คนรักหลักประกันฯ ชี้ ‘รพ.ขาดทุน’ ต้องดูบริบท ไม่ใช่โทษระบบบัตรทอง

ย้ำ รพ.ได้รับงบฯ เหมาจ่ายรายหัวแล้ว 50% ตั้งแต่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา เชื่อมีเงินหมุนเวียนแน่นอน 95% ภายในครึ่งปีแรก ขณะที่ สปสช. มีงบฯ รองรับทั้งเงินเดือน ค่าเสื่อม ยา เผย บุคลากรในชนบทได้รับเบี้ยเลี้ยง ฉ.11 เพื่อแก้ปัญหาสมองไหล ยัน ประชาชนมีสิทธิ์ร้องเรียน ขอเยียวยาได้ตามมาตรา 41 หากถูกปฏิเสธการรักษา

วันนี้ (27 ต.ค. 68) นิมิตร์ เทียนอุดม กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ แถลงข่าวในหัวข้อ เปิดทุกคำตอบ เรื่องบัตรทองกองทุนผู้บริโภคต้องรู้ ยืนยันว่า หน่วยบริการทั่วประเทศได้รับงบประมาณตามระบบ เหมาจ่ายรายหัว แล้วตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณ 2569 พร้อมชี้แจงว่า โรงพยาบาลไม่ควรอ้างว่าไม่มีเงิน เพราะงวดแรกได้รับแล้วถึง 50% ของวงเงินเหมาจ่ายรายหัว

“สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เริ่มต้นปีงบประมาณใหม่แล้ว โรงพยาบาลทุกแห่งได้รับงบเหมาจ่ายรายหัวสำหรับผู้ป่วยนอกงวดแรกไปแล้วร้อยละ 50 โดยคิดจากจำนวนประชากรในพื้นที่ ประมาณ 1,400 บาทต่อคนต่อปี ส่วนที่เหลืออีก 45% จะจ่ายในไตรมาส 2 และอีก 5% ในไตรมาสสุดท้าย เพื่อเคลียร์ข้อมูลการใช้บริการ”

 นิมิตร์ เทียนอุดม

นิมิตร์ เทียนอุดม กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ

โรงพยาบาลทุกแห่งจึงมี กระแสเงินสดหมุนเวียนแน่นอนร้อยละ 95 ของงบประมาณ และงบเหมาจ่ายรายหัวนี้เป็น เงินก้อน ที่ไม่ต้องเรียกคืน ไม่ว่าประชาชนจะมาใช้บริการมากหรือน้อย จึงถือเป็นต้นทุนที่รัฐจัดสรรให้สำหรับการบริหารจัดการบริการผู้ป่วยนอกโดยตรง

ชี้ ‘โรงพยาบาลขาดทุน’ ต้องดูบริบท ไม่ใช่โทษระบบบัตรทอง

นิมิตร์ ย้ำว่า ข้อมูลทางการเงินของโรงพยาบาลรัฐในปีล่าสุด พบว่า จาก 902 แห่งทั่วประเทศ มีเพียง 58 แห่งที่มีบัญชีติดลบ ซึ่งถือเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อย และควรตรวจสอบเป็นรายกรณี เช่น อยู่ในพื้นที่กันดารหรือมีประชากรน้อย ไม่ใช่นำมาสรุปว่า ระบบหลักประกันสุขภาพทำให้โรงพยาบาลขาดทุน

“ถ้าระบบมันไม่ดีจริง โรงพยาบาลต้องขาดทุนพร้อมกันทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่บางแห่ง ที่สำคัญโรงพยาบาลรัฐไม่ควรคิดเรื่องกำไรขาดทุน เพราะเป็นบริการสาธารณะที่รัฐต้องจัดให้ประชาชน”

 นิมิตร์ เทียนอุดม

เขาย้ำว่า การบริหารโรงพยาบาลของรัฐควรยึดหลักประโยชน์สาธารณะมาก่อนผลประโยชน์ส่วนตน ตามเจตนารมณ์ของวิชาชีพแพทย์และแนวคิดบริการสาธารณะของรัฐ

เผย สปสช. มีงบฯ รองรับทั้งเงินเดือน, ค่าเสื่อม, และยาแพง

นิมิตร์ ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า ระบบหลักประกันสุขภาพไม่ได้จ่ายเฉพาะค่ารักษาพยาบาล แต่ยังมี งบฯ เงินเดือนบุคลากรทางการแพทย์งบค่าเสื่อมสำหรับเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และ งบฯ กลางสำหรับยาราคาแพงหรืออุปกรณ์เฉพาะโรค เช่น เส้นเลือดเทียมหรือยามะเร็ง ซึ่งมีการจัดสรรไว้ทุกปี

“สปสช. ตั้งงบกลางสำหรับยาและอุปกรณ์ราคาแพงปีละกว่า 10,000 ล้านบาท มีคณะผู้เชี่ยวชาญร่วมกันพิจารณาและต่อรองราคากับบริษัท เพื่อให้โรงพยาบาลสามารถเบิกใช้ได้โดยไม่กระทบงบดำเนินการของหน่วยบริการ”

