กปภ.เชียงราย เตรียมย้ายแหล่งน้ำดิบผลิตประปา จาก ‘แม่น้ำกก’ ไปยัง ‘แม่น้ำลาว’ หลังพบสารหนูสะสม ย้ำ คุณภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย ขณะที่ ชาวบ้านยังไม่ไว้ใจ เลิกดื่ม เลิกใช้น้ำประปา หวังรัฐเร่งย้ายแหล่งน้ำดิบ ปกป้องชีวิตคน
วันนี้ (12 พ.ย. 68) อภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์ ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงราย เปิดเผยกับ The Active ถึงแผนการย้ายแหล่งน้ำดิบในการผลิตน้ำประปาของจังหวัดเชียงราย จากแม่น้ำกกไปยังแม่น้ำลาว ว่า แผนดังกล่าวมีที่มาจากการตรวจพบ “สารหนู” ในแม่น้ำกกเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งแม้จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่ามาตรฐานตามประกาศกรมอนามัย แต่ก็สร้างความไม่สบายใจแก่ประชาชนในพื้นที่เป็นวงกว้าง
“หลังพบสารหนูในแม่น้ำกก เราเข้าใจความกังวลของประชาชน แม้ว่ากระบวนการผลิตน้ำประปาของเราจะอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานปลอดภัย แต่ กปภ.มีหน้าที่หลักในการผลิตน้ำที่สะอาดและปลอดภัยต่อการบริโภค เราจึงเริ่มปรับปรุงกระบวนการผลิต และวางแผนย้ายแหล่งน้ำดิบเพื่อสร้างความมั่นใจให้พี่น้องประชาชน”
อภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์

เพิ่มขั้นตอน ‘ปรับคุณภาพน้ำ’ ลดสารหนู-โลหะหนัก
อภิศักดิ์ อธิบายว่า เดิม กปภ.เชียงรายผลิตน้ำประปาด้วยกระบวนการมาตรฐานทั่วไป ใช้สารส้มและปูนขาวเป็นหลัก แต่หลังจากตรวจพบโลหะหนัก จึงเพิ่มขั้นตอน “พรีคลอรีน (Pre-chlorination)” ซึ่งเป็นกระบวนการเติมคลอรีนก่อนการตกตะกอน เพื่อช่วยแยกโลหะหนักออกจากน้ำ
นอกจากนี้ยังมีการใช้สารเคมีเพิ่มเติม 2 ชนิด ได้แก่ “โพลีอะลูมิเนียมคลอไรด์ (PACl)” และ “โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH)” เพื่อเร่งการตกตะกอนของสารหนูที่อยู่ในรูปของตะกอนดิน
“สารหนูในแม่น้ำกกส่วนใหญ่เป็นสารที่เกาะอยู่กับตะกอนดิน ถ้าเร่งให้ตะกอนตกเร็ว น้ำจะใสและปลอดภัยมากขึ้น หลังผ่านกระบวนการพรีคลอรีนและการตกตะกอน เรายังมีขั้นตอน อินเตอร์คลอรีน อีกชั้น เพื่อฆ่าเชื้อและกรองสิ่งตกค้างก่อนส่งเข้าหม้อกรอง”
อภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์
ปัจจุบัน กปภ.เชียงราย ควบคุมค่าความขุ่นของน้ำสูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดค่าความขุ่นก่อนกรองไว้ไม่เกิน 4 NTU และหลังจากผ่านการกรองน้ำประปาเชียงรายต้องมีค่าความขุ่นเพียงไม่เกิน 1 NTU เท่านั้น จากค่าความขุ่นของน้ำดิบจากแม่น้ำกก 180 NTU (เคยสูงสุด 10,000 NTU ช่วงน้ำท่วม)

ย้ำสารเคมีที่ใช้ปลอดภัยตามมาตรฐานผลิตน้ำประปา
เมื่อถูกถามถึงความกังวลของประชาชนต่อการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิตน้ำ อภิศักดิ์ ยืนยันว่า ทุกชนิดที่ใช้เป็น “สารปรับปรุงคุณภาพน้ำ” ที่ปลอดภัยและอยู่ในรายการที่อนุญาตให้ใช้ในการผลิตน้ำประปา
“เราไม่ได้ใช้สารเคมีอันตราย เป็นสารที่ใช้ในระบบผลิตน้ำประปาทั่วไป เพียงแต่ปรับอัตราส่วนให้เหมาะกับคุณภาพน้ำดิบในปัจจุบันเท่านั้น การผลิตอยู่ภายใต้การควบคุมของห้องแล็บ และผลตรวจคุณภาพน้ำต้องส่งให้กรมอนามัยตรวจสอบเป็นระยะ จึงมั่นใจได้ว่าไม่มีสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค”
อภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์
เหตุผลสำคัญ ‘ย้ายแหล่งน้ำดิบ’
แม้ปัจจุบันคุณภาพน้ำประปาจากแม่น้ำกกจะอยู่ในเกณฑ์ดี (ค่าการตรวจสารหนูอยู่ที่น้อยกว่า 0.001 มิลลิกรัมต่อลิตร จากมาตรฐานกรมอนามัยที่กำหนดไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร) แต่ประชาชนจำนวนมากยังไม่มั่นใจในความปลอดภัยของแหล่งน้ำ
“แม้ผลตรวจจะปลอดภัย แต่เมื่อประชาชนยังรู้สึกไม่สบายใจ กปภ.ก็จำเป็นต้องตอบสนองต่อความคาดหวังนั้น จึงตัดสินใจเดินหน้าแผนย้ายแหล่งน้ำดิบจากแม่น้ำกกไปยัง แม่น้ำลาว เสนอวงเงินงบประมาณรวม 2,176 ล้านบาท โดยตั้งจุดผลิตที่บริเวณฝายแม่ลาว และส่งน้ำเข้ามาในเขตเมืองเชียงรายซึ่งอยู่ห่างประมาณ 34 กิโลเมตร”
อภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์

สำหรับโครงการย้ายแหล่งน้ำใหม่นี้ จะช่วยขยายพื้นที่ให้บริการน้ำประปาในเส้นทางระหว่างแหล่งผลิตใหม่กับตัวเมือง ทำให้ชุมชนที่เคยอยู่นอกเขตบริการสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดได้มากขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้เพื่อรองรับจำนวนผู้ใช้น้ำที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปี 2568 จำนวน 41,539 ครัวเรือน เป็น 66,639 ครัวเรือนในปี 2589
งบประมาณและกรอบเวลา
สำหรับงบประมาณโครงการย้ายแหล่งน้ำดิบ อภิศักดิ์ ระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดเสนอของบประมาณ โดยคาดว่าจะเสนอใน ปีงบประมาณ 2571
“ปีงบประมาณ 2570 เราอยู่ในขั้นตอนเตรียมเสนอแผนและศึกษาความเหมาะสม หากผ่านการพิจารณา เราคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 2571–2572 ขึ้นอยู่กับกระบวนการจัดสรรงบและการจัดจ้างผู้รับเหมา”
อภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์
ในส่วนของ “แผนระยะสั้น” กปภ.ได้ของบประมาณ 5 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงและติดตั้งระบบจ่ายสารเคมีใหม่ที่สถานีผลิตน้ำวังคํา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมคุณภาพน้ำระหว่างรอย้ายแหล่งน้ำ
“ตอนนี้เรากำลังติดตั้งระบบใหม่เพื่อให้สามารถควบคุมและจ่ายสารได้แม่นยำขึ้น หากเกิดปัญหาคุณภาพน้ำจะสามารถปรับแก้ได้ทันที ซึ่งเป็นการเสริมความมั่นใจในช่วงรอแผนระยะยาว”
อภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์
กรณีแม่สาย – เตรียมเปลี่ยนมาใช้น้ำจากแม่น้ำโขง
ผจก.การประปาส่วนภูมิภาค จ.เชียงราย บอกอีกว่า พื้นที่อำเภอแม่สายเองก็มีแผนปรับเปลี่ยนแหล่งน้ำเช่นกัน โดยจะยกเลิกการใช้น้ำจากแม่น้ำสาย ซึ่งได้รับผลกระทบจากเหมืองในพื้นที่ต้นน้ำ และหันไปใช้น้ำจากแม่น้ำโขงแทน โดยมีจุดผลิตที่อำเภอเชียงแสน
