หลังค้างจ่ายยาว บางแห่งเตรียมถอนตัวจากระบบบัตรทองตัวแทนเครือข่ายจี้ตรวจสอบการบริหารงบไม่โปร่งใส ชี้คลินิกเอกชนขาดสภาพคล่องหนัก กระทบผู้ป่วยกว่า 2.2 แสนคน
วันนี้ (21 ตุลาคม 2568) ตัวแทนเครือข่ายคลินิกชุมชนอบอุ่นในกรุงเทพมหานคร เข้ายื่นหนังสือถึง พัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เรียกร้องให้เร่งแก้ไขปัญหาการค้างจ่ายเงินของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของคลินิกจำนวนมาก จนบางแห่งเตรียม ถอนตัวจากระบบบัตรทอง
ผู้ยื่นหนังสือนำโดย พญ.นันทวัน ชอุ่มทอง นายกสมาคมคลินิกชุมชนอบอุ่น ร่วมกับ นพ.พินัย ล้วนเลิศ อนุกรรมการ อปสข.กทม. และผู้ประกอบการคลินิกเอกชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบุว่า ปัญหาการเบิกจ่ายงบล่าช้าและขาดความโปร่งใส ทำให้หน่วยบริการปฐมภูมิในเมืองหลวงกำลังเผชิญวิกฤติการเงิน
คลินิกกว่า 60 แห่งถอดใจ ถอนตัวจากระบบบัตรทอง
นพ.พินัย เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีคลินิกในกรุงเทพฯ ราว 324 แห่ง เข้าร่วมระบบบัตรทอง แต่ กว่า 60 แห่งได้ถอนตัวแล้ว เนื่องจากไม่ได้รับเงินชดเชยตรงเวลา และบางแห่งถูกค้างจ่ายมาหลายเดือน ส่งผลให้คลินิกจำนวนมากขาดสภาพคล่องในการดำเนินงาน
“ระบบคิดแต้มแบบ Point System ทำให้เงินชดเชยไม่สอดคล้องกับต้นทุนจริง คลินิกเอกชนหลายแห่งต้องสำรองเงินตัวเองจนแบกรับภาระไม่ไหว” นพ.พินัย กล่าว
ตัวแทนคลินิกบางรายเผยเพิ่มเติมว่า ในเครือคลินิกเอกชน 13 แห่งมียอดค้างจ่ายจาก สปสช. กว่า 11 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 ขณะที่งบเหมาจ่ายรายหัวและงบส่งเสริมสุขภาพยังไม่ถูกโอน ทำให้หลายแห่งขาดทุนและเสี่ยงต้องปิดบริการถาวร
เสนอ 4 แนวทางแก้ปัญหา – ตั้ง “คลินิกบัตรทอง Plus” ยกระดับบริการ
พญ.นันทวัน เสนอแนวทางแก้ไขเร่งด่วน 4 ประการ ได้แก่
1. ทบทวนงบประมาณปี 2566–2567 ให้เป็นธรรม โปร่งใส และสะท้อนต้นทุนจริงของหน่วยบริการ
2. ปรับระบบจ่ายเงินและกลไกส่งต่อผู้ป่วย ให้เหมาะสมกับบริบทเมืองใหญ่
3. จัดทำระบบ Risk-adjusted capitation เพื่อชดเชยตามความซับซ้อนของผู้ป่วย
4. จัดตั้งเครือข่าย “คลินิกบัตรทอง Plus” เพื่อยกระดับบริการปฐมภูมิในเขตเมืองให้มีคุณภาพและยั่งยืน
นพ.พินัย เตือนว่า หากยังไม่แก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม อาจมีคลินิกและโรงพยาบาลทยอยถอนตัวเพิ่มในปี 2569 ซึ่งจะกระทบประชาชนกว่า 220,000 คน ที่พึ่งพาบริการในพื้นที่กรุงเทพฯ
สธ.รับเรื่องแล้ว เตรียมตั้งคณะทำงานตรวจสอบ
ด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นผู้แทนรับเรื่อง ระบุว่า จะนำข้อมูลเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและนายกรัฐมนตรีโดยเร็ว พร้อมเตรียมตั้งคณะทำงานตรวจสอบและหารือแนวทางร่วมกับ สปสช.
“เห็นด้วยว่าการแยกงบและเปิดให้หน่วยบริการร่วมวางแผนจ่าย อาจช่วยลดปัญหาความล่าช้าและเพิ่มความโปร่งใสในระบบได้” นพ.โสภณ กล่าว