นิมิตร์ เทียนอุดม

นิมิตร์ ยังระบุด้วยว่า โรงพยาบาลที่อ้างว่า ไม่มีงบฯ สำหรับยาแพง นั้นไม่ถูกต้อง เพราะระบบได้เตรียมงบส่วนนี้ไว้แล้ว หากประชาชนได้รับผลกระทบจากการปฏิเสธการรักษา เช่น การลดจำนวนเส้นเลือดเทียมหรือไม่ให้ยาจำเป็น สามารถร้องเรียนและขอ เยียวยาตามมาตรา 41 ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้ทันที

ส่วนกรณียาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ราคาแพง เช่น เส้นเลือดเทียมหรือยามะเร็ง ว่า ระบบหลักประกันสุขภาพได้ตั้งงบประมาณเฉพาะไว้ทุกปี ประมาณ 14,000–15,000 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อรวมระดับประเทศ และต่อรองราคากลางโดยอาศัยความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรค เพื่อให้โรงพยาบาลทุกแห่งสามารถเบิกใช้ได้โดยไม่ต้องรับภาระงบเอง

“ระบบนี้ออกแบบให้โรงพยาบาลไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องของแพง เพราะยาราคาแพงหรืออุปกรณ์เฉพาะทางจะมีงบกลางรองรับไว้แล้ว และถ้าเป็นหน่วยบริการของรัฐ รัฐก็ต้องเข้ามาอุ้มไว้ ไม่ควรคิดในเชิงธุรกิจว่าขาดทุนหรือกำไร”

นิมิตร์ เทียนอุดม

นิมิตร์ บอกอีกว่า งบฯ ของระบบบัตรทองไม่ได้จ่ายเฉพาะค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น แต่ยังมีงบฯ ค่าเสื่อม หรือ งบฯ ลงทุน สำหรับซ่อมแซมอาคารสถานที่ จัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ และบำรุงเครื่องมือ เพื่อให้หน่วยบริการมีความพร้อมในการดูแลประชาชน ซึ่งในอดีตจัดสรรให้เฉลี่ยหัวละราว 100 บาทต่อประชากร

“เงินค่าเสื่อมคือการลงทุนในความพร้อมของระบบบริการ ไม่ใช่ให้เฉพาะค่าตรวจรักษา เพราะถ้าระบบจะดูแลประชาชนได้ เครื่องมือและสิ่งอำนวยความสะดวกต้องพร้อม”

นิมิตร์ เทียนอุดม

นิมิตร์ สรุปว่า เจตนารมณ์ของระบบหลักประกันสุขภาพคือให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพ ขณะเดียวกันหน่วยบริการและบุคลากรทางการแพทย์ต้องอยู่ได้อย่างมั่นคง

“ถ้าเรารู้ระบบนี้ดี เราจะเห็นว่าโรงพยาบาลรัฐไม่ได้ขาดเงินเดือน ไม่ได้ไม่มีงบฯ ลงทุน แต่รัฐได้วางระบบไว้เพื่อให้ทุกฝ่ายอยู่ได้ และประชาชนไม่ถูกทอดทิ้ง”

นิมิตร์ เทียนอุดม

ย้ำ ‘บริการสุขภาพของรัฐ’ ต้องไม่ยึดกำไร–ขาดทุน

นิมิตร์ กล่าวอีกว่า เจตนารมณ์ของรัฐในการจัดตั้งโรงพยาบาลทุกอำเภอและสถานีอนามัยทุกตำบล คือการให้บริการสุขภาพที่ทั่วถึงและเท่าเทียม ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใดก็ตาม

“โรงพยาบาลอำเภอที่มีประชากรน้อยอาจไม่คุ้มทุนแน่ๆ แต่รัฐต้องทำ เพราะเป็นภารกิจของรัฐ ไม่ใช่ธุรกิจเอกชน การคิดแบบบริษัท เจ๊งแล้วเลิก ใช้ไม่ได้กับระบบสุขภาพ”

นิมิตร์ เทียนอุดม

บุคลากรในชนบทได้รับเบี้ยเลี้ยง ฉ.11 เพื่อแก้ปัญหาสมองไหล

นิมิตร์ ยังกล่าวถึงประเด็น สมองไหล ของบุคลากรทางการแพทย์ว่า ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขได้ออก ประกาศเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายฉบับที่ 10 และ 11เพื่อจูงใจให้แพทย์ พยาบาล และวิชาชีพสาธารณสุขในชนบทอยู่ในพื้นที่ โดยจ่ายเพิ่มเดือนละ 40,000–50,000 บาท

“ระบบบัตรทองไม่ได้ทำให้หมอขาดรายได้ เพราะรัฐใส่เงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงเข้าไปในงบเหมาจ่ายรายหัวด้วย เป้าหมายคือให้มีบุคลากรอยู่ในพื้นที่ ไม่ต้องลาออกไปทำคลินิกเอกชน”

นิมิตร์ เทียนอุดม

ทั้งนี้เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย เป็นหลักฐานชัดเจนว่า กระทรวงสาธารณสุขและระบบหลักประกันสุขภาพพยายามแก้ปัญหาสมองไหล ไม่ต้องกังวลว่าโรงพยาบาลจะขาดทุน เพราะระบบได้คำนวณค่าแรงบุคลากรไว้ในงบฯ เหมาจ่ายรายหัวแล้ว

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active