“แม่สายจะผลิตน้ำจากแม่น้ำโขงที่เชียงแสน แล้วส่งน้ำขึ้นไปให้ประชาชนในพื้นที่แม่สาย ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนจากเหมืองในฝั่งประเทศเพื่อนบ้านได้มากขึ้น”
อภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์
เมื่อถามว่า ทำไมการย้ายแหล่งน้ำจึงต้องรอถึงปีงบประมาณ 2571 อภิศักดิ์ อธิบายว่า เป็นเรื่องของขั้นตอนงบประมาณของรัฐ
“ขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างพิจารณางบปี 2570 ทำให้เราไม่สามารถบรรจุโครงการในปีนี้ได้ ต้องเสนอในปี 2571 ซึ่งเป็นไปตามระบบราชการ ไม่ใช่ความล่าช้าของหน่วยงาน”
อภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์
อย่างไรก็ตาม เขายืนยันว่า ระบบผลิตน้ำประปาในปัจจุบัน “เอาอยู่” และสามารถควบคุมคุณภาพน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยได้อย่างต่อเนื่อง

‘แม่น้ำกก’ ยังผลิตน้ำได้ – แต่ต้องย้ายเพราะประชาชนไม่ยอมรับ
เมื่อถามว่าทำไมต้องย้ายแหล่งน้ำ หากระบบยังผลิตน้ำได้ตามมาตรฐาน อภิศักดิ์ ตอบตรงไปตรงมาว่า เหตุผลสำคัญคือประชาชนไม่ยอมรับแหล่งน้ำจากแม่น้ำกก แม้กระบวนการผลิตของเราจะควบคุมคุณภาพได้ แต่เมื่อคนในพื้นที่รู้สึกไม่มั่นใจ กปภ.ก็ต้องปรับตัวตามข้อเรียกร้องนั้น เราไม่ได้ย้ายเพราะผลิตไม่ได้ แต่เพราะอยากให้ประชาชนมั่นใจที่สุด
เขายังระบุว่า การย้ายแหล่งน้ำยังสอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการขยายพื้นที่ให้บริการน้ำสะอาดอย่างทั่วถึงทั่วประเทศ
ในฐานะคนเชียงรายคนหนึ่ง อภิศักดิ์ ยอมรับว่า ส่วนตัวเขายังเชื่อว่ากระบวนการผลิตของ กปภ.สามารถรับมือกับคุณภาพน้ำจากแม่น้ำกกได้ แต่การฟื้นฟูแม่น้ำให้กลับมาสะอาดดังเดิม อาจต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ
“ผมคิดว่าแม่น้ำกกยังมีโอกาสกลับมามีชีวิตได้ ถ้าในอนาคตรัฐบาลไทยและประเทศเพื่อนบ้านสามารถตกลงเรื่องมาตรฐานการทำเหมืองได้จริง และมีระบบบำบัดก่อนปล่อยน้ำลงสู่ลำน้ำ แต่ตอนนี้ เรายังไม่มีข้อมูลว่าฝั่งโน้นจัดการอย่างไร จึงต้องเตรียมทางเลือกไว้ก่อน”
อภิศักดิ์ สวัสดิรักษ์
เสียงสะท้อนความกังวลผู้ใช้น้ำประปาเชียงราย
ท่ามกลางกระแสความกังวลเรื่องสารโลหะหนักในแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบผลิตประปาของจังหวัดเชียงราย มธุรส เปล่งใส ชาวบ้านในเขตอำเภอเมืองเชียงราย เปิดใจกับ The Active ว่า ตนและครอบครัวหยุดใช้น้ำประปาดื่มมาหลายเดือนแล้ว เพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย แม้การประปาฯ จะยืนยันว่าคุณภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

“น้ำประปาเราใช้ในชีวิตประจำวันทุกอย่างเลย ทั้งล้างหน้า แปรงฟัน รดน้ำต้นไม้ ให้น้ำสัตว์เลี้ยง ยกเว้นแค่น้ำดื่มเท่านั้นที่เราไม่กล้าใช้”
มธุรส เปล่งใส
เธอยังอธิบายว่า หลังเกิดข่าวสารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำตั้งแต่ต้นปี ความเชื่อมั่นของประชาชนจำนวนมากก็เริ่มสั่นคลอน แม้หน่วยงานรัฐจะพยายามสื่อสารว่าน้ำอยู่ในค่ามาตรฐานก็ตาม
