กสม.เล็งทำข้อเสนอแก้ปัญหา’กากอุตฯ-ละเมิดสิทธิมนุษยชน’พื้นที่ภาคตะวันออกด่วน

หลังพบสถานการณ์รุนแรงต่อเนื่อง ประชาชนชี้ แม้มีกระบวนการเปิดให้ร้องเรียน แต่พบนักปกป้องสิทธิ์กลับตกอยู่ในความเสี่ยง กสม.ตั้งเป้าจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐสภา และรัฐบาล ชี้เป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน

วันนี้ (6 ธ.ค.2568) ปัญหาสิ่งแวดล้อมในภาคตะวันออก ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.2568 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้จัดสัมมนา “การตั้งโรงงานและการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม: มิติสิทธิมนุษยชน” ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร หลังพบว่า สถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมในภาคตะวันออก ประสบปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมลงแหล่งน้ำ ทั้งใต้ดินและบนดินที่เกิดจากการบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพ ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

รวมไปถึงพบการข่มขู่คุกคามนักปกป้องสิทธิ์ในภาคตะวันออก หลังมีการชี้เบาะแสการตั้งโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรม สถานการณ์นี้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว มีความเสี่ยงสูงที่ประชาชนจะถูกคุกคาม และการละเมิดสิทธิ์นักปกป้องสิทธิมนุษยชน

หนึ่งในหัวข้อเสวนาที่จัดรับฟังข้อเสนอแนะได้แก่  “ผลกระทบ ปัญหาการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม และการละเมิดสิทธิมนุษยชน” โดยมีวิทยากรจากมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม มูลนิธิบูรณะนิเวศ และผู้แทนกลุ่มชุมชนในภาคตะวันออก นำเสนอประสบการณ์ตรงและข้อมูลจากพื้นที่จริง ส่งผลให้กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เห็นควรเร่งจัดทำข้อเสนอและมาตรการหรือแนวทางส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

ธันยาภัทร์ ดอกผล ตัวแทนกลุ่มฅนรักษ์กรอกสมบูรณ์ เครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง  ระบุว่า จากการติดตามปัญหามลพิษอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก และรวบรวมข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม พบว่า ในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคตะวันออก เฉพาะกลุ่มโรงงานที่มีใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับการจัดการกากอุตสาหกรรม พบว่าชลบุรีเป็นจังหวัดที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานสูงที่สุดมากถึง 803 ใบอนุญาต รองลงมาคือระยอง 530 ใบอนุญาต ฉะเชิงเทรา 406 ใบอนุญาต ปราจีนบุรี 222 ใบอนุญาต สระแก้ว 38 ใบอนุญาต จันทบุรี 12 ใบอนุญาต และตราด 2 ใบอนุญาต 

ในฐานะเครือข่ายปราจีนเข็มแข็ง จากการรวบรวมพบว่า เฉพาะส่วนของปราจีนบุรีมีกลุ่มโรงงาน 105 (คัดแยกขยะและหลุมฝังกลบของเสียไม่อันตราย) ทั้งหมด 82 ใบอนุญาต และโรงงาน 106 (รีไซเคิลของเสียอันตราย) 68 ใบอนุญาต ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มโรงงานที่มักพบปัญหาการประกอบกิจการที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในหลายมิติ

ธันยาภัทร์ อธิบายต่อว่า ปัญหาการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมและการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในจังหวัดปราจีนบุรีมีลักษณะเป็น “ห่วงโซ่ผลกระทบที่ต่อเนื่องกัน” สอดคล้องตั้งแต่การเริ่มถมที่ดินทำโรงงานจนถึงปลายทางหลังสร้างโรงงานเสร็จและเปิดประกอบกิจการ

“โรงงานก็จะเริ่มต้นจากการลักลอบทิ้งก่อน ในบางพื้นที่ที่มีการขุดบ่อทิ้งไว้ บ่อดินที่ขายหน้าดิน บางครั้งก็จะมีการนำขยะอุตสาหกรรมมาทิ้งก่อน นำเศษดินปนเปื้อน นำถังสารเคมี นำขยะต่างๆ มาทิ้งก่อน พอทิ้งเสร็จก็จะถมดินทับเสร็จ ก็จะสร้างโกดังขนาดใหญ่จำนวนหลายโกดัง”

สิ่งที่ธันยาภัทร์เปิดเผยมาจากการเข้าร่วมสังเกตการณ์ในเวทีรับฟังความคิดเห็นหลายเวที พบว่าต่างมีลักษณะกีดกันผู้เข้าร่วม หลังจากนั้น บางโรงงานจะใช้วิธีการขอใบอนุญาตเริ่มต้นจากการใช้เป็นชื่อบุคคลธรรมดาในการขอใบอนุญาต หลังจากนั้นจะมีการให้นายทุนจีนเช่า มีการใช้แรงงานเมียนมา ใช้เครื่องจักรที่เป็นเทคโนโลยีเก่าของจีน และลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ

“การลักลอบนำเข้าขยะจากต่างประเทศ ซึ่งผลที่ตามมาคือผลกระทบทั้งกลิ่นเหม็น เสียงดัง น้ำเสีย การปนเปื้อน รวมถึงในเรื่องของความเสี่ยงเรื่องของเหตุอุบัติภัยไฟไหม้ สารเคมีรั่วไหล สารเคมีระเบิด” ธันยาภัทร์กล่าว

จร เนาวโอภาส กลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมู่บ้านหนองแหน ฉะเชิงเทรา ได้ชี้ประเด็นเพิ่มเติมว่า ในส่วนของฉะเชิงเทราก็พบปัญหาคล้ายคลึงกับที่ทางตัวแทนของปราจีนบุรีนำเสนอ ยกตัวอย่างในตำบลหนองแหน มีทั้งบ่อฝังกลบขยะ มีทั้งโรงงานรีไซเคิล ซึ่งเกิดขึ้นจากผู้ประกอบการและการปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการกำกับดูแล รวมไปถึงมีแนวโน้มอย่างสูงที่อุตสาหกรรมจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิในการอยู่ในทรัพยากรที่ดี ดิน-น้ำ-ป่า สิทธิในการใช้อากาศ รวมถึงส่งผลต่อสุขภาพของคนในชุมชน 

“โจทย์หนึ่ง อยากให้หน่วยงานของรัฐฟัง รับฟังแบบรอบด้าน และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการออกแบบด้วย ว่าพื้นที่ไหนควรไม่ควรอย่างไร ซึ่งมองว่ามันเป็นประเด็นปัญหาในอนาคตในเรื่องของผังชุมชน”

ด้านดาวัลย์ จันทรหัสดี ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากมลพิษอุตสาหกรรม มูลนิธิบูรณะนิเวศ ได้ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า นอกจากปราจีนบุรีและฉะเชิงเทรา อีกหนึ่งจังหวัดที่ประสบผลกระทบอย่างหนักหน่วงไม่แพ้กันคือชลบุรี ซึ่งอยากชวนตั้งคำถามในวงเล็บว่า “อิทธิพลของใครที่ชลบุรี?” 

ดาวัลย์กล่าวว่า จากการติดตามปัญหาพบว่าชลบุรีกำลังถูกรุกคืบอย่างหนักหน่วง เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเอื้อต่อการขนส่งเคลื่อนย้ายกากอุตสาหกรรม ทำให้เกิดกลุ่มผลประโยชน์ที่เกี่ยวโยงกันเป็นลำดับ ซึ่งมีลักษณะเกี่ยวโยงกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่

ดาวัลย์เน้นว่า ผลประโยชน์เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงในช่วงเริ่มประกอบการโรงงานเท่านั้น มีการรับต่อกันเป็นทอดๆ อย่างเป็นระบบ พร้อมยกตัวอย่างว่า มีทั้งกลุ่มนายหน้าค้าที่ดิน กลุ่มผู้รับเหมาถมที่ กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง รวมไปถึงกลุ่มที่ปรึกษาที่รับจ้างอำนวยความสะดวกในการไปขอใบอนุญาตให้กับนายทุนจีน 

“เรามีคำถามไหมว่า เวลาคนจีนที่เข้ามาในประเทศไทย แล้วไปจดทะเบียนนิติบุคคลเหล่านั้น ถือวีซ่าอะไร คุณมีวีซ่าอะไรไปจดทะเบียนนิติบุคคล?”

ผู้ประสานงานเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากมลพิษอุตสาหกรรมกล่าวต่ออีกว่า “เมื่อจดทะเบียนนิติบุคคลแล้วเขาก็มาเช่าซื้อโรงงานที่บุคคลธรรมดาไปขออนุญาตมา เราพบว่า บุคคลธรรมดา 1 บุคคลมีใบอนุญาตประเภทเดียวกัน 5 ใบ อยู่ในพื้นที่เดียวกัน คำถามคือ ถ้าคุณจะทำธุรกิจหรือประกอบกิจการโรงงาน คุณมีใบอนุญาตหลายใบได้ แต่ไม่ควรเป็นใบอนุญาตประเภทเดียวกัน เพื่อนำโรงงานเหล่านั้นไปให้ทุนจีนหรือทุนเทาไหม? อันนี้เป็นคำถาม”

ดาวัลย์ได้ยกตัวอย่างกลุ่มโรงงานของบริษัทแห่งหนึ่งในพื้นที่ภาคตะวันออกที่พบข้อมูลว่า เริ่มต้นจากการขอใบอนุญาตครั้งแรกเป็นใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานประเภท 105 ทั้งหมด 9 ใบ และขอประกอบกิจการโรงงานประเภท 106  เพิ่มอีก 7 ใบ รวมทั้งสิ้น 16 ใบ ซึ่งเป็นการที่หนึ่งบริษัทขอใบอนุญาตชนิดเดียวกันและตั้งในพื้นที่เดียวกัน เช่นนี้เท่ากับเอื้อต่อการนำใบอนุญาตเหล่านี้ไปขายต่อหรือเช่าต่อใช่หรือไม่ อยากชวนสาธารณชนตั้งคำถาม

