“ตอบแทนการเสียสละ ของพี่ ๆ แนวหน้า” หมอ พยาบาล ‘รพ.ท่าตูม’ พร้อมประจำการ รับดูแลผู้ป่วยกว่า 170 คน จาก รพ.ที่ปิดหนีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำ แม้สถานการณ์ตึงเครียด ถึงเหนื่อยแต่ไม่ท้อ ยืนยันทุกคนพร้อมช่วยกัน ปฏิบัติภารกิจเต็มที่
วันนี้ (30 ก.ค. 68) สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ในพื้นที่ อ.ปราสาท, บัวเชด และสังขะ จ.สุรินทร์ ที่ตึงเครียดจากเหตุปะทะ ส่งผลให้โรงพยาบาลชุมชนต้องปิดบริการหลายแห่ง หรือเปิดให้บริการแค่กรณีฉุกเฉิน ทำให้ โรงพยาบาลท่าตูม ซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัยห่างจากชายแดนกว่า 100 กิโลเมตร ต้องรับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยจาก 3 โรงพยาบาลหลัก ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ รพ.ปราสาท, รพ.สังขะ และรพ.ลำดวน
รองรับผู้ป่วยกว่า 170 คน เกินศักยภาพเดิม
พญ.แม้นเขียน ชัญถาวร หรือ หมอแวว ผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าตูม เปิดเผยกับ The Active ว่า ขณะนี้โรงพยาบาลได้รองรับผู้ป่วยใน (IPD) ที่ถูกอพยพมาจาก 3 โรงพยาบาลชายแดนรวมแล้วกว่า 170 คน ซึ่งมากกว่าศักยภาพเตียงเดิมของโรงพยาบาลที่รองรับได้เพียง 140 เตียง

“โดยปกติ เราดูแลผู้ป่วยในของอำเภอท่าตูมเองประมาณ 90-110 เตียงต่อวันอยู่แล้ว การรับผู้ป่วยเพิ่มจากพื้นที่อื่นจึงทำให้เตียงล้น และต้องบริหารจัดการใหม่ทั้งหมด”
พญ.แม้นเขียน ชัญถาวร
วางแผนล่วงหน้า – ทีมชายแดนตามมาดูแล
หมอแวว ย้ำถึงจุดสำคัญที่ทำให้สามารถรับมือสถานการณ์ได้ คือ การเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุปะทะ โดย รพ.ท่าตูม ร่วมวางแผนกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) สุรินทร์ และได้รับคำแนะนำจากเขตสุขภาพที่ 9 ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยได้อย่างเป็นระบบ

ที่สำคัญคือ “ทีมแพทย์และบุคลากรจากโรงพยาบาลชายแดน” ที่ต้องเดินทางมาพร้อมผู้ป่วย และประจำการในโรงพยาบาลท่าตูม เพื่อดูแลผู้ป่วยต่อเนื่องตามความคุ้นเคย
“เราให้โรงพยาบาลต้นทางดูแลผู้ป่วยในตึกที่จัดไว้ให้เลย เช่น รพ.ปราสาท ก็ดูแลผู้ป่วยของตัวเองทั้งหมดในตึกนั้น ส่วน รพ.ท่าตูมเรามีเจ้าหน้าที่ 1 คนคอยประสานและอำนวยความสะดวกให้”
พญ.แม้นเขียน ชัญถาวร
ดูแลครบทั้งศัลยกรรม เวชกรรม และจิตเวช
สำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่รับเข้ามามีทั้งผู้ป่วยศัลยกรรม เวชกรรม และ ผู้ป่วยจิตเวช ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการการดูแลเฉพาะด้าน ซึ่งผู้ป่วยจิตเวชมีถึง 11 คน แม้จะไม่มีอาการรุนแรง แต่ต้องได้รับการฟื้นฟู และติดตามต่อเนื่อง 14–28 วัน จึงต้องย้ายมาด้วย เพราะถ้าขาดยา อาการอาจกลับมากำเริบได้

โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้ถูกจัดแยกออกจากกลุ่มอื่น เพื่อให้สามารถดูแลได้เหมาะสมในพื้นที่สงบ ลดความเครียดกระทบกระเทือนจิตใจ
ระบบขนส่ง – ท้องถิ่นร่วมมือเต็มที่
ส่วนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยกว่า 100 คนในเวลาอันรวดเร็ว เป็นผลจากความร่วมมือของเครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้ง อบต. และองค์กรท้องถิ่น ที่นำรถพยาบาลจากหลายตำบลมาช่วยเคลื่อนย้าย
“ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยสีเหลือง เช่น หอบ ใช้ออกซิเจน ซึ่งต้องใช้รถฉุกเฉินคันละ 1 คน เท่ากับว่าการย้ายผู้ป่วย 80 คน ต้องใช้รถถึง 80 เที่ยว และต้องทำให้เสร็จภายในคืนเดียว”
พญ.แม้นเขียน ชัญถาวร
ทั้งนี้แม้ผู้ป่วยจะย้ายข้ามอำเภอ หรือข้ามเขตสุขภาพ แต่สิทธิการรักษายังสามารถใช้ได้ตามปกติ โดยโรงพยาบาลท่าตูม จะทำเรื่องเบิกจ่ายกับ สปสช. ตามสิทธิของแต่ละราย ซึ่งระบบสามารถรองรับได้ตาม Adjusted RW โดยที่ผู้ป่วยบางคน อาจได้เงินน้อยกว่าหรือมากกว่า ขึ้นกับโรงพยาบาลต้นทางและประเภทผู้ป่วย แต่นโยบายคือให้รักษาต่อเนื่อง ไม่ให้คนไข้ขาดการรักษา