“เรารู้ว่าเขาพยายามชี้แจง มีคนออกมาชิมน้ำ โชว์ล้างหน้า แต่ไม่มีผลวิจัยยืนยันเลยว่า ถ้าเราดื่มน้ำแบบนี้ไป 10 ปี 20 ปี จะไม่เป็นมะเร็ง หรือไม่มีผลต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยงกับพืชผักของเรา”
มธุรส เปล่งใส
มธุรส ย้ำว่า แม้จะไม่มั่นใจในคุณภาพน้ำ แต่คนในอำเภอเมืองเชียงรายแทบไม่มีทางเลือกอื่น
“คนส่วนใหญ่ไม่มีบ่อบาดาล ทุกคนต้องใช้น้ำประปา ถึงจะไม่มั่นใจเราก็ต้องอาบ ต้องซัก ต้องใช้ เพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้”
มธุรส เปล่งใส
เธอยังสะท้อนปัญหาโครงสร้างระบบประปาที่ดำเนินมานาน ทั้งปัญหาน้ำไม่ไหลในช่วงน้ำท่วมและระบบจ่ายน้ำที่ไม่เสถียร
“ตอนน้ำท่วมไฟดับ น้ำก็ไม่ไหล 7 วันเต็ม เราไม่มีน้ำใช้เลย ทั้งอุปโภคบริโภค หลังน้ำลดก็ยังมีประกาศซ่อมบำรุงแทบทุกเดือน ถ้าย้ายแหล่งน้ำดิบได้จริง เราคิดว่าคุณภาพระบบผลิตน่าจะดีขึ้นด้วย”
มธุรส เปล่งใส
สำหรับการย้ายแหล่งน้ำดิบผลิตประปา ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานรัฐ มธุรส ยอมรับว่า “ดีใจมาก”
“เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องโลหะหนักอย่างเดียว แต่เป็นปัญหาที่สะสมมานาน ถ้าต้นน้ำมีปัญหา เราในปลายน้ำก็ต้องรับกรรม การย้ายแหล่งน้ำจึงเป็นทางออกเดียวที่พอจะช่วยได้”
มธุรส เปล่งใส

เธอสะท้อนความรู้สึกส่วนตัวว่าไม่เคยคิดมาก่อนว่า “เชียงราย เมืองน้ำสะอาด” จะมาถึงวันที่ประชาชนต้องกลัวน้ำประปาในบ้านตัวเอง
“ตั้งแต่เด็กเรากินน้ำกก เล่นน้ำกก มันคือเส้นเลือดใหญ่ของชีวิตเราเลย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่เราต้องระวัง ทั้งที่น้ำคือปัจจัย 4 ที่ทุกคนต้องใช้ ถามว่าโกรธไหม เราโกรธที่ไม่มีใครปกป้องมันอย่างจริงจัง”
มธุรส เปล่งใส
เธอยังเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาจัดการอย่างจริงจังกับต้นตอปัญหาการปนเปื้อน
“ถ้ามีใครสักคนปล่อยสารพิษลงต้นน้ำ นั่นมันคือการฆ่าคนทั้งลุ่มน้ำ คุณต้องไปจัดการ ไม่ว่าจะรัฐบาลไหนก็ต้องพิทักษ์คนในประเทศก่อน เงินทองยังไม่สำคัญเท่าชีวิตคน”
มธุรส เปล่งใส
ส่วนกรณีเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน มธุรส มองว่า เป็นสาเหตุหลักของการปนเปื้อน และไม่ควรปล่อยให้ดำเนินต่อ
“ประเทศที่พัฒนาแล้วเขาไม่ทำกัน เพราะกระบวนการมันก่อสารพิษปนเปื้อน ประเทศเราและเพื่อนบ้านกลับยอมเพราะเห็นมูลค่าเงินมากกว่าชีวิต เราอยากให้หยุดก่อนที่จะสายเกินไป”
มธุรส เปล่งใส
แม้ปัญหาจะยังไม่คลี่คลาย แต่มธุรสยังคงมีความหวังว่า “สายน้ำจะฟื้นคืนได้” หากทุกฝ่ายร่วมกันกดดันและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง
“เรายังมีหวัง ถ้าต้นน้ำฟื้นได้ ปลายน้ำก็จะดีขึ้น วันหนึ่งน้ำกกอาจกลับมาใสเหมือนเดิม แต่ต้องเริ่มจากการหยุดทำร้ายมันก่อน”
มธุรส เปล่งใส
เธอย้ำทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ประชาชนต้องการไม่ใช่เพียงคำชี้แจงจากหน่วยงานรัฐ แต่คือการลงมือแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้น้ำสะอาดกลับมาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนเชียงรายอีกครั้ง
น้ำไม่ปลอดภัย ไม่มีใครกล้าใช้!
เช่นเดียวกับ รัตติกร แสงสุวรรณ ชาวบ้านในเขตเทศบาลนครเชียงราย ก็เล่าว่า ปัจจุบันครัวเรือนส่วนใหญ่ในเมืองเชียงรายเปลี่ยนจากการใช้น้ำบาดาลมาใช้น้ำประปา แต่หลังเกิดกระแสข่าวการปนเปื้อนในแม่น้ำกกซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบผลิตประปา ชาวบ้านจำนวนมากเริ่มไม่มั่นใจในคุณภาพน้ำ โดยเฉพาะเมื่อตรวจพบค่าปนเปื้อนที่เกินมาตรฐานในหลายจุดของจังหวัด

“เมื่อก่อนเราใช้น้ำประปาแล้วกรองเองสำหรับดื่มและทำอาหาร แต่หลังจากมีข่าวเรื่องสารปนเปื้อน โดยเฉพาะตอนที่ปลาในแม่น้ำเริ่มป่วยตาย ทั้งชุมชนก็เลิกใช้น้ำประปาดื่มทันที ตอนนี้ต้องซื้อน้ำทั้งหมด ทั้งดื่ม ทั้งปรุงอาหาร ในฐานะเจ้าของร้านอาหาร โดยยอมรับว่าค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาก เพราะต้องซื้อน้ำจากโรงงานทั้งหมด ทั้งน้ำดื่มสำหรับลูกค้า และน้ำที่ใช้ประกอบอาหาร เราไม่กล้าใช้น้ำประปา แม้จะกรองแล้วก็ตาม เพราะกลิ่นคลอรีนแรงมาก บางครั้งแม้ต้มน้ำแล้ว กลิ่นก็ยังไม่หาย”
รัตติกร แสงสุวรรณ
เธอยังบอกอีกว่า แม้การประปาจะออกมายืนยันว่าน้ำที่ผ่านการบำบัดมีคุณภาพและอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย แต่ในกลุ่มชาวเชียงรายที่ติดตามข้อมูลตรวจสอบน้ำกลับพบว่าค่าปนเปื้อนในแต่ละพื้นที่ยังเกินมาตรฐาน ผลตรวจแต่ละครั้งยังเกินมาตรฐานทุกเดือน เราเลยไม่มั่นใจเลยว่าประปาจะปลอดภัยจริงหรือไม่
นอกจากน้ำดื่มแล้ว รัตติกร ยังบอกว่า แม้แต่การอาบน้ำก็เริ่มก่อให้เกิดปัญหาผิวหนัง
“หลังอาบน้ำจะมีผื่นขึ้นตามข้อพับ ตอนแรกคิดว่าแพ้อากาศ แต่ไปหาหมอแล้วหมอบอกให้งดใช้น้ำประปา พอเปลี่ยนมาใช้น้ำที่เก็บไว้ในถังให้ตกตะกอนก่อนอาบ ผื่นก็ค่อย ๆ ลดลง ปัจจุบันในหมู่บ้านแทบไม่มีใครเปิดน้ำประปาดื่มกิน ทุกบ้านต้องซื้อน้ำเข้าถังสำรองอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง เมื่อก่อนสั่งน้ำแค่สัปดาห์ละหน เดี๋ยวนี้ต้องสองครั้ง เพราะใช้น้ำซื้อล้วน ๆ ไม่มีใครกล้าใช้น้ำประปาแล้ว”
รัตติกร แสงสุวรรณ
รัตติกร บอกด้วยว่า สาเหตุของปัญหาน่าจะมาจากกิจกรรม “เหมืองแร่” ในพื้นที่ต้นน้ำ ซึ่งทำให้น้ำเน่าเสียและปนเปื้อน “ถ้าไม่จัดการต้นทาง ปัญหาก็ไม่มีวันจบ การฟื้นฟูแม่น้ำไม่น่าจะทำได้ใน 1-2 ปี อย่างน้อยต้อง 10 ปีขึ้นไปกว่าน้ำจะกลับมาสะอาด”
