สปสช. คงค่า AdjRW 8,350 บาท – ปี 69 ไม่มีลด แต่ยังเป็นงบฯ ปลายปิด  

บอร์ด สปสช. – สธ. เห็นชอบร่วมจัดทำข้อมูลต้นทุนบริการ เตรียมงบฯ ปี 2570 แก้ปัญหางบฯ ผู้ป่วยในอย่างเป็นระบบ พร้อมตรวจเวชระเบียนเข้มข้น 100% หากเงินไม่พอ เล็งของบกลางเพิ่ม ยันเน้นความโปร่งใสด้วยระบบตรวจสอบเข้ม เดินหน้าแนวคิด ‘Medical Economy’ เพิ่มรายได้เข้าระบบสุขภาพ ส่วนแนวคิด ‘ภาษีสุขภาพ’ ยังอยู่ในขั้นศึกษา

เมื่อวันที่  3 พ.ย. 68 หลังการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. แถลงว่า ที่ประชุมมีมติสำคัญเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหางบประมาณผู้ป่วยใน โดย สปสช. และกระทรวงสาธารณสุขจะร่วมกันจัดทำข้อมูลเพื่อใช้ในการจัดทำงบประมาณปี 2570 ให้มีความสมบูรณ์และสะท้อนต้นทุนจริงของหน่วยบริการมากขึ้น

นพ.จเด็จ ระบุว่า การทำงานครั้งนี้จะตั้งคณะทำงานร่วมระหว่าง สปสช. และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลตั้งแต่ “ต้นทุนบริการ” ไปจนถึง “ผลลัพธ์การรักษา” เพื่อประกอบการจัดทำงบประมาณปีถัดไป โดยย้ำว่าข้อมูลต้องมาจากการมีส่วนร่วมของหน่วยบริการและบุคลากรในพื้นที่ เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณตอบสนองภาระงานจริง

“เราจะทำงานร่วมกันตั้งแต่การเก็บข้อมูลต้นทุน จัดทำงบบริการผู้ป่วยใน ไปจนถึงการบริหารจัดการงบในระดับพื้นที่ เพื่อให้ข้อมูลทั้งหมดใช้ร่วมกันได้ทั้งสองฝ่าย และนำไปสู่การจัดทำงบปี 2570 ที่สะท้อนภาระงานจริง”

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบให้ “เสริมสภาพคล่องแก่หน่วยบริการ” โดยเฉพาะงบผู้ป่วยนอกและงบส่งเสริมป้องกันโรค (PP) ปีงบประมาณ 2569 ซึ่ง สปสช. ได้ดำเนินการโอนงบประมาณลงพื้นที่แล้วเมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ในสัดส่วนร้อยละ 50 ของงบฯ ทั้งหมด เพื่อช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของโรงพยาบาล

ทั้งนี้ ยังมีการมอบหมายให้อนุกรรมการเฉพาะด้านภายใต้บอร์ด ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขเตรียมข้อมูลและแนวทางบริหารจัดการงบประมาณร่วมกันในระยะต่อไป โดยเฉพาะในส่วนของงบฯ ผู้ป่วยใน ซึ่งหลายโรงพยาบาลสะท้อนว่ามีข้อจำกัดด้านงบประมาณและภาระต้นทุนสูง

นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัด สธ. – พัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สธ. – นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช.

สธ.-สปสช. ยัน “ไม่มีใครถูกทิ้ง” ทุก รพ.ยังรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐาน 

ขณะที่ พัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวยืนยันถึงจุดยืนร่วมกันของกระทรวงสาธารณสุข และ สปสช. ว่า แม้จะมีความท้าทายด้านงบประมาณและข้อจำกัดในการบริหารจัดการ แต่โรงพยาบาลทุกระดับจะยังคงให้บริการประชาชนตามมาตรฐาน ไม่ปฏิเสธผู้ป่วย

“ไม่ว่าการบริหารจัดการงบประมาณจะเป็นอย่างไร โรงพยาบาลทุกระดับจะไม่ปฏิเสธคนไข้ และจะรักษาตามมาตรฐานที่ประเทศไทยยึดถือไว้ เราทำงานร่วมกันเพื่อให้ระบบสาธารณสุขของไทยยังคงแข็งแรง แม้จะเผชิญความท้าทายในยุคสังคมสูงวัย”

