ครั้งแรก! ถกรวม 3 กองทุนสุขภาพ ยัน ใช้สิทธิเดิมไม่เปลี่ยน เล็งพัฒนาระบบใหม่เพื่อคนรุ่นหลัง

‘พิชัย’ นั่งหัวโต๊ะถกแนวทางปฏิรูประบบสุขภาพ ชี้ งบฯ เติบโต 11% ต่อปี สูงกว่า GDP 5 เท่า เปิดข้อมูลช่องว่างค่ารักษาต่อหัว ‘ข้าราชการ’ สูงสุด 18,000 บาท ‘บัตรทอง’ ต่ำสุด 3,800 บาท ตั้ง 2 คณะอนุกรรมการขับเคลื่อน 8 มาตรการ เพิ่มประสิทธิภาพ-ลดต้นทุนยา พร้อมเร่งหาทางลดความเหลื่อมล้ำ

วันนี้ (12 มี.ค. 68) ที่กระทรวงการคลัง การประชุม คณะกรรมการพิจารณาค่ารักษาพยาบาลของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย ตามที่มีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 33/2568 นัดแรก โดยมี พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน 

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในฐานะเลขานุการร่วมคณะกรรมการฯ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า การประชุมครั้งนี้เน้นศึกษาโครงสร้างระบบสุขภาพของไทย เปรียบเทียบกับมาตรฐานสากล รวมถึงแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ

3 ประเด็นหลักที่หารือในที่ประชุม

1. วิเคราะห์ระบบสุขภาพของไทย – ศึกษารูปแบบ โครงสร้าง และค่าใช้จ่ายของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาล 4 ระบบหลัก ได้แก่

  • ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ
  • ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง)
  • ระบบประกันสังคม
  • ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

เป้าหมายเพื่อวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน และแนวทางปรับปรุงให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

2. ยืนยันสิทธิรักษาพยาบาลเดิม พร้อมยกระดับคุณภาพ – ที่ประชุมย้ำว่าผู้มีสิทธิ์ในปัจจุบันจะยังคงได้รับสิทธิเช่นเดิม โดยเน้นปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐานการรักษาพยาบาล รวมถึงแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพระบบสวัสดิการให้เกิดความยั่งยืนทางการเงิน

3. พิจารณาแนวทางบริหารงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด – เนื่องจากงบประมาณด้านสุขภาพของไทยเติบโตเฉลี่ย 11% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของ GDP ที่ประมาณ 2-2.5% ที่ประชุมจึงหารือแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบ เช่น

  • การบริหารจัดการค่ายา เช่น การใช้ยาสามัญแทนยาต้นแบบเพื่อลดต้นทุน
  • การเพิ่มศักยภาพการผลิตยาในประเทศ
  • การเจรจาต่อรองการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

กำหนดกรอบ 8 มาตรการ – ตั้ง 2 คณะอนุกรรมการ

ที่ประชุมมีมติกำหนดกรอบการดำเนินงาน 8 มาตรการหลัก พร้อมตั้งคณะอนุกรรมการ 2 ชุด ได้แก่

  • คณะอนุกรรมการวิชาการ – ศึกษารายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับระบบสุขภาพ ค่าใช้จ่าย และแนวทางปรับปรุง
  • คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบาย – ประกอบด้วยหน่วยบริการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่ผลักดันนโยบายให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

ที่ประชุมยังได้รับทราบข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับงบประมาณด้านสุขภาพในปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 360,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10-13% ของงบประมาณประเทศ ครอบคลุมประชากรเกือบทั้งประเทศ 65 ล้านคน

จากข้อมูลที่นำเสนอในที่ประชุม พบว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวของแต่ละระบบยังมีความแตกต่างกันมาก เช่น

  • ข้าราชการ 18,000 บาท/คน/ปี
  • ประกันสังคม 4,900 บาท/คน/ปี
  • หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) 3,800 บาท/คน/ปี
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 12,000 บาท/คน/ปี

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมยืนยันว่า ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงสิทธิของผู้ได้รับสวัสดิการในปัจจุบัน แต่มีแนวทางศึกษาการปรับปรุงระบบให้เกิดความเท่าเทียมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เมื่อถามว่า มีแนวคิดเรื่องการเฉลี่ยงบประมาณสุขภาพต่อหัวให้เท่ากันหรือไม่ นพ.จเด็จ บอกว่า ยังไม่มีแนวคิดเรื่องการปรับค่าใช้จ่ายต่อหัวให้เท่ากันระหว่างกองทุนต่างๆ ที่ประชุมยืนยันว่า ผู้มีสิทธิ์ในแต่ละระบบจะยังคงได้รับสิทธิ์ตามระบบเดิม แต่ในอนาคตอาจมีแนวทางพัฒนาระบบใหม่สำหรับประชากรรุ่นต่อไป

“แนวคิดในอนาคต คือการพิจารณาสิทธิใหม่สำหรับประชากรที่เข้าสู่ระบบในอนาคต โดยไม่กระทบสิทธิของผู้ที่อยู่ในระบบปัจจุบัน”

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี

นพ.จเด็จ บอกด้วยว่า ที่ประชุมมีแนวทางลดความเหลื่อมล้ำด้านบริการสุขภาพ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องงบประมาณ แต่รวมถึงสิทธิในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ด้วย โดยท่านประธานได้ให้ข้อสังเกตว่า ควรนำประเด็นนี้มาศึกษาเพิ่มเติม เพื่อพิจารณาว่าจะสามารถลดช่องว่างของแต่ละกองทุนได้อย่างไร