เธอเห็นด้วยกับข้อเสนอของภาครัฐที่กำลังพิจารณา “ย้ายแหล่งน้ำดิบ” จากแม่น้ำกกไปยังเขื่อนแม่สวย หรือแม่น้ำแม่ลาว เพื่อผลิตน้ำประปาแทน “ถ้าย้ายไปแหล่งอื่นจะมั่นใจขึ้นมาก อย่างแม่น้ำแม่ลาวไม่ได้รับน้ำจากฝั่งพม่าเหมือนแม่น้ำกก คนเชียงรายส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย เพราะแม่น้ำกกตอนนี้น่าจะฟื้นยากในระยะสั้น”
เมื่อถามถึงความรู้สึกในฐานะคนเชียงรายที่เติบโตมากับแม่น้ำกก รัตติกร ตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าว่า
“แม่น้ำกกเป็นชีวิตของคนเชียงราย ไม่เคยคิดว่าจะถึงวันที่เราต้องเปลี่ยนแหล่งน้ำดิบ เพราะแม่น้ำเส้นนี้อยู่มาก่อนเราจะเกิด แต่วันนี้เรากลับไม่กล้าแม้แต่จะใช้น้ำจากมันดื่มกิน มันสะเทือนใจมากจริง ๆ”
รัตติกร แสงสุวรรณ
วอนรัฐเร่งอนุมัติงบสร้าง ‘ประปาภูเขา’ ทดแทน
ไม่เพียงแต่ประปาส่วนภูมิภาคเท่านั้น ประปาหมู่บ้านที่เคยใช้น้ำจากแม่น้ำกกก็ถูกทิ้งร้างเช่นกัน ปรัตถกร การเร็ว กำนันตำบลแม่ยาว อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย เปิดเผยกับ The Active ถึงสถานการณ์น้ำประปาในพื้นที่ ม.4 บ้านริมกก ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติและการปนเปื้อนของสารหนูในแหล่งน้ำดิบว่า ชาวบ้านกว่า 400 หลังคาเรือนต้องหยุดใช้น้ำประปาหมู่บ้านมานานกว่า 1 ปี และยังไม่สามารถกลับมาใช้ได้จนถึงปัจจุบัน

“หมู่บ้านริมกกเป็นหนึ่งในพื้นที่ตำบลแม่ยาวที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติปี 2567 ระบบประปาหมู่บ้านเสียหาย และหลังจากนั้นก็เริ่มมีข่าวว่าน้ำจากแม่น้ำกกมีสารหนูปนเปื้อน ชาวบ้านจึงไม่กล้าใช้อีกต่อไป”
ปรัตถกร การเร็ว
ก่อนหน้านี้ หมู่บ้านริมกกใช้น้ำจากแม่น้ำกกสูบเข้าระบบกรองและส่งจ่ายให้ครัวเรือนทั่วหมู่บ้าน แต่หลังเกิดน้ำท่วม ระบบประปาหมู่บ้านชำรุด และไม่ได้รับการซ่อมแซมหรือจัดสรรงบประมาณจากหน่วยงานใด ขณะเดียวกันข้อมูลเรื่องการปนเปื้อนของสารหนูในน้ำกกก็สร้างความกังวลให้กับประชาชนอย่างมาก
“ตอนนี้ถึงแม้จะมีการพูดถึงการซ่อมระบบประปาเดิม แต่ชาวบ้านก็ไม่อยากกลับมาใช้น้ำจากน้ำกก เพราะแม้แต่ซักล้างก็ยังกลัวว่ามีสารปนเปื้อน เราจึงพยายามผลักดันโครงการประปาภูเขาแทน เพราะน้ำจากภูเขายังสะอาดและปลอดภัยกว่า”
ปรัตถกร การเร็ว
กำนันปรัตถกร ระบุว่า ขณะนี้ได้ยื่นขอโครงการประปาภูเขาผ่านสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) มานานกว่าหนึ่งปี เพื่อขอจัดสรรงบประมาณสร้างระบบน้ำใหม่ทดแทน แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติ
