระทบภายในประเทศ แต่รัฐบาลกลับแก้ปัญหานี้น้อยมาก เมื่อเทียบกับความรุนแรงของปัญหา ที่นอกจากปัจจุบัน พบประปาหมู่บ้านในพื้นที่น้ำกก-สายเป็นพิษจากตะกั่วไปแล้ว 18 หมู่บ้าน ล่าสุดผลการตรวจปัสสาวะคนในพื้นที่พบ #สารหนูในคนเกินเกณฑ์ อีกถึง 7 คน

การตรวจปัสสาวะโดยกรมควบคุมโรคครั้งนี้ เป็นการตรวจคนในพื้นที่ใช้น้ำกก-สาย 322 คนในจังหวัดเชียงราย และ 40 คนในจังหวัดเชียงใหม่ โดยทั้ง 7 รายที่ตรวจพบค่าสารหนูเกินเกณฑ์ (100 ไมโครกรัมต่อลิตร) แบ่งเป็นประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายทั้งหมด อำเภอเมือง 3 คน อำเภอเวียงชัย 2 คน เวียงเชียงรุ้ง 1 คน และอำเภอเชียงแสน 1 คน

#สิ่งที่รัฐต้องเร่งดำเนินการ ด้านสาธารณสุขเพิ่มเติมจากตรวจพบสารหนูเกินเกณฑ์ครั้งนี้คือ

1. ตรวจสารหนูให้ละเอียดว่า เป็นสารหนูอนินทรีย์เท่าไหร่จากสารหนูทั้งหมด

2. เจาะเลือดตรวจร่างกายโดยละเอียดเพิ่ม เพื่อตรวจความสมบูรณ์เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด

3. ปรับเกณฑ์การกรองคนเพื่อเข้าตรวจปัสสาวะตามพฤติกรรมอื่น ๆ ของทั้ง 7 รายนี้เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงมากขึ้น

4. ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยโรคที่ต้องเฝ้าระวังจากน้ำปนเปื้อนสารโลหะหนัก พร้อมนำพื้นที่เหล่านี้เข้าเป็นเขตพื้นที่เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคจากสิ่งแวดล้อมด้วย

นี่คือปัญหาที่เร่งด่วน ต้องจัดการโดยเร็วที่สุด บูรณาการการทำงานร่วมกันจากทุกกรม ทุกกระทรวง แต่ที่ผ่านมา 1 ปีการทำงานของรัฐบาลทุกชุด ยังคงละเลยต่อปัญหานี้ ตอนนี้ไม่ใช่แค่แม่น้ำเป็นพิษ ไม่ใช่แค่หลีกเลี่ยงการกินปลา แต่มันลุกลามมาถึง น้ำประปาหมู่บ้านที่ประชาชนใช้ ผลผลิตทางการเกษตรที่ใช้น้ำเหล่านี้ และสะท้อนออกมาจากสุขภาพและชีวิตของประชาชนอย่างชัดเจนแล้ว

สส.ภัทรพงษ์ ระบุด้วยว่า เขาจะติดตามปัญหานี้อย่างใกล้ชิด และดูการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 14 ต.ค.นี้ ว่ารัฐบาลจะเริ่มทำงานกับเรื่องนี้อย่างจริงจังได้แล้วหรือยัง ทั้งในเรื่องการแก้ปัญหาที่ต้นตอกับต่างประเทศ และการจัดการปัญหาภายในประเทศ

The Active ได้พูดคุยกับ สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง บอกว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การประปาส่วนภูมิภาคมีแผนที่จะหาแหล่งน้ำใหม่ 

การประปาส่วนภูมิภาค จังหวัดเชียงราย มีผู้ใช้ประมาณ 40,000 ราย ที่เป็นลูกค้า ในส่วนนี้จะนำแม่น้ำลาวมาใช้ในการผลิต ซึ่งต้องการงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล 1,000 ล้านบาท

การประปาส่วนภูมิภาคแม่สาย ซึ่งในแม่น้ำสายกับแม่น้ำรวก ก็ต้องหาแหล่งน้ำดิบใหม่มาทดแทน สำหรับลูกค้า 15,000 ราย ซึ่งการประปาส่วนภูมิภาคแม่สายจะดึงเอาแม่น้ำโขงมาใช่ทดแทน แต่ก็มีข้อกังวลว่าแม่น้ำโขงเองก็มีสารโลหะหนักปนเปื้อนอยู่ในแม่น้ำเช่นกัน ถ้าเป็นไปได้จึงอยากให้การประปาส่วนภูมิภาคทบทวนแผนดังกล่าว 

“โดยหลักการเราสนับสนุนในการหาแหล่งน้ำดิบใหม่แทน ทั้งที่ตัวเมืองเชียงรายและแม่สาย แต่ที่ห่วงในกรณีของแม่สาย คือ การนำแม่น้ำโขงมาเป็นน้ำดิบ ยังมีความกังขาอยู่ว่าจะปลอดภัยจริงหรือไม่”

ด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจ ที่เป็นการท่องเที่ยวชุมชน เห็นได้ชัดว่าซุ้มอาหารหรือแพอาหารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำกก และแม่น้ำโขง พบว่ายังไม่มีหน่วยงงานไหนลงไปเก็บข้อมูลเพื่อสำรวจปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นเลย 

