ชี้มติ บอร์ด สปสช. ช่วยแค่เฉพาะหน้า หวั่นปี 69 เสี่ยงงบฯ ปลายปิดซ้ำรอย

อดีต ปธ.ชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป มองมาตรการยกเลิกรีรัน–เติมงบกลางเป็น ‘สัญญาณดี’ แต่ยังไม่พอแก้ระยะยาว วอนเร่งแก้ประกาศให้สอดคล้องมติบอร์ด เสนอแยกการตรวจเวชระเบียนเพื่อพัฒนา ไม่ใช่หักงบฯ โรงพยาบาล ชี้ถึงเวลาทบทวน พ.ร.บ.หลักประกันฯ ย้ำ “ปฏิรูปไม่ใช่คำต้องห้าม”

วันนี้ (4 พ.ย. 68) นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชบุรี และอดีตประธานชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ให้ความเห็น The Active ภายหลังการแถลงข่าวของบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า ต้องขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และปลัดกระทรวงฯ ที่ตอบรับข้อเสนอของหน่วยบริการระดับพื้นที่อย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม แนวทางที่ประกาศออกมาส่วนใหญ่ยังเป็นเพียง “มาตรการระยะสั้น” ซึ่งสะท้อนข้อจำกัดของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่เหลืออายุเพียง 4 เดือนเท่านั้น

“สิ่งที่ประกาศวันนี้ช่วยคลายปัญหาปี 2568 ได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการยกเลิกรีรันและการหางบกลางมาเติมให้ครบภายใน 1 เดือนครึ่ง ถือเป็นแนวทางที่น่าพอใจในระดับดีมาก แต่ต้องติดตามต่อว่าเมื่อเข้าสู่การพิจารณาใน ครม. จะเป็นไปตามนี้หรือไม่”

นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์

อย่างไรก็ตาม นพ.อนุกูล ยังแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ในปีงบประมาณ 2569 แม้บอร์ด สปสช. จะยืนยันว่าจะคงอัตรา Adjusted RW ที่ 8,350 บาทตลอดทั้งปี แต่การกำหนดให้ตรวจสอบเวชระเบียนอย่างเข้มข้นยังเป็นประเด็นที่ต้องจับตา โดยเฉพาะหากการตรวจสอบไม่ได้ยึดหลักการที่เป็นธรรม

“ถ้าการตรวจสอบเป็นไปตามหลักจริง — ตรวจเพื่อดูว่ามีการเบิกโดยไม่มีการให้บริการจริง แบบนี้ผมเห็นด้วยเต็มที่ แต่ที่ผ่านมา การตรวจชาร์จหลายแห่งกลับตัดคะแนนเพราะเหตุผลเล็กน้อย เช่น ลายมืออ่านไม่ออก หรือเขียนไม่ครบ ทั้งที่แพทย์และพยาบาลให้บริการจริงเต็มที่ แบบนั้นไม่ถูกต้อง”

นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์

นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชบุรี และอดีตประธานชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป

ส่วนการตรวจสอบเวชระเบียนควรถูกใช้เพื่อ “พัฒนาระบบบันทึก” และเพิ่มประสิทธิภาพข้อมูล ไม่ใช่เพื่อนำไป “หักงบประมาณค่ารักษา” ซึ่งส่งผลกระทบต่อหน่วยบริการโดยตรง ตรวจให้เข้มข้นได้ แต่ต้องแยกชัดระหว่างการตรวจเพื่อพัฒนา กับการตรวจเพื่อปรับลดงบ ถ้าแยกได้ชัด ระบบจะดีขึ้นแน่นอน