“ผมติดตามกับทาง พอช. มาตลอด เขาบอกว่าจะอนุมัติแต่ก็ยังไม่มีคำตอบชัดเจน ไม่ทราบว่าติดขัดทางเทคนิคหรือขั้นตอนราชการ เพราะเวลาผ่านมากว่าปีแล้ว”
ปรัตถกร การเร็ว
ในระหว่างนี้ ชาวบ้านต้องซื้อน้ำดื่มกินเองจากที่เคยใช้น้ำฟรีหรือซื้อน้ำเดือนละร้อยบาท กลายเป็นต้องจ่ายถึง 500–1,000 บาทต่อเดือน เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายอย่างหนัก โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อยและเกษตรกร
“จากที่ไม่เคยต้องซื้อน้ำ ตอนนี้ต้องซื้อน้ำกินทุกเดือน คนมีรายได้น้อยก็ลำบากมากครับ”
ปรัตถกร การเร็ว
กำนันแม่ยาว ยังระบุว่า ปัจจุบันเทศบาลนำรถบรรทุกน้ำมาเติมให้ชาวบ้านเป็นระยะ แต่ชาวบ้านเองก็ไม่มั่นใจในคุณภาพน้ำที่ได้รับมาใช้
“ชาวบ้านไม่รู้ว่าน้ำที่เทศบาลนำมาเติมเป็นน้ำจากไหน แต่ก็จำเป็นต้องใช้ เพราะคนเราขาดน้ำไม่ได้ มันเป็นภาวะจำยอมจริง ๆ”
ปรัตถกร การเร็ว
สำหรับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในตำบลแม่ยาว ขณะนี้มีประมาณ 3–4 หมู่บ้านที่ยังไม่มีระบบประปาใช้ รวมทั้งบ้านป่าอ้อและบ้านริมกก ซึ่งทั้งหมดมีประชากรรวมหลายร้อยครัวเรือน
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) จะย้ายแหล่งน้ำดิบจากแม่น้ำกกไปใช้แม่น้ำลาว และขยายระบบประปาครอบคลุมพื้นที่เพิ่มขึ้นนั้น กำนันปรัตถกร ระบุว่า ยังไม่ได้รับข้อมูลอย่างเป็นทางการ
“ตอนนี้ยังไม่ได้รับแจ้งเรื่องดังกล่าว แต่ถ้ามีการขยายระบบมาถึงบ้านริมกกจริง ก็อยากให้มีการจัดสรรมาถึงหมู่บ้านเราด้วย เพราะถือเป็นทางเลือกที่ชาวบ้านต้องการ”
ปรัตถกร การเร็ว

ไร้ความคืบหน้าการแก้ปัญหาน้ำเปื้อนพิษ
เขาทิ้งท้ายว่า ได้เคยเข้าร่วมประชุมและยื่นหนังสือร้องเรียนต่อหลายหน่วยงาน ทั้งรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะกรรมาธิการรัฐสภาหลายชุด เพื่อขอให้ช่วยเร่งแก้ไขปัญหาน้ำสะอาดให้กับชุมชน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีคำตอบหรือความคืบหน้าใด ๆ
“ชาวบ้าน 400 หลังคาเรือนยังไม่มีน้ำประปาใช้ ต้องซื้อน้ำกินและใช้น้ำที่ไม่แน่ใจคุณภาพ รัฐควรเห็นว่านี่เป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะน้ำคือปัจจัยพื้นฐานของชีวิตครับ”
ปรัตถกร การเร็ว
