“นพ.ประพนธ์” ชี้ปัญหาเชิงโครงสร้างคุกคามความมั่นคงระบบสุขภาพไทย เร่งปฏิรูปทั้งระบบ-เสริมเทคโนโลยี-เน้นปฐมภูมิ ขณะ “นพ.วีระพันธ์” ยันร่าง พ.ร.บ.เป็นจุดเริ่มต้นแก้ปัญหาสะสมหลายทศวรรษ เปิดพื้นที่ถกเถียงประชาธิปไตย
นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรกุล ประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา “แก้วิกฤตกำลังคนสุขภาพไทย เพื่อคนไข้รอดตาย คนไทยสุขภาพดี อายุยืน” เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2568 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า วิกฤตกำลังคนด้านสุขภาพเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลโดยตรงต่อความมั่นคงของระบบสุขภาพไทย และจะทวีความรุนแรงขึ้นอย่างชัดเจนในช่วง 10 ปีข้างหน้า หากไม่เร่งปฏิรูประบบอย่างเป็นรูปธรรม
นพ.ประพนธ์ กล่าวว่า แม้ระบบสุขภาพไทย โดยเฉพาะระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า จะได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ แต่ความสำเร็จดังกล่าวกำลังเผชิญแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร เศรษฐกิจ และสังคม โดยเฉพาะการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสูง ซึ่งจะทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โรคซับซ้อน และภาวะพึ่งพิงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้รูปแบบการดูแลสุขภาพในอนาคตต้องขยายจากการรักษาเฉียบพลันในโรงพยาบาล ไปสู่การดูแลระยะยาว การดูแลที่บ้าน และการดูแลแบบประคับประคอง ซึ่งต้องอาศัยกำลังคนสุขภาพที่มีทักษะหลากหลายและทำงานเป็นทีมสหวิชาชีพ
ขณะเดียวกัน ระบบกำลังคนสุขภาพของไทยยังเผชิญปัญหาความไม่สมดุล ทั้งด้านจำนวน การกระจายตัว และภาระงานที่ไม่สอดคล้องกับศักยภาพของบุคลากร โดยเฉพาะในภาครัฐที่บุคลากรจำนวนมากต้องทำงานเกินขีดความสามารถ เผชิญภาวะหมดไฟ ความเครียดสะสม และคุณภาพชีวิตที่ถดถอย ส่งผลให้เกิดการลาออก ย้ายไปภาคเอกชน หรือไปทำงานต่างประเทศ ซึ่งสะท้อนว่าปัญหานี้ไม่ใช่เพียงระดับหน่วยบริการ แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบบริหารกำลังคนทั้งระบบ
นอกจากนี้ นพ.ประพนธ์ ยังชี้ถึงความไม่สอดคล้องระหว่างระบบการผลิตบุคลากรสุขภาพกับความต้องการด้านสุขภาพของประชาชนในอนาคต โดยระบบการผลิตยังเน้นการแยกตามสายวิชาชีพ ขณะที่ปัญหาสุขภาพมีความซับซ้อนมากขึ้นจากสังคมสูงวัย โรคเรื้อรัง ภัยสุขภาพใหม่ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการทำงานแบบบูรณาการ ระบบปฐมภูมิที่เข้มแข็ง และการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม

3 แนวทางปฏิรูประบบสุขภาพ
สำหรับแนวทางการปฏิรูป นพ.ประพนธ์ระบุว่า โอกาสสำคัญประการแรกคือการปฏิรูประบบกำลังคนสุขภาพเชิงระบบ ตั้งแต่การวางแผนระยะยาวบนฐานข้อมูลประชากรและโครงสร้างโรค การปรับระบบค่าตอบแทนและแรงจูงใจให้สะท้อนภาระงานและบริบทพื้นที่ ตลอดจนการดูแลคุณภาพชีวิต ป้องกันภาวะหมดไฟ และสร้างเส้นทางความก้าวหน้าในวิชาชีพอย่างเป็นธรรม เพื่อรักษากำลังคนให้อยู่ในระบบบริการของรัฐในระยะยาว
โอกาสที่สองคือการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น ระบบข้อมูลสุขภาพ การแพทย์ทางไกล ปัญญาประดิษฐ์ และระบบสุขภาพดิจิทัล มาใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนการทำงาน ลดภาระงานซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และขยายการเข้าถึงบริการสุขภาพ โดยต้องมีนโยบายและกฎหมายรองรับที่คำนึงถึงมาตรฐานข้อมูล ความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และสิทธิผู้ป่วย เพื่อไม่ให้เทคโนโลยีกลายเป็นภาระหรือสร้างความเหลื่อมล้ำรูปแบบใหม่
โอกาสที่สามคือการเสริมสร้างระบบสุขภาพปฐมภูมิและการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน โดยเน้นการป้องกันโรค ส่งเสริมสุขภาพ และการดูแลต่อเนื่องในชุมชน เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล ลดภาระงานบุคลากร และสร้างความยั่งยืนของระบบสุขภาพในระยะยาว