พัฒนา พร้อมพัฒน์

พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวของการทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและ สปสช. โดยทั้งสองหน่วยงานมีการ “แชร์ข้อมูลเชิงนโยบาย” เพื่อใช้ในการวิเคราะห์และกำหนดนโยบายสาธารณสุขให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง และจะเดินหน้าประชุมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง

ปัดปม สธ. – สปสช. บาดหมางกัน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวความไม่เข้าใจกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับ สปสช. รมว.สธ. ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ถึงขั้นบาดหมาง” เพียงแค่ที่ผ่านมาอาจมีช่วงที่ไม่ได้สื่อสารกันบ่อยนัก แต่ปัจจุบันได้พูดคุยกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นในทุกระดับ

“จะใช้คำว่าบาดหมางก็คงแรงไปครับ แค่ไม่ค่อยได้คุยกันเท่านั้นเอง แต่ตอนนี้เราคุยกันบ่อยมากขึ้น ทั้งในระดับผู้บริหารและทีมปฏิบัติ ผมเองก็แจ้งกับปลัดกระทรวงและเลขาธิการ สปสช. แล้วว่าถ้ามีประชุมทีมงานเมื่อใด หากผมอยู่ที่กระทรวงก็พร้อมเข้าร่วม เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาให้เกิดผลลัพธ์ที่สร้างสรรค์”

พัฒนา พร้อมพัฒน์

ทั้งยังย้ำว่า สิ่งสำคัญคือการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน และสามารถขับเคลื่อนนโยบายด้านหลักประกันสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สธ. – สปสช. ย้ำ คงค่า AdjRW ที่ 8,350 บาท
งบฯ ปี 69 ยังเป็น “ปลายปิด” แต่เพิ่มความโปร่งใสด้วยระบบตรวจสอบเข้ม

นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า มติที่ประชุมมีความชัดเจนเรื่อง “ค่า AdjRW” สำหรับงบผู้ป่วยในปีงบประมาณ 2569 โดยจะคงไว้ที่ 8,350 บาท ตามที่ชมรมโรงพยาบาลและองค์กรแพทย์เรียกร้อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้หน่วยบริการทุกระดับว่าสามารถดำเนินงานได้โดยไม่สะดุด 

“ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา เราได้หารืออย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและ สปสช. เพื่อหาข้อยุติร่วมกัน และที่ประชุมเห็นตรงกันว่าควรคงค่า AdjRW ไว้ที่ 8,350 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่โรงพยาบาลส่วนใหญ่ยอมรับได้ โดยคาดว่าจำนวนรวมของ AdjRW ที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 อยู่ที่ประมาณ 11.2 ล้านหน่วย”

นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ยังระบุว่า การบริหารงบประมาณในปี 2569 ยังคงใช้ระบบ “งบปลายปิด” หมายความว่า งบประมาณจะมีกรอบวงเงินชัดเจน หากมีการใช้งบเกินกว่าที่กำหนด จะต้องตรวจสอบก่อนว่าเกิดจากอะไร เป็นเพราะมีการให้บริการจริงเพิ่มขึ้น หรือเกิดจากการเบิกจ่ายที่ไม่ถูกต้อง เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกันและป้องกันการใช้จ่ายเกินจำเป็น

“ปลายปิดไม่ได้หมายถึงการตัดงบฯ แต่หมายถึงเราต้องตรวจสอบก่อนว่างานบริการที่เพิ่มขึ้นนั้นเกิดจากอะไร โรคไหนเพิ่มขึ้น หรือมีเหตุผลทางวิชาการรองรับหรือไม่ ซึ่งทุกกองทุนจะต้องร่วมกันพิจารณาในลักษณะนี้ และพัฒนานวัตกรรมการบริหารงบฯ ไปพร้อมกัน”

นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน

ย้ำทุกหน่วยบริการอยู่ในระบบตรวจสอบเดียวกัน — ใช้ AI คัดเลือกชาร์ตตรวจเชิงลึก

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงระบบตรวจสอบหรือการ “ออดิท” (Audit) ว่าจะครอบคลุมหน่วยบริการทุกแห่งหรือไม่ นพ.สมฤกษ์ ยืนยันว่า การตรวจสอบจะใช้มาตรฐานเดียวกันทุกระดับ ทั้งโรงพยาบาลรัฐ คลินิกเอกชน และกองทุนย่อยอื่น ๆ เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในระบบ

ขณะที่ รมว.กระทรวงสาธารณสุข เสริมว่า การออดิทงบประมาณถือเป็นกระบวนการปกติของระบบงบฯ ปลายปิด และในรอบใหม่นี้ ทั้ง สธ. และ สปสช. จะดำเนินการ “เข้มข้นและใกล้ชิดมากขึ้น”

“เราจะเข้าไปตรวจสอบหรือร่วมออดิทในแต่ละหมวดบริการอย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่าเดือนต่อเดือนมีการให้บริการมากหรือน้อยกว่าที่ประมาณไว้ หากพบแนวโน้มการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นก็จะมีการพูดคุยและประเมินร่วมกัน ไม่ใช่การลงโทษ แต่เพื่อให้ใช้งบฯ อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”

พัฒนา พร้อมพัฒน์

พร้อมย้ำว่า การออดิทจะไม่กระทบต่อการให้บริการประชาชน แม้บางหมวดงานใช้งบเกินเป้าหมายก็จะไม่มีการ “หยุดบริการ” แต่จะมีการประเมินเหตุผลและจัดสรรงบฯ เพิ่มเติมตามความจำเป็น ซึ่งอาจมาจากงบกลาง หรือการปรับงบฯ ในปีถัดไปเป็นกรณี ๆ ไป

“ประโยชน์ของการออดิท คือทำให้ข้อมูลโปร่งใสมากขึ้น และเป็นฐานข้อมูลเชิงนโยบายให้ทั้งสองหน่วยงานนำมาวิเคราะห์ เพื่อกำหนดทิศทางงบประมาณและบริการให้เหมาะสมกับสถานการณ์จริง”

พัฒนา พร้อมพัฒน์

ชี้แจงปมสุ่มตรวจเวชระเบียน 3%
แยกวัตถุประสงค์ชัดเจน ระหว่างตรวจเชิงคุณภาพกับตรวจความถูกต้องการเบิก

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็น “การสุ่มตรวจเวชระเบียน 3%” ซึ่งเคยสร้างความไม่พอใจในหมู่โรงพยาบาลก่อนหน้านี้ พัฒนา กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยและทำความเข้าใจกันแล้ว โดยยืนยันว่าปัญหาที่เคยเกิดขึ้นเกิดจาก “การสื่อสารไม่ครบถ้วน” ในอดีต

“ที่ผ่านมาปัญหาไม่ได้อยู่ที่การตรวจ แต่เกิดจากการที่เราพูดคุยกันน้อย เมื่อพูดคุยกันมากขึ้น ทุกฝ่ายก็เข้าใจตรงกันหมดแล้วครับ ทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน”

พัฒนา พร้อมพัฒน์

ขณะที่ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เสริมว่า ในการตรวจรอบใหม่นี้ จะปรับระบบให้มี “2 วัตถุประสงค์” แยกจากกันอย่างชัดเจน คือ

  1. ออดิทเชิงวิชาการ เพื่อพัฒนาคุณภาพการรักษาและข้อมูลทางการแพทย์

  2. ออดิทเชิงการเงิน เพื่อดูความถูกต้องของการเบิกจ่ายและป้องกันความผิดพลาด

โดยจะใช้ เทคโนโลยี AI และระบบข้อมูลสุขภาพกลาง เข้ามาช่วยคัดเลือกเวชระเบียนที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อการตรวจเชิงลึกแบบ 100% ซึ่งจะช่วยลดภาระของหน่วยบริการและเพิ่มความแม่นยำ

“เราจะไม่สุ่มแบบเดิม 3% แล้วขยายผลเป็น 100% อีกต่อไป แต่จะใช้ระบบ AI วิเคราะห์ชาร์ตที่มีความผิดปกติ เพื่อเลือกตรวจเฉพาะเคสที่มีโอกาสเสี่ยงสูง และใช้ผลตรวจนี้พัฒนาไปสู่การบริหารงบอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน

ทั้งยังระบุว่า หากผลการออดิทพบว่า “มีภาระงานบริการเพิ่มขึ้นจริง” ข้อมูลดังกล่าวจะถูกนำไปใช้เป็น “หลักฐานสำคัญ” ในการยื่นต่อสำนักงบประมาณ เพื่อขอเพิ่มงบในปีถัดไป

อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบการเบิกจ่ายที่ไม่ถูกต้อง หรือให้บริการนอกหลักเกณฑ์ เช่น การผ่าตัดที่ไม่เป็นข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ระบบก็จะมีมาตรการลงโทษและงดการจ่ายชดเชยในส่วนดังกล่าวทันที

“ข้อมูลที่มาจากการออดิทคุณภาพ จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้สำนักงบประมาณ และใช้เป็นหลักฐานประกอบการของบในอนาคต ขณะเดียวกันก็ช่วยกรองเคสที่ไม่เหมาะสมออกจากระบบ เพื่อให้เงินทุกบาทถึงผู้ป่วยที่จำเป็นจริง ๆ”

นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน

รมว.สธ. ย้ำ ปฏิรูป สปสช. ปรับปรุง-พัฒนาระบบ 

รมว.สธ. กล่าวเสริมต่อว่า “ในภาพรวมเรามองว่า หากสามารถบริหารจัดการกระแสเงินสด (cash flow) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบก็จะเดินหน้าต่อไปได้ โดยไม่กระทบต่อการให้บริการประชาชน ยืนยันว่าประชาชนทุกคนจะยังได้รับการรักษาตามสิทธิ ไม่เกิดกรณีโรงพยาบาลปฏิเสธผู้ป่วยแน่นอน เพราะเมื่อมีผู้ป่วย โรงพยาบาลก็ต้องมีงบประมาณเพียงพอสำหรับค่ายา ค่าบริการ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพื่อให้ระบบสามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างต่อเนื่อง”

“เราไม่ควรดึงทุกปัญหาในอนาคตมาแก้ในวันนี้ แต่ควรมุ่งแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าให้ลุล่วงก่อน และในขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมมาตรการตรวจสอบ ควบคุม และจำกัดจุดรั่วไหลของงบประมาณให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น เพื่อให้ระบบบริหารงบอยู่ในกรอบที่ประเทศจัดสรรได้จริง และดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน”

พัฒนา พร้อมพัฒน์

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสเรียกร้อง “ปฏิรูป สปสช.” พัฒนา ตอบว่า “คำว่าปฏิรูป ฟังดูเหมือนการล้มของเก่าเพื่อเริ่มใหม่ แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่เรากำลังทำคือการ ปรับปรุงและพัฒนา ระบบให้เหมาะกับยุคสมัยมากขึ้น สปสช.พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงในส่วนที่อาจเคยเหมาะในอดีตแต่ไม่ตอบโจทย์ในปัจจุบัน เช่นเดียวกับกระทรวงสาธารณสุข ที่พร้อมเดินหน้าร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทั้งระบบบริการ (provider) และกระบวนการบริหาร (process) ทำงานสอดประสานกันมากขึ้น”

พัฒนา กล่าวต่อว่า การทำงานร่วมกันระหว่าง สปสช. และกระทรวงสาธารณสุข ไม่ใช่แค่การปรับปรุงองค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่คือ “การปฏิรูประบบสาธารณสุขของประเทศไทยทั้งระบบ” เพื่อให้ยั่งยืนในระยะยาว โดยเฉพาะในยุคที่ประเทศกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว

“เทรนด์ประชากรที่มีอายุยืนขึ้น ย่อมทำให้ความต้องการด้านการรักษาและการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น การป้องกันจึงมีความสำคัญมาก เพราะค่าใช้จ่ายในการป้องกันถูกกว่าการรักษา เราจึงพยายามส่งเสริมแนวคิดสุขภาพเชิงรุก และใช้เทคโนโลยี เช่น ระบบติดตามผ่านโทรศัพท์มือถือ เพื่อช่วยในการเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชน”

