รมว.พลังงาน เตรียมรื้อแผน PDP เปิดทางติดโซลาร์รูฟท็อป ง่ายขึ้น ด้าน “รสนา” สภาองค์กรของผู้บริโภค ชี้ ประชาชนต้องมีส่วนร่วม แนะ รัฐรับซื้อพลังงานจากประชาชนเพิ่มขึ้น พร้อม จี้ ตัดค่า PE ที่เป็นต้นทุนจากนโยบายรัฐ “ไขมันที่ประชาชนต้องแบก”
วันนี้ (5 ก.ค. 2568) ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผ่านรายการ “เสียงจากใจไทยคู่ฟ้า” ว่า พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กำลังผลักดันการรื้อโครงสร้างพลังงานของประเทศ เพื่อแก้ไขต้นตอปัญหาค่าไฟฟ้าสูงอย่างเป็นระบบ

ศศิกานต์ ระบุว่าที่ผ่านมาประชาชนจำนวนมากสงสัยว่า ทำไมประเทศไทยซึ่งมีโรงไฟฟ้าเอง แต่ยังต้องจ่ายค่าไฟแพง สาเหตุสำคัญมาจากโครงสร้างระบบไฟฟ้าที่ซับซ้อน และการพึ่งพาภาคเอกชนในการผลิตไฟฟ้ามากเกินไป ซึ่งสาเหตุที่ต้นทุนค่าไฟของประเทศไทยสูง เพราะต้องนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีจากต่างประเทศ ซึ่งมีราคาผันผวนตามตลาดโลก อีกทั้งยังมีสัญญาซื้อขายไฟจากเอกชนที่ยาวถึง 20 ปี ทำให้ประชาชนต้องแบกรับราคาที่ไม่เป็นธรรมทุกเดือน รัฐบาลจึงเตรียม ทบทวนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) เพื่อให้หน่วยงานของรัฐ อย่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีบทบาทมากขึ้น ลดการพึ่งพาเอกชน และลดต้นทุนค่าไฟอย่างแท้จริง
ศศิกานต์ กล่าวว่า อีกหนึ่งแนวนโยบายสำคัญคือการผลักดัน “กฎหมายส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคา” ให้สะดวกขึ้น เพียงแค่ “แจ้ง” ไม่ต้องขออนุญาตหลายขั้นตอน โดยร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ระหว่างเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
สภาผู้บริโภค แนะ ปรับแผน PDP ประชาชนต้องมีส่วนร่วม
รสนา โตสิตระกูล กรรมการนโยบายสัดส่วนผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ด้านบริการสาธารณะพลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค เผยกับ The Active ว่า แผน PDP จะมีการ Set Zero หมายความว่าแผน PDP ที่จัดทำมาก่อนที่จะออกภายในปี 2024 หรือ 2025 ตอนนี้เป็นการรื้อทิ้งใหม่ เริ่มร่างใหม่ ซึ่งมีข้อเสนอแนะในเชิงหลักการว่า ในส่วนของสภาองค์กรผู้บริโภค และภาคประชาชน มีการทำแผน PDP ควรจะดึงภาคประชาชนอย่างสภาองค์กรผู้บริโภค นักวิชาการ TDRI เข้ามาร่วมในการทำแผนที่เหมาะสม

(ภาพจาก สภาองค์กรของผู้บริโภค)
รสนา กล่าวว่าซึ่งในระบบแผน PDP ยังให้ความสำคัญกับ “พลังงานหมุนเวียนน้อยเกินไป“ ซึ่งการส่งเสริมของรัฐบาล ควรส่งเสริมให้ประชาชน เข้ามามีส่วนร่วม ในเรื่องของการผลิตไฟ จากโซล่าร์รูฟท็อป บนหลังคาบ้านประชาชน อย่างจริงจัง และการที่จะทำอย่างจริงจังได้ รัฐบาลต้องเปิดโควตาให้ประชาชน สามารถผลิตไฟและขาย ให้กับหน่วยงานของรัฐได้ และเปิดโอกาสให้ประชาชน สามารถผลิตไฟเพื่อใช้เอง ในระบบที่เรียกว่า Net Metering ส่วน Net Billing คือการขายให้กับหน่วยงานของรัฐ เพราะที่ผ่านมารัฐบาล จะซื้อไฟ เฉพาะโครงการโซลาร์ฟาร์ม ขนาดใหญ่
“ที่ผ่านมารัฐบาล คณะกรรมการกิจการพลังงาน ซื้อไฟจากประชาชนทั่วประเทศ 90 เมกะวัตต์ ซึ่งถือว่าน้อยมาก ขายได้แค่ประมาณ 200 ครัวเรือน ในขณะที่ซื้อไฟจากเอกชน 5,200 เมกะวัตต์ ตั้งแต่สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา และพึ่งมีการเซ็นสัญญาไป และเตรียมจะเปิดอีก 3,600 เมกะวัตต์ โดยซื้อจากโซลาร์ฟาร์ม ทำไมคุณไม่เปิดให้ประชาชนขาย”
รสนา โตสิตระกูล