พร้อมย้ำด้วยว่า สิ่งสำคัญที่สุดในขณะนี้คือ ต้องเร่งแก้ไขประกาศงบผู้ป่วยในปี 2569 เพราะประกาศที่รัฐมนตรีลงนามไว้ก่อนหน้านี้ยังคงมีถ้อยคำว่า “หากงบฯ ไม่พอให้ลดลงตามส่วน” ซึ่งขัดกับมติบอร์ดล่าสุด “มติบอร์ดระบุชัดว่าไม่ให้ปรับลดงบฯ ดังนั้นต้องมีการแก้ประกาศให้สอดคล้อง มิฉะนั้นหน่วยบริการจะยังอยู่ในภาวะเสี่ยงเดิม

กังวลปี 69 งบฯ ปลายปิด ไม่พอแน่

สำหรับปี 2569 นพ.อนุกูล เห็นว่า ยังมีความเสี่ยงซ้ำรอย เนื่องจากงบประมาณผู้ป่วยในที่ สปสช. ตั้งไว้เพิ่มขึ้นเพียง 3.2% ตามอัตราเงินเฟ้อและค่าจ้าง แต่ไม่ได้สะท้อนปริมาณบริการที่เพิ่มขึ้นจริง

“ตอนตั้งงบฯ ปี 69 เป็นการตั้งปลายปิด โดยไม่ได้หารือกับกระทรวงฯ ก่อน งบฯ เพิ่มเพียง 3% ขณะที่บริการจริงเพิ่มมากกว่านั้นแน่ ถึงแม้รายหัวรวมจะเพิ่ม แต่ไม่ได้เพิ่มในหมวดผู้ป่วยใน เพราะฉะนั้นจะเกิดปัญหาขาดงบปลายปีอีกแน่นอน”

นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์

อย่างไรก็ตาม หากมีการ “มอนิเตอร์รายเดือนหรือรายสองสัปดาห์” อย่างที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเสนอ จะช่วยให้เห็นสัญญาณขาดงบก่อนปลายปี และสามารถหาทางเติมได้ทันท่วงที ถ้าทำได้จริงก็จะช่วยป้องกันไม่ให้ซ้ำรอยปัญหาทุกปี

มองไกลถึงปี 2570 : ต้องวางแผน ‘ขาขึ้น’ ร่วมกัน

นพ.อนุกูล ยังกล่าวถึงงบประมาณปี 2570 ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำว่า ควรมีความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและ สปสช. มากขึ้น โดยให้ข้อมูลสอดคล้องกันตั้งแต่ต้น

“ปี 70 ต้องเป็นปีขาขึ้นจริง ๆ กระทรวงฯ คาดว่าบริการจะอยู่ราว 11 ล้าน RW ข้อมูลเหล่านี้ต้องถูกนำมาใช้ในการจัดงบฯ ไม่ใช่ สปสช. คำนวณฝ่ายเดียวเหมือนที่ผ่านมา เพราะถ้าคำนวณไม่ตรง ก็จะขาดอีกตอนปลายปี”

นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์

นพ.อนุกูล ยังชี้ว่า สิ่งที่เห็นจากมติและท่าทีในวันนี้คือ “จุดเริ่มต้นของการทำงานแบบ Collaborate” ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข (ในฐานะผู้ให้บริการ) กับ สปสช. (ในฐานะกองทุน) หลังจากที่ผ่านมากว่า 20 ปี ต่างฝ่ายต่างทำงานแบบ “Provider–Purchaser” แยกส่วนกัน

“การที่ปลัดกระทรวงฯ เสนอให้กระทรวงฯ เข้าร่วมเป็นเลขานุการร่วมในทุกคณะทำงานของ สปสช. ถือเป็นสัญญาณดีมาก เพราะที่ผ่านมา อนุกรรมการหลายชุดไม่ได้เห็นข้อมูลล่วงหน้าเลย บางครั้งได้รับเอกสารก่อนประชุมไม่กี่ชั่วโมง ทำให้ทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ ถ้ากระทรวงฯ เข้ามาช่วยเตรียมข้อมูลและวาระ จะเกิดการทำงานร่วมกันจริง”

นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์

มติ ‘แยกเงินเดือน’ ช่วยเฉพาะโรงพยาบาลวิกฤต แต่ยังไม่แก้ปัญหาภาพรวม

สำหรับมติบอร์ดอีกข้อที่ให้ สปสช. และ สธ. ศึกษาแนวทาง “แยกเงินเดือนบุคลากรภาครัฐ” ออกจากงบหน่วยบริการในภาพรวม นพ.อนุกูลอธิบายว่า แนวทางนี้ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะโรงพยาบาลที่ประสบภาวะวิกฤตจากการถูกหักเงินเดือนจนเหลืองบทำงานไม่พอ

“บางโรงพยาบาลเมื่อหักเงินเดือนแล้วแทบไม่เหลืองบฯ ซื้อยาเลย ถ้าแยกเงินเดือนออกในระดับกระทรวง จะทำให้ทุกหน่วยบริการมีฐานเงินเดือนที่แน่นอน และจัดสรรงบฯ บริการได้เท่าเทียมมากขึ้น ช่วยคลายปัญหาเฉพาะหน้าได้บางส่วน แต่ไม่ได้แก้ปัญหาภาพรวม เพราะยอดเงินที่ถูกหักกว่า 60,000 ล้านบาท ยังเท่าเดิม”

นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์

นพ.อนุกูล ระบุด้วยว่า แนวทางนี้เป็นเพียงการบรรเทาเฉพาะจุด แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เพราะงบประมาณรวมของกระทรวงยังไม่เพียงพอ

‘ปฏิรูป’ ไม่ใช่คำต้องห้าม – ถึงเวลาแก้ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ

ในช่วงท้าย นพ.อนุกูล กล่าวถึงคำว่า ปฏิรูป ซึ่งรัฐมนตรีระบุว่าไม่อยากให้ใช้ โดยยืนยันว่า ปฏิรูป ไม่ได้หมายถึงการล้มระบบ แต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดีขึ้น

“ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นระบบที่ดี แต่ใช้มา 20 ปีแล้ว ถึงเวลา ‘ทบทวนและปรับปรุง’ ไม่ว่าจะเรียกว่าปฏิรูปหรือพัฒนา ก็เพื่อให้เหมาะกับบริบทปัจจุบัน ระบบนี้ต้องไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงใหญ่ เพราะปัญหาที่สะสมมานานไม่สามารถแก้ด้วยการปรับเล็กน้อยได้อีกแล้ว”

นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์

พร้อมระบุด้วยว่า ร่างแก้ไข พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯ เคยถูกยกร่างมาแล้วหลายครั้ง ทั้งในยุค คสช. และเวทีรับฟังความคิดเห็นโดยกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า ตอนนี้ถึงเวลาหยิบกลับมาคุยต่อ เพราะมีฐานข้อมูลและข้อสรุปจากทุกฝ่ายแล้ว

ในเนื้อหาที่ควรแก้ไข เขาเห็นว่าควรเริ่มจาก “โครงสร้างงบประมาณและเงินเดือน” ที่ยังไม่สมดุล โดยเฉพาะการหักเงินเดือนบุคลากรสังกัดกระทรวงสาธารณสุขออกจากงบรายหัวเกือบ 60% ซึ่งมากเกินไป คำถามคือทำไมต้องหักมากขนาดนั้น ขณะที่บางหน่วยเช่นโรงเรียนแพทย์หรือเอกชนหักน้อยกว่า เรื่องนี้ต้องทบทวนใหม่ในกฎหมาย

อีกประเด็นสำคัญคือ “ที่มาของบอร์ด สปสช.” ที่ควรสะท้อนความร่วมมือมากกว่าความแยกส่วน เพราะถ้าเราต้องการทำงานแบบ Collaborate จริง สัดส่วนบอร์ดต้องชัด ต้องบาลานซ์ระหว่างผู้ให้บริการ กองทุน และประชาชน ไม่ใช่ต่างคนต่างถือกองทุนย่อยเป็นเจ้าของ ใครแตะก็ไม่ได้ แบบนั้นไม่มีทางบริหารเชิงระบบได้

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active