พัฒนา พร้อมพัฒน์

ทั้งนี้ สปสช. และกระทรวงสาธารณสุข พร้อมจะร่วมกันปรับระบบการทำงานให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และให้ทั้งสองหน่วยงาน “จูนกันเป็นเนื้อเดียว” เพื่อให้ระบบสาธารณสุขของประเทศแข็งแรงในระยะยาว

“สิ่งนี้ไม่ใช่การปฏิรูป สปสช. อย่างที่บางคนเข้าใจ แต่คือการปฏิรูประบบสาธารณสุขของประเทศไทยทั้งระบบ ให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน”

พัฒนา พร้อมพัฒน์

รมว.สธ. ยังกล่าวถึงแนวคิด “Medical Economy” ว่าเป็นทิศทางใหม่ที่ต้องการให้ระบบสาธารณสุขของไทยไม่เป็นเพียง “หน่วยใช้จ่าย” แต่สามารถสร้างรายได้กลับเข้าระบบได้ด้วย

“เราต้องการให้ระบบสาธารณสุขของไทยเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจ เป็น Medical Economy ที่สามารถสร้างรายได้จากการให้บริการทางการแพทย์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งถึงแม้รายได้กับค่าใช้จ่ายอาจมาจากคนละกระเป๋า แต่ก็เป็นการเสริมความมั่นคงให้ระบบสุขภาพโดยรวมของประเทศ”

พัฒนา พร้อมพัฒน์

โดยกล่าวย้ำว่า การเดินหน้าสู่ระบบสุขภาพเชิงเศรษฐกิจ (Medical Economy) ถือเป็นการปฏิรูประบบสาธารณสุขอย่างแท้จริงและยั่งยืน เพื่อให้ประเทศไทยมีระบบดูแลสุขภาพที่มั่นคง ทั้งด้านบริการและการเงิน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงท่าทีของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อการจัดสรรงบประมาณด้านสาธารณสุข ซึ่งมีแนวโน้มต้องเพิ่มขึ้นทุกปี พัฒนา ตอบว่า

“ต้องยอมรับว่าทุกฝ่ายห่วงงบประมาณด้านสาธารณสุข เพราะเป็นงบที่เติบโตต่อเนื่อง แต่รายได้ของประเทศเติบโตไม่มากนัก เราจึงต้องบริหารอย่างสมดุล ทั้งดูแลประชาชน และสร้างระบบที่ประชาชนสามารถดูแลตนเองได้มากขึ้น”

พัฒนา พร้อมพัฒน์

พร้อมทั้งมองว่า แนวคิดนี้จะช่วยให้ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขเติบโตในอัตราที่ “ควบคุมได้และมีเหตุมีผล” พร้อมกันนั้นภาครัฐยังต้องมองหา “แหล่งรายได้ใหม่” เพื่อสนับสนุนระบบ เช่น การต่อยอดบริการทางการแพทย์ การวิจัย และการลงทุนในเทคโนโลยีสุขภาพ

“ถ้าเรามองระบบสาธารณสุขของประเทศไทยเหมือนเป็นคน ๆ หนึ่ง ก็ต้องยอมรับว่าคนคนนี้กำลังโตขึ้น ต้องการพลังงานมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักออกกำลังกาย หาอาหารดี ๆ และหารายได้มาดูแลตัวเองด้วย ไม่ใช่แค่รอให้คนอื่นส่งเงินมาให้”

พัฒนา พร้อมพัฒน์

แจงแนวทางแก้ปัญหางบฯ ผู้ป่วยใน ปี 2569–2570

เลขาธิการ สปสช. ชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมถึงมติที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณ “ผู้ป่วยใน” (IP) โดยเฉพาะประเด็นคำว่า ปรับลดค่าแรงในภาพรวม ซึ่งปรากฏอยู่ในมติที่ประชุม

นพ.จเด็จ กล่าวว่า ประเด็นนี้ไม่ได้หมายถึงการปรับลดเงินเดือนบุคลากรแต่อย่างใด แต่เป็นการปรับรูปแบบการคำนวณงบประมาณให้มีความชัดเจนมากขึ้น