รสนา กล่าวว่า ดังนั้นหากจะใช้คำว่าเปลี่ยนระบบจริง รัฐบาลเพียงแค่เปิดให้ประชาชนติดตั้งโซลาร์ ผ่านกฎเกณฑ์ที่ง่ายขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่สิ่งที่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง คือต้องรับซื้อไฟที่ประชาชนรายเล็กรายน้อยผลิต และสำหรับคนที่ไม่ต้องการขายเขาควรจะมีสิทธิ์ผลิตเพื่อใช้ ในระบบ Net metering ที่สามารถฝากไฟไว้ในสายส่ง เช่น ผลิตไฟในกลางวันสามารถเก็บไว้ใช้ในกลางคืนได้ แต่ปัจจุบันนี้ไม่ให้ใช้ซึ่งไม่เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนใช้พลังงานโซล่าเซลล์ เนื่องจากการเก็บไว้ในแบตเตอรี่มีต้นทุนที่สูงอยู่ในปัจจุบัน ทำให้ไม่นิยม
รสนา บอกอีกว่า ยิ่งหากทำให้ระบบการขออนุญาตทำได้ง่ายขึ้น จะยิ่งดี อย่างในต่างประเทศรัฐบาลสนับสนุนการติดตั้ง 50% เช่น ประชาชนติดตั้งในราคา 100,000 บาท รัฐบาลจ่ายให้ 50,000 บาท ในไทยประชาชนยังไม่เรียกร้องขนาดนี้ แต่ขอเพียงแค่ให้ประชาชนสามารถติดตั้งด้วยตัวเอง แต่สามารถฝากไฟไว้ในสายส่งได้ ซึ่งรัฐบาลทำได้แต่ตอนนี้ไม่ยอมทำ ซึ่งหากแก้ตรงนี้ได้จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง
“ต้องบอกว่าแสงไฟจากแสงแดดมันช่วยลดโลกร้อน เพราะโลกเราเวลานี้มันเกิดปัญหา จากการที่เราใช้พลังงานฟอสซิล มากเกินไป เพราะฉะนั้นรัฐบาล ที่ได้ทำสัตยาบันระหว่างประเทศอยู่แล้วว่าจะลดการปล่อยคาร์บอน และอาจจะไปถึง การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ Net Zero ในปี 2050 หรือ พ.ศ.2593 แต่กลับไม่มีแผนว่าจะค่อย ๆ ลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างไร”
รสนา โตสิตระกูล
รสนา อธิบายเพิ่มว่า ถ้ารัฐบาลประกาศว่าจะปรับโครงสร้างใหม่ให้ประชาชน สามารถติดตั้งโซล่าได้ง่าย ประเด็นสำคัญคือคุณต้องให้ประชาชนผลิตและสามารถใช้ได้เองด้วย อย่างน้อยขายไม่ได้แต่สามารถลดค่าไฟในบ้าน การลดรายจ่ายเท่ากับการเพิ่มรายได้ เพราะเวลานี้ประชาชนซื้อไฟจากการไฟฟ้า ไม่ใช่ 3.98 บาท เพราะเมื่อบวก Vat บวกค่าใช้จ่ายอื่น ๆ บวกปริมาณหน่วยไฟที่ใช้ เป็นแบบขั้นบันได โดยสรุปทำให้ประชาชนจ่ายค่าไฟหน่วยละ 4.55 บาท หากรัฐบาลเปิดให้ประชาชนสามารถผลิตโซลาร์รูฟท็อป และสามารถเก็บไฟไว้ในสายส่ง หมายความว่าหากประชาชนสามารถผลิตไฟได้ 100 หน่วย แล้วใช้ในบ้านของตัวเอง และใช้ไฟจากรัฐ 100 หน่วย จะสามารถประหยัดได้ 50% และยิ่งไปกว่านั้นหากรัฐบาลประกาศรับซื้อไฟจากประชาชน และไม่ซื้อจากโซลาร์ฟาร์ม จะส่งเสริมให้ประชาชนมีรายได้ อยากฝากให้รัฐบาลคิดอย่างเป็นระบบ
ซึ่ง สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้ทำเรื่องแจ้งไปที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ. ) และ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ขอให้ตัดค่าใช้จ่าย ที่เรียกว่า PE (Policy Expense) คือ ค่าใช้จ่ายของภาครัฐที่สนับสนุนพลังงานหมุนเวียน ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้คิดเป็นค่าใช้จ่ายในค่าไฟอีกหน่วยละ 17 สตางค์ ซึ่งหากตัดค่า PE ออกได้ เราจะสามารถลดค่า FT 17 สตางค์ได้ ซึ่งยังไม่มีความคืบหน้า
“ขั้นตอนต่อไปสภาองค์กรผู้บริโภค จะทำเรื่องฟ้องไปที่ศาลปกครอง ว่าจะต้องตัดค่าใช้จ่าย PE เพราะไม่ใช่ต้นทุนการผลิตไฟฟ้า แต่เป็นต้นทุนที่เกิดจากนโยบายของรัฐ แล้วกลายมาเป็นไขมัน ให้ประชาชนแบก ถ้าจะปรับโครงสร้างให้ตัด PE ออกไปเลยให้เห็นเป็นตัวอย่าง ไม่เช่นนั้น สภาองค์กรผู้บริโภคจะเดินหน้าฟ้องกรณีนี้”
รสนา โตสิตระกูล