ด้านสุภาภรณ์ มาลัยลอย ผู้จัดการมูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) แสดงความคิดเห็นว่า ถ้ามองในกฎหมายผังเมือง ในอดีตมีการแบ่งโซนพื้นที่ชัดเจนว่า ส่วนไหนเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและอุตสาหกรรม แต่กฎหมายผังเมืองของประเทศไทยได้ถูกทำลาย หลังมีคำสั่งของ คสช. 4/2559 ที่เปิดให้โรงงานบำบัดกำจัดขยะและกากอุตสาหกรรมเกิดขึ้นได้ทุกพื้นที่โดยไม่ต้องดูผังเมือง ประกอบกับการพัฒนาอุตสาหกรรมได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ส่งผลให้มีการปรับเปลี่ยนผังเมืองครั้งใหญ่ ทำให้อุตสาหกรรมประเภทนี้เข้าไปตั้งอยู่ในพื้นที่เดิมที่ไม่เคยรองรับอุตสาหกรรมมาก่อน 

“การบังคับใช้กฎหมายของรัฐยังไม่สามารถที่จะปกป้องคุ้มครองประชาชนชุมชนและสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง” สุภาภรณ์สรุปและอธิบายต่อว่า ในส่วนของปราจีนบุรี แม้จะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ EEC แต่ก็มีการแก้ไขผังเมืองเพื่อรองรับการขยายตัวของโรงงานที่เกี่ยวข้องกับกากขยะอุตสาหกรรมจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา หรือจังหวัดพื้นที่ EEC ทั้งสามไม่เพียงพอที่จะรองรับกากอุตสาหกรรมได้แล้ว 

ดังนั้นจึงถึงเวลาที่ควรนำเกณฑ์ผลกระทบของพื้นที่ปนเปื้อนมาเป็นส่วนในการประเมินในผังเมือง ว่าพื้นที่ไหนควรเปิดให้มีการก่อสร้างโรงงานหรือกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนหรือไม่ 

“พื้นที่ปนเปื้อนแทนที่จะเปิดไว้เพื่อให้เกิดอุตสาหกรรมหรือกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อชุมชน ทำไมเราไม่มีสีเพิ่ม กำหนดเป็นพื้นที่จะต้องมีมาตรการในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ” สุภาภรณ์ตั้งประเด็น

อีกหนึ่งประเด็นที่สุภาภรณ์เน้นย้ำคือ แม้ในปัจจุบันจะมีกระบวนการเปิดให้มีการร้องเรียนคัดค้าน แต่ทว่าในข้อเท็จจริงกลับพบว่านักปกป้องสิทธิ์หรือชาวบ้านกลุ่มผู้คัดค้านโรงงานกลับตกอยู่ในความเสี่ยง อีกทั้งมีปัญหาว่า จุดที่ติดประกาศรับฟังความคิดเห็นก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่ประชาชนผ่านสัญจรเป็นปกติ หรือง่ายต่อการเข้าถึง ดังนั้นเห็นควรว่าถึงเวลาปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบในส่วนที่เกี่ยวข้อง

“แม้จะมีเวทีกระบวนการรับฟังก่อนอนุญาต ส่วนสำคัญคือผู้เข้าไปตรวจสอบหรือคัดค้าน ส่วนมากก็เป็นนักปกป้องสิทธิ์ที่ ก็มักจะถูกกีดกัน เจอชายชุดดำ มีการข่มขู่คุกคาม และกระบวนการตรวจสอบรับฟังความคิดเห็นไม่มีหน่วยงานไหนรับผิดชอบ พอประชาชนไปยื่นกรมโรงงานฯ ก็อาจจะถูกแจ้งว่าเป็นส่วนที่บริษัทเขาเป็นคนทำ ไม่ได้อยู่ในส่วนที่กรมโรงงานและอุตสาหกรรมจังหวัดต้องดูแล การทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม สผ. (สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ก็จะแจ้งว่า ยังไม่อยู่ในกระบวนการรับผิดชอบของ สผ. เพราะเล่มรายงาน ยังมาไม่ถึง แล้วใครจะเป็นคนดูแลในมิติระหว่างการจัดทำการรับฟังความคิดเห็น เพราะมันมีส่วนที่เกิดผลกระทบเกิดขึ้นแล้ว” สุภาภรณ์กล่าว

ประเด็นดังกล่าวนี้ ส่งผลให้ กสม.ตั้งเป้าที่จะจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อเสนอต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม และคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนในพื้นที่ภาคตะวันออกอย่างยั่งยืน

กสม. ย้ำด้วยว่า การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและกากอุตสาหกรรมจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนและบูรณาการร่วมกันทุกภาคส่วน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และได้รับการคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active