‘ผอ.รพ.อุ้มผาง’ ย้ำ ดูแลสุขภาพ ‘ผู้ลี้ภัย’ คือ ความมั่นคง ป้องกันโรคระบาดลามถึงคนไทย

ชี้ สถานการณ์คับขัน! หลังสหรัฐฯ ตัดงบ IRC ส่งผลกระทบผู้ลี้ภัยกว่า 5 หมื่นคนใน จ.ตาก ขาดหน่วยงานดูแลสุขภาพ ต้องเร่งจัดระบบรองรับ หวั่นโรคระบาดลุกลาม เผยค่าใช้จ่ายป้องกันถูกกว่ารักษา พร้อมระดมทีมแพทย์ 5 รพ.ชายแดน แบ่งพื้นที่รับผิดชอบ ควบคุมสถานการณ์

วันนี้ (29 ม.ค. 68) นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก เปิดเผยกับ The Active ถึงแนวทางการวางแผนรับมือวิกฤตค่ายผู้ลี้ภัย หลังสหรัฐฯ ตัดงบฯ ว่า โรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดนจะต้องร่วมมือกันเพื่อดูแลศูนย์พักพิงทั้ง 3 แห่งใน จ.ตาก หลังจากที่ IRC ต้องยุติการดำเนินงานอย่างกะทันหัน ซึ่งจะประชุมร่วมกันระหว่างโรงพยาบาล สำนักงานสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดระบบการดูแลใหม่ให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ศูนย์พักพิงผู้ลี้ภัยในพื้นที่ชายแดน จ.ตากมีมาตั้งแต่ปี 2539 ปัจจุบันมีจำนวนผู้ลี้ภัยในศูนย์ฯ อยู่ประมาณ 50,000 คน โดยกระจายอยู่ในศูนย์พักพิงหลัก ได้แก่ 

  • ศูนย์แม่หละ มีผู้ลี้ภัยราว 30,000 คน

  • ศูนย์อุ้มเปี้ยม มีผู้ลี้ภัยราว 7,500 คน 

  • ศูนย์นุโพราว มีผู้ลี้ภัยราว 8,000 คน
นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก

ที่ผ่านมา หน่วยงานด้านสาธารณสุข เช่น IRC และ NGO ระหว่างประเทศ ได้รับงบประมาณจากประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐฯ และยุโรป เพื่อนำมาดำเนินงานด้านสุขภาพในศูนย์พักพิง โดยเน้นให้บริการด้าน การแพทย์ขั้นพื้นฐาน(Primary Health Care) รวมถึงตั้งโรงพยาบาลสนามภายในศูนย์ เมื่อพบผู้ป่วยที่ต้องการรักษาขั้นสูง เช่น ผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบ หรือ อาการที่ซับซ้อนขึ้น ก็จะส่งต่อมาที่โรงพยาบาลของไทย สังกัดกระทรวงสาธารณสุข 

เมื่อ IRC ต้องหยุดงานกะทันหัน ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยราว 50,000 คน ในศูนย์พักพิงไม่มีหน่วยงานดูแลด้านสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน ซึ่งปกติระบบของศูนย์จะคัดกรองผู้ป่วยก่อนส่งต่อมายังโรงพยาบาลไทย แต่เมื่อขาดกลไกนี้ จะทำให้โรงพยาบาลในเขตชายแดนต้องรับภาระมากขึ้น”

นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์

ส่องมาตรการรับมือโรงพยาบาลชายแดน

ขณะนี้ โรงพยาบาลในเขตชายแดน จ.ตาก ได้แก่ โรงพยาบาลอุ้มผางโรงพยาบาลแม่สอดโรงพยาบาลท่าสองยาง  และ โรงพยาบาลแม่ระมาด ได้ร่วมประชุมเพื่อหารือแนวทางรับมือ โดยมีการประสานงานกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตาก และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมข้อมูลภารกิจที่ IRC เคยดำเนินการเพื่อให้หน่วยงานไทยสามารถเข้ามารับช่วงต่อให้ได้มากที่สุด

โดยโรงพยาบาลทั้ง 5 แห่ง ได้แบ่งพื้นที่รับผิดชอบกัน คือ

  • รพ.อุ้มผาง รับผิดชอบ ศูนย์นุโพ

  • รพ.พระพบ รับผิดชอบ ศูนย์อุ้มเปี้ยม

  • รพ.ท่าสองยาง และ รพ.แม่ระมาด รับผิดชอบ ศูนย์แม่หละ

  • รพ.แม่สอด สนับสนุนทุกโรงพยาบาล

นพ.วรวิทย์ ระบุถึงแผนระยะเร่งด่วน คือจัดทีมแพทย์เข้าไปให้บริการในศูนย์พักพิงโดยตรง เพื่อช่วยลดภาระการส่งต่อผู้ป่วยมายังโรงพยาบาลไทย ซึ่งกำลังประเมินทรัพยากรที่มี และกำลังหาทางสนับสนุนเพิ่มเติม ทั้งบุคลากร ยา และเวชภัณฑ์

“สิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้คือ การเข้าไปสำรวจข้อมูลในศูนย์พักพิงให้ชัดเจนว่ามีปัญหาอะไร และวางแผนจัดบริการทดแทน โดยอาศัยทรัพยากรที่มีอยู่ในโรงพยาบาลของไทยให้ดีที่สุด ซึ่งเรากำลังเร่งหารือกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ลี้ภัยที่ต้องการการรักษาจะยังสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้”

นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์

สำหรับโรงพยาบาลอุ้มผาง ดูแลประชากรที่อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบประมาณ 60,000 คน โดยในจำนวนนี้ มีเพียง 20% เท่านั้นที่เป็นคนไทย ที่เหลือเป็นประชากรที่ไม่มีบัตรประชาชน

ก่อนหน้านี้ หากมีหน่วยงานที่ช่วยดูแลเบื้องต้นในศูนย์พักพิง จะช่วยลดภาระของโรงพยาบาลไทยได้มาก แต่เมื่อไม่มีองค์กรเหล่านี้แล้ว เราต้องเร่งจัดระบบรองรับให้เร็วที่สุด

นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์

รพ.ในศูนย์พักพิงฯ ปิดภายหลังองค์กร IRC ที่สนับสนุน ถูกสหรัฐฯ ตัดงบประมาณ (ภาพ : สำนักข่าวชายขอบ)

สาธารณสุข คือ ‘ความมั่นคงของชาติ’

นพ.วรวิทย์ ยังย้ำถึงประเด็นหลักที่คุยกัน คือเรื่อง มนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานของงานด้านสาธารณสุข โดยเชื่อว่า สายงานนี้ตั้งอยู่บนจริยธรรมที่ต้องช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือโดยไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งกลุ่มผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่เป็นคนยากจน การรักษาพยาบาลจึงไม่ควรถูกผูกติดกับค่าใช้จ่าย ต้องให้การดูแลตามมาตรฐานเดียวกับประชาชนทั่วไป เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานของระบบสาธารณสุขที่ดี

“สิ่งสำคัญที่เราต้องสื่อสารคือ เหตุผลว่าทำไมเราต้องดูแลผู้ลี้ภัยในศูนย์พักพิงหลายคนอาจมองว่าเรื่องนี้เป็นภาระ แต่ลองคิดดู หากคนไทยที่ไม่มีเงินไปรักษาในโรงพยาบาลเอกชน ถูกปฏิเสธการรักษาเพียงเพราะไม่มีเงิน นั่นเป็นสิ่งที่ผิดหลักมนุษยธรรมแน่นอน ระบบสาธารณสุขที่ดีไม่ควรปล่อยให้ใครต้องเสียชีวิตเพียงเพราะขาดแคลนทรัพยากร”

นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์

อีกประเด็นสำคัญคือ ที่ นพ.วรวิทย์ เน้นย้ำ คือ การป้องกันโรคระบาด ซึ่งอาจลุกลามไปถึงประชากรไทยด้วย หากโรงพยาบาลชายแดนไม่เข้าไปควบคุมตั้งแต่ต้น เดือนที่แล้วมีการระบาดของ อหิวาตกโรค ในพื้นที่ฝั่งตรงข้าม อ.แม่สอด ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายราย นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าโรคระบาดไม่เลือกเชื้อชาติหรือสัญชาติ มันสามารถแพร่กระจายสู่ประชากรไทยได้เช่นกัน

วัณโรค เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ปัจจุบันพบผู้ป่วยวัณโรคจำนวนมากในกลุ่มผู้ลี้ภัยและโรคนี้สามารถแพร่กระจายทางอากาศ แม้ผู้ป่วยเพียงแค่หายใจออกมา ก็อาจมีเชื้อปนเปื้อนในอากาศได้ ถ้าไม่รักษาพวกเขาให้หาย โรคก็จะแพร่ไปยังชุมชนโดยรอบ และสุดท้ายก็ส่งผลกระทบต่อคนไทยได้ ดังนั้นการป้องกันโรคร้ายแรงต้นทุนต่ำกว่าการรักษา เช่น

  • บาดทะยักแรกเกิด รักษา 2 เดือน ใช้งบ 140,000 บาท แต่ป้องกันได้ด้วยอุปกรณ์ 200 บาท

  • วัณโรค รักษาเริ่มต้น 3,000 – 4,000 บาท แต่หากดื้อยา ต้องใช้ 200,000 บาท

นพ.วรวิทย์ บอกอีกว่า หากไม่ควบคุมการแพร่ระบาดตั้งแต่ต้น ค่าใช้จ่ายของระบบสาธารณสุขในระยะยาวจะสูงขึ้นอย่างมหาศาล และที่สำคัญ คนไทยก็เสี่ยงติดเชื้อไปด้วย

“บางคนอาจไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แต่ลองคิดในมุมของ ความมั่นคงของชาติ สุขภาพของประชาชนมีผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจและความมั่นคง หากโรคระบาดแพร่กระจายในวงกว้าง จะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ดังนั้นการดูแลผู้ลี้ภัยก็เป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันปัญหาเหล่านี้”

นพ.วรวิทย์ ตันติวัฒนทรัพย์

ผอ.รพ.อุ้มผาง ย้ำด้วยว่า งานสาธารณสุขไม่มีพรมแดน ไม่ได้เลือกปฏิบัติตามเชื้อชาติ หรือสัญชาติ เงินเป็นเพียงสิ่งสมมุติ แต่มนุษย์ธรรมคือของจริง จึงต้องทำงานบนพื้นฐานของหลักการที่ถูกต้อง และคิดถึงผลกระทบในระยะยาวการตัดงบประมาณในวันนี้อาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่กว่าที่คาดคิดในอนาคต

เดินหน้าแผนปฏิบัติการรับมือดูแลสุขภาพผู้ลี้ภัย

นพ.วรวิทย์ เปิดเผยว่า ช่วงนี้ประชุมกันทุกวัน เพราะต้องวางแผนให้ทันสถานการณ์ วันนี้ (29 ม.ค. 68) มีประชุมวางแผน และพรุ่งนี้ (30 ม.ค. 68) ก็จะประชุม สรุปแผนรับมือระดับจังหวัด ร่วมสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตาก และมีผู้แทนจากโรงพยาบาลชายแดน เช่น อุ้มผาง แม่ระมาด ท่าสองยาง รวมถึงหน่วยงานจาก จ.กาญจนบุรี ที่ดูแลศูนย์พักพิงด้วย เพื่อกำหนดแผนงานในแต่ละพื้นที่ จากนั้นวันที่ 31 ม.ค. 68 IRC จะยุติภารกิจอย่างเป็นทางการ ซึ่งหมายความว่า ตั้งแต่ 1 ก.พ. เป็นต้นไป เราต้องรับหน้าที่ดูแลแทนทั้งหมด

ขณะเมื่อวานนี้ (28 ม.ค. 68) นพ.วรวิทย์ บอกว่า ได้พูดคุยกับผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ซึ่งมีวิสัยทัศน์ที่ดี และเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างมาก ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างจริงจังและสนับสนุนเต็มที่ ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการทำงานร่วมกัน

ขณะที่เพจโรงพยาบาลท่าสองยาง จ.ตาก ได้เผยแพร่ข้อความว่า เมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่ผ่านมา เวลา 10.00 น. อ.ท่าสองยาง ได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ 

  • กองร้อยทหารพรานที่ 3503
  • โรงพยาบาลท่าสองยาง
  • สาธารณสุขอำเภอท่าสองยาง
  • มูลนิธิเพชรเกษม
  • องค์กร IRC
  • องค์กร COERR
  • KRC
  • คณะกรรมการแคมป์
  • หัวหน้าโซน
  • ผู้ใหญ่บ้าน

เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น สรุปผลการประชุมได้ดังนี้

  1. IRC จะหยุดให้บริการผู้ป่วยและวัคซีนทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม เป็นต้นไป
  2. จำนวนผู้ป่วยทั้งหมด 60 ราย แบ่งเป็น ผู้ป่วยที่ถูกส่งกลับบ้าน 44 ราย, ผู้ป่วยที่รักษาตัวในโรงพยาบาลพื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ 14 ราย, ผู้ป่วยที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลแม่สอด 2 ราย

สำหรับแผนการดำเนินงานหลังการประชุม

  1. ผู้ป่วยอาการหนัก 14 ราย จะได้รับการคัดกรองและรักษาต่อไปโดยโรงพยาบาลท่าสองยาง
  2. มูลนิธิเพชรเกษม จะเข้ามารับผู้ป่วยที่มีอาการหนักและผู้ป่วยฉุกเฉิน เพื่อส่งต่อโรงพยาบาลท่าสองยางโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
  3. เจ้าหน้าที่อาสาสมัคร ที่เคยทำงานกับองค์กร IRC จะมาตั้งจุดบริการเพื่อคัดกรองและรักษาผู้ป่วยเบื้องต้น

ทั้งนี้ อ.ท่าสองยาง กำลังเผชิญกับความท้าทายในการดูแลผู้ป่วยและผู้หนีภัยการสู้รบ หลังการหยุดกิจกรรมขององค์กร IRC อย่างไรก็ตาม หน่วยงานท้องถิ่นและองค์กรต่าง ๆ ได้ร่วมมือกันอย่างเร่งด่วนเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ป่วยและผู้ด้อยโอกาสอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการหนักและผู้ป่วยฉุกเฉิน ซึ่งจะได้รับการดูแลจากโรงพยาบาลท่าสองยาง และมูลนิธิเพชรเกษมโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active