เบื้องต้น แนวทางที่ได้จากการประชุมนี้จะถูกนำไปศึกษาเพิ่มเติม และเสนอเข้าสู่ที่ประชุมครั้งต่อไป รวมถึงรายงานต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีตามลำดับ โดยคณะกรรมการชุดนี้จะเร่งศึกษาแนวทางพัฒนาระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลให้เกิดความยั่งยืน โดยไม่กระทบสิทธิ์เดิมของประชาชน และจะทยอยเสนอแนวทางที่เป็นไปได้ให้ที่ประชุมพิจารณาเป็นระยะ โดยไม่รอให้ทุกมาตรการเสร็จสิ้นก่อน สำหรับการประชุมครั้งต่อไปจะมีขึ้นเมื่อคณะอนุกรรมการวิชาการสรุปผลการศึกษาประเด็นเร่งด่วนแล้วเสร็จ ซึ่งจะมีการแจ้งให้ทราบต่อไป

เปิด 8 แนวทางการบริหารงบประมาณค่ารักษาพยาบาล ระบบสวัสดิการไทย

  1. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยบริการสาธารณสุขอื่นนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข รับผิดชอบการทบทวนหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย ควบคุมการใช้จ่ายของทุกสิทธิให้เหมาะสมอยู่ภายในวงเงิน ที่ได้รับจัดสรร (Spending Cap)ไม่ให้เกิดภาระต่อเงินคงคลังของประเทศ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเหลื่อมล้ำระหว่างสิทธิการรักษา ตลอดจนร่วมกันหาแนวทางพิจารณาค่ารักษาพยาบาลโดยเฉพาะสิทธิสวัสดิการข้าราชการควรที่จะมีแนวโน้มลดลง

  2. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติพิจารณานำงบประมาณเหลือจ่ายจากการดำเนินงานหรือรายได้สูงกว่ารายจ่ายสะสมมาสมทบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เป็นลำดับแรก และหากเงินรายได้สูงกว่ารายจ่ายสะสมไม่เพียงพอก็ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 ตาม ขั้นตอนต่อไป และให้ขยายมาตรการนี้ไปยังเงินนอกงบประมาณของหน่วยบริการภาครัฐต่อไป

  3. กระทรวงสาธารณสุขในฐานะที่เป็นหน่วยผู้ให้บริการ ร่วมกับหน่วยบริการสาธารณสุขอื่นนอก สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ต้องมีมาตรการ หลักเกณฑ์ ในการสั่งจ่ายยาให้เป็นมาตรฐานเดียวกันในทุกสิทธิการรักษาพยาบาล และควรพิจารณาการสั่งใช้ยาสามัญ (Generic Drugs) เป็นลำดับแรกแทนยาต้นตำรับ (Original Drugs) เนื่องจากยาต้นตำรับมีราคาที่ค่อนข้างสูง

  4. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการนำร่องเรื่องการพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลให้เป็นระบบเดียวกันเพื่อให้ทั้งประเทศใช้ระบบเดียวกัน ส่งผลให้มีข้อมูลที่ตรงกัน ทุกหน่วยบริการสามารถเข้าถึงข้อมูลการเบิกจ่ายยา ข้อมูลสุขภาพของประชาชน และเชื่อมโยงข้อมูลด้วยกันได้

  5. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในฐานะที่รับผิดชอบการเสริมสร้างสุขภาพและ ป้องกันโรค (Promotion and Disease Prevention: P&P) ให้กับประชาชนไทยทุกคนควรเร่งดำเนินการในเชิงรุก ตลอดจนพิจารณาทบทวนการใช้ Diagnosis Related Groups (DRGs) ให้สอดคล้องกับต้นทุนค่ารักษาพยาบาลที่แท้จริง และพิจารณานำแนวทางการ จัดทำงบประมาณฐานศูนย์ (Zero- Based Budgeting) มาปรับใช้ในการจัดทำงบประมาณมากขึ้นในปีถัดไป

  6. กรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันพิจารณาหลักเกณฑ์การจัดสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลสำหรับข้าราชการในระบบและ ที่จะบรรจุใหม่ (New package for newcomers)

  7. กระทรวงสาธารณสุข หน่วยบริการสาธารณสุขอื่นนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันกำหนดมาตรฐานราคากลางของยา วัคซีน เวชภัณฑ์และอุปกรณ์อวัยวะเทียม เพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ และพิจารณาการ จัดซื้อยา วัคซีน เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์อวัยวะเทียมจากองค์การเภสัชกรรม และการ จัดซื้อในปริมาณที่มากจะทำให้ต่อรองราคาเพื่อให้เกิดความประหยัดและความคุ้มค่าได้ (Economies of scale) รวมถึงดึงดูดให้เกิดการลงทุนในประเทศและการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต

  8. กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณามาตรการทางภาษี เช่น 1. การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีเพื่อให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น 2. การเก็บภาษีสินค้าที่ทำลาย สุขภาพเพิ่ม 3. สร้างแรงจูงใจทางอ้อมให้กับประชาชนที่ได้รับสวัสดิการการรักษาพยาบาลข้าราชการ

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active