นพ.ประพนธ์ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการคุ้มครองการปฏิบัติงานของบุคลากรสาธารณสุขอย่างเป็นระบบ โดยเปิดเผยว่า จากการศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการ เห็นควรสนับสนุนการจัดทำ “ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการปฏิบัติงานของบุคลากรสาธารณสุข พ.ศ. …” ซึ่งเป็นข้อเสนอเชิงกฎหมายที่มีที่มาจากการเข้าชื่อเสนอของประชาชน เพื่อคุ้มครองด้านภาระงาน ชั่วโมงการทำงาน ความปลอดภัย สิทธิ สวัสดิการ และมาตรฐานการทำงานให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของระบบสุขภาพไทย
“วิกฤตกำลังคนสุขภาพไม่ใช่ปัญหาของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นวาระแห่งชาติที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน”
นพ.ประพนธ์ ยืนยันว่าคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา พร้อมทำหน้าที่ศึกษา เสนอแนะเชิงนโยบาย และผลักดันกฎหมายที่จำเป็น เพื่อให้การปฏิรูประบบสุขภาพไทยเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
เปิดพื้นที่ถกเถียงในกระบวนการประชาธิปไตย
นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย รองประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา และประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการ การพัฒนา และการธำรงรักษาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ระบุว่า ร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข เป็นประเด็นที่มีการถกเถียงอย่างกว้างขวาง ทั้งในหมู่แพทย์ภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะความกังวลเรื่องชั่วโมงการทำงาน และผลกระทบต่อแพทย์ที่ปฏิบัติงานควบคู่กันระหว่างภาครัฐกับเอกชน
อย่างไรก็ตาม นพ.วีระพันธ์ย้ำว่า การผลักดันกฎหมายดังกล่าวถือเป็น “การเริ่มต้น” หรือ kick off ที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งเป็นปัญหาสะสมยาวนานมาหลายทศวรรษ ตั้งแต่ระยะสั้น ระยะกลาง ไปจนถึงระยะยาว หากไม่เริ่มต้นดำเนินการ ก็จะยังคงเผชิญปัญหาเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“คำถามหลักไม่ใช่ว่ากฎหมายฉบับนี้สมบูรณ์หรือไม่ แต่คือเราจะมีกฎหมายด้านบุคลากรสาธารณสุขหรือไม่ หากเห็นว่าจำเป็น กฎหมายก็ต้องถูกนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณา หากไม่เห็นด้วย ก็สามารถแสดงความเห็นได้อย่างเปิดเผย นี่คือกระบวนการประชาธิปไตย” นพ.วีระพันธ์กล่าว
นพ.วีระพันธ์อธิบายว่า หากร่างกฎหมายผ่านการพิจารณาในวาระแรก จะเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่สอง ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการพิจารณารายมาตรา โดยทุกฝ่ายสามารถร่วมกันปรับแก้รายละเอียด เช่น เรื่องชั่วโมงการทำงาน การกำหนดเพดานเวลาปฏิบัติงาน การครอบคลุมภาคเอกชน หรือเงื่อนไขอื่นๆ ตามความเหมาะสม ซึ่งเป็นพื้นที่ของการถกเถียงและหาฉันทามติร่วมกัน

ทั้งนี้ เขายืนยันว่า ความเห็นต่างต่อร่างกฎหมายไม่ควรถูกมองว่าเป็นความขัดแย้งส่วนบุคคลหรือความเป็นศัตรู แต่เป็นกระบวนการปกติของการกำหนดนโยบายสาธารณะ โดยทุกฝ่ายยังคงเป็นเพื่อนร่วมวิชาชีพที่มีเป้าหมายเดียวกัน คือการแก้ไขปัญหาระบบสาธารณสุขอย่างยั่งยืน
“ใครเห็นด้วยก็สนับสนุน ใครไม่เห็นด้วยก็มีสิทธิ์ไม่เห็นด้วย เราเคารพการตัดสินใจซึ่งกันและกัน และใช้กระบวนการนิติบัญญัติเป็นพื้นที่หาทางออกที่ดีที่สุดร่วมกัน” นพ.วีระพันธ์กล่าว
ทั้งนี้ เป้าหมายสูงสุดของการปฏิรูป คือการสร้างระบบสุขภาพที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการอย่างปลอดภัย มีคุณภาพ และยั่งยืน ควบคู่กับการที่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขสามารถทำงานอย่างมีความสุข มีความปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อดูแลประชาชนได้อย่างเต็มศักยภาพ