“ที่ผ่านมา ค่าแรงของบุคลากรถูกนับรวมอยู่ในแต่ละหมวดบริการ ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนและคำนวณยาก รอบนี้เราเห็นร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขว่า ควรแยกค่าแรงออกจากหมวดบริการตั้งแต่ต้น เพื่อให้เห็นงบฯ ค่าบริการ ที่แท้จริงของแต่ละหน่วยบริการชัดขึ้น”

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี

พร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่า สำหรับปีงบประมาณ 2569 การจ่ายชดเชยผู้ป่วยในที่ใช้อัตรา 8,350 บาทต่อหน่วย (AdjRW) นั้น สปสช.ได้โอนงบประมาณให้หน่วยบริการไปแล้วประมาณ 10 เดือนครึ่ง แต่ยังเหลืออีกประมาณ 1 เดือนครึ่งที่ยังขาดงบฯ อยู่ 

“เราตรวจสอบแล้วว่าหน่วยบริการไม่มีการเบิกจ่ายผิดปกติ งบที่เหลือจึงถือเป็นส่วนที่ควรได้รับเพิ่มเติม สปสช.จึงกันตัวเลขส่วนนี้ไว้ เพื่อเสนอของบประมาณเพิ่มเติมจากรัฐบาล ผ่านกระทรวงสาธารณสุขและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป”

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี

นพ.จเด็จ ย้ำว่า เพื่อป้องกันความสับสนทางบัญชี งบปี 2569 จะไม่ถูกนำมาปะปนกับงบปี 2568 ที่ยังค้างอยู่ และจะขอให้หน่วยงานตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนนำเสนอเพิ่มเติมต่อ ครม.

“เราจะไม่เอางบฯ ปีเก่ามาหักลบกลบกัน เพราะจะทำให้ติดขัดในระบบบัญชี ดังนั้น เงินที่โอนขณะนี้เป็นงบฯ ปี 69 ล้วน ๆ ส่วนงบฯ ปี 68 ที่ยังขาดจะนำตัวเลขไปขอเพิ่มเติมในภายหลัง”

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี

เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า “การปรับลดค่าแรงในภาพรวม” จะกระทบต่อข้อเสนอที่เคยมีในสภาฯ ว่าให้ “แยกเงินเดือนบุคลากร” ออกจากกองทุนบัตรทองหรือไม่ นพ.จเด็จ ชี้แจงว่า ไม่เกี่ยวข้องกัน

“เรื่องนั้นเป็นข้อเสนอของบางกรรมาธิการ แต่ไม่ได้อยู่ในมติบอร์ดครั้งนี้ เพราะงบเงินเดือนบุคลากรไม่ได้ถูกส่งมาที่ สปสช. อยู่แล้ว สิ่งที่เราทำเพียงแค่แยกค่าแรงออกจากสูตรคำนวณในหน่วยบริการ เพื่อให้เห็นค่าบริการแท้จริงสำหรับจัดสรรงบเท่านั้น จะช่วยให้โรงพยาบาลวางแผนได้ชัดเจนขึ้น”

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี

เร่งขอ งบกลาง 8,000 ล้านบาท เสริมสภาพคล่อง รพ.

ขณะที่ รมว.สธ. กล่าวถึงความคืบหน้าในการของบกลางเพิ่มเติมจำนวน 8,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องแก่โรงพยาบาลว่า “ขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงบประมาณ ซึ่งไม่ใช่มีเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้นที่ยื่นของบกลาง แต่ทุกกระทรวงต่างมีเรื่องเร่งด่วนเช่นกัน เราได้ทำหนังสือขอความอนุเคราะห์ให้พิจารณาโดยเร็ว ซึ่งต้องอยู่ในดุลพินิจของสำนักงบฯ”

เมื่อถามว่าการประชุม ครม. ในวันที่ 5 พ.ย. จะมีวาระงบกลางของบอร์ด สปสช. เข้าพิจารณาด้วยหรือไม่ พัฒนา ระบุว่า “ยังไม่ทราบแน่ชัด” แต่ยืนยันว่า “การให้บริการผู้ป่วยของโรงพยาบาลยังดำเนินต่อได้ตามปกติ ไม่มีสะดุด หากมีปัญหาในบางพื้นที่ ทาง สปสช. และกระทรวงสาธารณสุข พร้อมลงไปดูแลในรายละเอียดทันที”