และเท่าที่ได้ลงไปทำงานร่วมกับเครือข่าย NGO พบว่า กรณีอย่างบ้านแก่งทรายมูล ต.ท่าตอน อ.แม่อาย เศรษฐกิจท้องถิ่นของคนที่นั่น คือ การทำซุ้ม ซึ่งไม่เพียงแต่เจ้าของที่มีรายได้จากตรงนี้ แต่ยังโยงไปถึงคนรับจ้างทั่วไป หรือบรรดาเด็กนักเรียนที่จะมีโอกาสทำงานพิเศษ ชาวบ้านที่มีอาชีพค้าขาย แต่ในตอนนี้คนในท้องถิ่นได้รับผลกระทบเศรษฐกิจอย่างมาก 

ข้อมูลจากมูลนิธิร่มโพธิ์ สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต และ สืบสกุล กิจนุกร พบว่าระดับความเสียหาย ในปี 2567 จากผู้ประกอบการ 10 ราย ในชุมชนบ้านแก่งทรายมูล มีจำนวนซุ้มอาหารรวม 214 ซุ้ม ทำให้เกิดรายได้รวม 2,902,450 บาท หลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ (ค่าจ้างทำซุ้ม วัสดุอุปกรณ์ พนักงาน แม่ครัว ค่าเช่าสถานที่ ค่าซื้อของเข้าร้าน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ) จำนวน 2,109,432 บาท พวกเขายังคงมีกำไรถึง 947,000 บาท แต่ปัจจุบัน จากปัญหาสารปนเปื้อน ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว

เสียงสะท้อนจากชาวบ้านในพื้นที่ ยังบอกว่า อยากให้หน่วยงานภาครัฐลงมาสำรวจปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง ส่วนการยื่นเรื่องเข้าสู่ ครม.ก็ต้องรอว่าจะมีการเสนอและพิจารณาจริงหรือไม่ รอติดตามว่าจะพิจารณาอย่างไร แต่ก็ยังยืนยันในข้อเรียกร้องเหมือนเดิม

สืบสกุล บอกด้วยว่า ในช่วง 4 เดือนของรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล อันดับแรกที่ชาวบ้านต้องการเห็นคือ

1.การจัดหาแหล่งน้ำใหม่เพื่อผลิตน้ำประปาให้กับชาวบ้าน ต.แม่อาย และ ต.แม่นาวาง

2.ตรวจคุณภาพดิน 12,000 ไร่ ในเขต ต.ท่าตอน ติดริมแม่น้ำกก เนื่องจากชาวบ้านจะปลูกพืชในเดือนพฤศจิกายนนี้แล้ว

3.การตรวจสารโลหะหนักในข้าวนาปี 100,000 ไร่ ที่ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ลงพื้นที่ไป

4.เป็นสิ่งที่สามารถทำได้เลย คือ การจัดตั้งศูนย์ตรวจสารโลหะหนัก ประจำจังหวัดเชียงราย

5.อยากเห็นความชัดเจนในการหาแหล่งน้ำใหม่มาผลิตน้ำประปา ทดแทนน้ำกก

“เป็นปัญหาของหน่วยงานรัฐ ที่ยังคงยืนยันว่า สารโลหะหนักไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน แต่สำหรับประชาชนเชียงรายแล้ว เราเห็นว่า มันไม่เกินเกณฑ์ก็จริง แต่มันสะสมในร่างกาย ดังนั้น เป็นความเสี่ยงในชีวิตประจำวันของชาวบ้าน รัฐควรจะเปลี่ยนวิธีคิดในเรื่องนี้ใหม่ อย่ายึดตัวเลขเกณฑ์ค่ามาตรฐานเป็นหลักในการแก้ปัญหา”

วันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำกก ที่เขื่อนเชียงราย ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย และที่ว่าการอำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย

ร.อ.ธรรมนัส ยืนยันว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้สั่งการให้กรมชลประทานเร่งพิจารณาสร้างประตูระบายน้ำหรือฝายดักตะกอนบริเวณต้นน้ำก่อนเข้าสู่อำเภอแม่อาย เพื่อกรองและลดการไหลของสารปนเปื้อนก่อนเข้าสู่จังหวัดเชียงราย พร้อมมอบให้กรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน และกรมประมง ร่วมตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และสัตว์น้ำอย่างละเอียด เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าทรัพยากรเหล่านี้ปลอดภัยต่อการบริโภค พร้อมสั่งให้กรมชลประทานจัดหาแหล่งน้ำสำรองเพื่อการอุปโภคบริโภคให้ประชาชนเชียงรายา ใช้ทำแทนน้ำจากแม่น้ำกก แม้ค่าความปนเปื้อนจะยังไม่เกินมาตรฐานก็ตาม

“จะตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดขึ้นมาดูแลปัญหานี้โดยเฉพาะ โดยมีตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้นำท้องถิ่นเข้าร่วม เพื่อให้การแก้ปัญหาเข้าถึงพื้นที่จริง ยืนยันรัฐบาลและกระทรวงเกษตรฯ จะไม่เพิกเฉยต่อเรื่องนี้”

ร.อ.ธรรมนัส บอกด้วยว่า สิ่งแรกที่เราต้องทำคือการเจรจาให้ได้ข้อยุติชัดเจนกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรฐานที่ชัดเจน ไม่ปล่อยให้มีการระบายสารเคมีลงสู่ลำน้ำสาขา ซึ่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย เพราะเรื่องนี้กระทบโดยตรงต่อชีวิตของพี่น้องประชาชน โดยจะนำเรื่องนี้เข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันอังคารนี้ (14 ตุลาคม) เพื่อให้กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานความมั่นคงดำเนินการทางการทูตอย่างเป็นระบบ

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active