ผู้ป่วย NCDs ในศูนย์พักพิงฯ ก็ต้องไม่ลืมให้ความสำคัญ
อีกกลุ่มที่กำลังกลายเป็น ผู้ป่วยนอก ของโรงพยาบาล คือประชาชนในศูนย์พักพิงฯ กว่า 6,000 คน ซึ่งมีผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (NCD) กว่า 700 คน เช่น เบาหวาน ความดัน และผู้ป่วยที่ต้องรับยาต่อเนื่อง
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขต้องลงพื้นที่คัดกรอง ค้นหาว่าผู้ป่วยรายใดมีนัดรับยา จะหมดยาเมื่อไหร่ แล้วนำข้อมูลมาเชื่อมต่อระบบกับโรงพยาบาลเพื่อให้รับบริการได้ไม่สะดุด
โดย ผอ.รพ.ท่าตูม ย้ำว่า ระบบฐานข้อมูลเชื่อมกันหมด เราเห็นว่าผู้ป่วยคนนี้มีนัดวันไหน ขาดยาเมื่อไหร่ ก็จะจัดคนเข้าไปดูแลทันที

ขณะเดียวกันที่วัดแห่งหนึ่งใน อ.ท่าตูม ได้ถูกปรับพื้นที่ไว้รองรับชาวบ้านกลุ่มเปราะบาง จำนวน 27 คน ซึ่งส่วนใหญ่ที่เป็นผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ รวมกับสมาชิกในครอบครัวที่มาคอยดูแลอยู่ที่นี่ด้วยรวม ๆ กันกว่า 50 คน ซึ่งชาวบ้านกลุ่มนี้ ไม่อยากอพยพไปยังศูนย์พักพิงฯ เพราะกังวลจะเกิดข้อจำกัดการดูแลผู้ป่วย ท้องถิ่น จึงประสานให้มาอยู่ที่วัดแห่งนี้ โดยได้รับการอำนวยความสะดวกจากเจ้าอาวาสวัด และ ผอ.รพ.ท่าตูม ได้จัดส่งพยาบาลงานปฐมภูมิ และเจ้าหน้าที่รพ.สต.ภายในพื้นที่เข้ามาดูแลในส่วนนี้ด้วย
ความพร้อมของบุคลากร “เหนื่อยแต่ไม่ท้อ”
แม้จะมีภาระเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ หมอแวว ก็ยืนยันว่า บุคลากรของโรงพยาบาลท่าตูม ยังคงพร้อมรับสถานการณ์ ทุกคนทราบดีว่าอาจเกิดเหตุฉุกเฉิน และได้ซักซ้อมแผนรับมือมาแล้ว โดยวางระบบไว้รองรับสถานการณ์ 5 วัน แต่ปรับทุกวันตามสถานการณ์จริง บางคนสแตนด์บายตั้งแต่เช้า บ่ายก็ต้องทำงานเลย มันเหนื่อย แต่ทุกคนเข้าใจว่าต้องช่วยกัน
เมื่อถามถึงความรู้สึกต่อสถานการณ์ปะทะบริเวณชายแดน หมอแวว ตอบอย่างตรงไปตรงมา ว่า จริง ๆ ก็น่าจะเป็นเหมือนกับทุกคน คือ ไม่อยากให้เกิด แล้วก็อยากให้จบไว ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกได้ในตัวของเจ้าหน้าที่แต่ละคนคือ พวกเราภูมิใจที่ได้ทำตามศักยภาพของเรา ถึงมันจะดูตึงเครียดบ้าง แต่เราทำได้
“อยากฝากไปบอกพี่ ๆ แนวหน้า ว่าในระบบสาธารณสุขของเรา ก็จะพยายามทำเต็มที่ ทำเต็มกำลังความสามารถของเรา ให้เท่ากับที่พี่ ๆ เสียสละ ปกป้องคุ้มครองเรา และปกป้องประเทศ เราพร้อมทำหน้าที่แนวหลังให้ดีที่สุด เพื่อพี่ ๆ แนวหน้าที่กำลังปกป้องพวกเราอยู่”
พญ.แม้นเขียน ชัญถาวร