เดินหน้าแนวคิด ‘Medical Economy’ เพิ่มรายได้เข้าระบบสุขภาพ

พัฒนา กล่าวต่อถึงแนวคิดการหารายได้เสริมให้ระบบสุขภาพ ว่าแนวทางที่กำลังผลักดันคือ “Medical Economy” หรือเศรษฐกิจสุขภาพ ซึ่งจะช่วยให้ระบบสาธารณสุขไทยไม่เป็นเพียง “หน่วยใช้จ่าย” แต่สามารถสร้างรายได้กลับเข้าสู่ประเทศได้ด้วย

“จากการร่วมประชุมกับนายกรัฐมนตรีที่เกาหลีใต้ เราได้รับความสนใจจากนักลงทุนหลายราย ทั้งด้านยา อุปกรณ์การแพทย์ และสมุนไพรแผนไทย ซึ่งถ้าสามารถยกระดับมาตรฐานการผลิตให้ปลอดภัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ ก็จะช่วยสร้างรายได้กลับเข้าประเทศได้มาก”

พัฒนา พร้อมพัฒน์

พัฒนา ระบุด้วยว่า รายได้จากการส่งออกผลิตภัณฑ์สุขภาพ แม้จะไม่ได้เข้ากองทุน สปสช. โดยตรง แต่ก็ยังเป็นรายได้ของประเทศที่สามารถนำมาช่วยสนับสนุนระบบสาธารณสุขโดยรวมได้

“สมมติสามารถสร้างรายได้จากภาคสุขภาพเพิ่มขึ้นอีก 20,000 ล้านบาท ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระงบประมาณได้มาก”

พัฒนา พร้อมพัฒน์

นอกจากนี้ ยังเปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุขกำลังหารือกับสมาคมประกันภัย เพื่อออกผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพรูปแบบใหม่ เช่น “ประกันสุขภาพเฉพาะจังหวัด” หรือ “เฉพาะโรงพยาบาลรัฐ” ซึ่งจะมีค่าเบี้ยถูกลง และช่วยให้เงินไหลกลับเข้าระบบโรงพยาบาลของรัฐมากขึ้น

“แนวคิดนี้คล้ายการซื้อแพ็กเกจโทรศัพท์มือถือเฉพาะพื้นที่หรือเฉพาะวัน ใช้เท่าที่จำเป็น ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในแนวทางสร้างรายได้เสริมให้กับระบบสุขภาพของรัฐ”

พัฒนา พร้อมพัฒน์

แนวคิด ‘ภาษีสุขภาพ’ ยังอยู่ในขั้นหารือ

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความเป็นไปได้ของ “ภาษีสุขภาพ” ในลักษณะเดียวกับกองทุน สสส. หรือ “ภาษีบาป” ที่จัดเก็บจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และน้ำตาล เพื่อเป็นรายได้เข้ากองทุนสุขภาพโดยตรง

นพ.จเด็จ ระบุว่า ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นการพูดคุยในระดับแนวคิด และต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน

“แนวคิดลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ กระทรวงการคลังเคยจัดเก็บภาษีความหวาน และมีการหารือเรื่องภาษีความเค็มอยู่บ้าง หากมีการศึกษาเชิงวิชาการเพิ่มเติม และเห็นว่าไม่กระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม ก็ถือว่าเป็นแนวทางที่น่าสนับสนุน เพราะสุดท้ายแล้วถ้าคนบริโภคหวานน้อยลง เค็มน้อยลง สุขภาพประชาชนก็ดีขึ้นด้วย”

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี

อย่างไรก็ตาม รมว.สธ. ขอไม่แสดงความเห็นเพิ่มเติมในประเด็น “ภาษีสุขภาพ” โดยให้เหตุผลว่า อยู่ในกระบวนการพิจารณาของหลายหน่วยงาน และยังไม่ถึงเวลาที่จะให้ความเห็นอย่างเป็นทางการ

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active