‘หมอเหรียญทอง’ ย้ำ ไม่ใช่การเอาคนไข้เป็นตัวประกัน เสนอแผนผ่อนหนี้ 5 ปี หวั่น คุณภาพระบบบัตรทองถดถอยต่อเนื่อง
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เปิดเผยกับ The Active ว่า ขณะนี้โรงพยาบาลกำลังเผชิญปัญหาการค้างชำระเงินจาก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2563 ในกองทุนส่งต่อผู้ป่วยนอก (OP Refer) โดยเฉพาะช่วงที่ สปสช.ยกเลิกสัญญาคลินิกชุมชนอบอุ่น และโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ เกือบทั้งหมด แต่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะยังคงทำหน้าที่แทนและ แบกรับค่าใช้จ่ายกว่า 13 ล้านบาท ซึ่งจนถึงปัจจุบันยังไม่ได้รับเงินชดเชย ทั้งที่มีการฟ้องร้องต่อศาลปกครองมาตั้งแต่ปี 2564

ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2567 สปสช. ได้ปรับระบบส่งต่อผู้ป่วยใหม่ หรือ โมเดล 5 และขอให้โรงพยาบาลช่วยรับผู้ป่วยต่อ โดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่เกิดการเบี้ยวหนี้เหมือนปี 2563 แต่ปัจจุบันกลับค้างชำระเพิ่มทั้งค่าบริการ ค่าแพทย์ และค่ายา รวมไม่น้อยกว่า 47 ล้านบาท และยังมีหนี้สะสมใหม่ช่วง ต.ค. 2567 – ก.พ. 2568 อีกกว่า 17 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดรวมทะลุ 70 ล้านบาท
ย้ำปัญหาจำกัดแค่ OP Refer เสนอ ‘บัตรทองแพลตินัม’
พล.ต.นพ.เหรียญทอง ระบุว่า ปัญหานี้ทำให้โรงพยาบาลต้องกู้เงินหมุนเวียนจนขาดสภาพคล่อง โดยเฉพาะในส่วนค่ายาที่ไม่สามารถแบกรับต่อไปได้ จึงจำเป็นต้องให้ผู้ป่วยบัตรทองที่ขึ้นทะเบียนกับโรงพยาบาลจ่ายค่ายาเอง ตั้งแต่เดือนกันยายน 2568 พร้อมเก็บใบเสร็จไว้เพื่อขอคืน หาก สปสช.จ่ายหนี้ย้อนหลังครบถ้วน
“ไม่ใช่โรงพยาบาลเอาคนไข้เป็นตัวประกัน แต่ สปสช.ต่างหากที่ปล่อยให้หนี้ค้าง ทำให้โรงพยาบาลไม่มีเงินไปจ่ายค่ายา”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา

ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ ยังชี้แจงอีกว่า ปัญหานี้จำกัดอยู่เพียงกองทุน OP Refer ไม่ได้หมายถึงระบบบัตรทองทั้งหมด พร้อมออกโครงการ บัตรทองแพลตินัม สำหรับผู้ใช้สิทธิบัตรทองที่ยอมร่วมจ่ายค่ารักษาและค่ายาบางส่วนเอง ในอัตราเดียวกับโรงพยาบาลรัฐปี 2562 โดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ขณะที่ผู้ป่วยใน (IPD) ยังคงรักษาตามสิทธิปกติ
ข้อเสนอแก้ปัญหา แผนผ่อนหนี้ 5 ปี
พล.ต.นพ.เหรียญทอง เสนอให้ผู้บริหาร สปสช.จัดทำ แผนผ่อนชำระหนี้ ระยะเวลา 5 ปี โดยไม่คิดดอกเบี้ยและบรรจุไว้ในงบประมาณประจำปี หากดำเนินการได้ โรงพยาบาลจะสามารถประคับประคองระบบต่อไป แต่หากยังนิ่งเฉย อาจถึงขั้นประกาศงดตรวจผู้ป่วยบัตรทองในวันที่ 1 ต.ค. 2568 เนื่องจากไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายบุคลากรได้อีก
ทางออกใหม่ Reverse OP Refer
นอกจากนี้ ยังเสนอโมเดล Reverse OP Refer ให้ผู้ป่วยขึ้นทะเบียนตรงกับโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ แล้วโรงพยาบาลส่งต่อไปยังคลินิกเครือข่ายแทน เพื่อลดความซ้ำซ้อนของระบบใบส่งตัว และป้องกันปัญหาการค้างชำระ โดยเปรียบเทียบกับระบบโรงพยาบาลชุมชนที่ทำหน้าที่เป็นแม่ข่ายดูแลหน่วยบริการปฐมภูมิ
เมื่อถามถึงความคาดหวังต่อรัฐมนตรีสาธารณสุขคนใหม่ พล.ต.นพ.เหรียญทอง บอกว่า เรื่องนี้ถือเป็นปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีต้องเข้ามาแก้ไข อย่างน้อยต้องมีการเจรจาหนี้กับมงกุฎวัฒนะโดยเร็ว เพื่อให้ประชาชนในโซนกรุงเทพฯ เหนือได้ผ่อนคลาย และเดินหน้าสู่การแก้ปัญหาในปีงบประมาณใหม่
“ถ้าเรื่องนี้ยังเคลียร์ไม่ได้ คุณภาพการให้บริการทางการแพทย์ก็จะลดลงทั้งระบบ ไม่ใช่เฉพาะโรงพยาบาลเอกชน แต่รวมถึงโรงพยาบาลรัฐด้วย”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา

พล.ต.นพ.เหรียญทอง ยังยอมรับว่า สิ่งที่น่ากังวลขณะนี้ไม่ใช่การล่มสลายของระบบหลักประกันสุขภาพ แต่คือ คุณภาพ ที่ถดถอยลงเรื่อย ๆ ทั้งที่ประเทศไทยเคยถูกยกย่องว่ามีระบบบริการที่ติดอันดับโลก แต่วันนี้กำลังด้อยลงอย่างต่อเนื่อง
จึงฝากไปถึงผู้บริหาร สปสช. ว่า ต้องกล้าปฏิเสธแรงกดดันทางการเมือง ไม่ควรยอมตามนโยบายประชานิยมทุกเรื่อง
“สิทธิประโยชน์บางอย่าง ถ้ามีเงินมากก็ให้ได้ แต่เงินไม่พอจะฝืนให้ก็ไม่ได้ ต้องพูดตรง ๆ ว่าไม่สามารถทำได้”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา
ยกตัวอย่างสิทธิการผ่าตัดแปลงเพศ หากจะให้บริการแปลงเพศ ต้องระบุชัดเจนว่ากรณีใดบ้างที่ทำได้ ต้องมีเงื่อนไขชัดเจน และต้องสื่อสารให้ทั้งฝ่ายการเมือง และประชาชนเข้าใจ ไม่ใช่ปล่อยให้หน่วยบริการไป “ทะเลาะกับประชาชน” โดยไม่มีแนวทางที่ชัดเจน
“รัฐบาลและฝ่ายการเมืองต้องเข้าใจข้อจำกัดของกองทุนบัตรทอง แม้จะมีงบกว่า 2 แสนล้านบาท แต่ความจริงก็ยังไม่เพียงพอต่อภาระที่เพิ่มขึ้น อย่าวาดฝันว่าจะขยายสิทธิแจกทุกอย่างไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่ดูข้อเท็จจริง สุดท้ายประชาชนก็จะเป็นผู้รับผลกระทบจากคุณภาพที่ตกต่ำลง”
พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา