ยอมรับ ผูกพันกระทรวงสาธารณสุข พร้อมสนับสนุนเต็มที่ ชี้ Aging Society โจทย์สำคัญ ผู้สูงวัยต้องอยู่ได้โดยไม่เป็นภาระ ขยายการดูแลถึงที่บ้าน เพิ่มกำลังคน บุคลากรทางการแพทย์ เร่งเชื่อมระบบถ่ายโอน รพ.สต. เชื่อมต่อการรักษา
วันนี้ (12 ก.ย. 68) ในงานประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2568 อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ หลังได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งแรก โดยเปิดใจถึงความผูกพันกับกระทรวงสาธารณสุข และประกาศพร้อมสนับสนุนเต็มที่ต่อทุกภารกิจเพื่อประชาชน
โดยช่วงหนึ่งระบุว่า การได้กลับมาพบกับบุคลากรสาธารณสุขในบรรยากาศเช่นนี้ ทำให้รู้สึกเหมือนได้หวนคืนสู่บ้านหลังเดิม หลังจากพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มากว่า 2 ปี แม้จะไปปฏิบัติหน้าที่ด้านอื่น รวมถึงการพักผ่อนระยะสั้น แต่ความผูกพันกับงานสาธารณสุขยังคงอยู่ในใจเสมอ

นายกรัฐมนตรี ยังย้อนความทรงจำว่า เริ่มต้นงานที่กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย เมื่อราว 22 ปีก่อน จนรวมระยะเวลาใกล้ 7 ปี โดยทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับบุคลากรในทุกระดับ ผ่านทั้งความท้าทาย วิกฤต และความสำเร็จ ซึ่งสิ่งที่ทำให้ทุกภารกิจลุล่วง คือ ความร่วมมือร่วมใจของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกฝ่าย
“สิ่งที่เราทำสำเร็จ ไม่ใช่เพราะผม แต่เป็นเพราะความร่วมมือของพวกเราทุกคน”
อนุทิน ชาญวีรกูล
ภูมิใจรางวัล ‘ชัยนาทนเรนธร’ คือ ตัวแทนความสำเร็จของทีมสาธารณสุขไทย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงเกียรติยศที่ได้รับรางวัลชัยนาทนเรนธร ประเภทนักบริหาร เมื่อปีก่อน โดยเข้าเฝ้ารับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า เป็นความภาคภูมิใจสูงสุด แต่ไม่ใช่เกียรติยศส่วนตัว หากเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จร่วมกันของทีมงานและบุคลากรสาธารณสุขทุกคน ซึ่งช่วยกันพัฒนาระบบจนไทยได้รับการยอมรับในเวทีนานาชาติ
พร้อมยกตัวอย่าง บทบาทของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่ยืนหยัดเคียงข้างระบบสุขภาพไทย โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่ได้แสดงศักยภาพจนเป็นที่ประจักษ์
“ทั่วโลกยกย่อง Village Health Volunteer ของไทยว่าเป็นแบบอย่างที่ไม่คาดคิดว่าประชาชนทั่วไปสามารถทำหน้าที่เหมือนหมอและพยาบาลในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
อนุทิน ชาญวีรกูล
Aging Society โจทย์ใหญ่ ต้องอยู่ได้โดยไม่เป็นภาระ
อนุทิน ยังกล่าวถึงการเปลี่ยนผ่านสังคมไทยเข้าสู่ “สังคมสูงวัยสมบูรณ์” ว่า เป็นโจทย์ท้าทายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ปัจจัยทางการแพทย์ บุคลากร และองค์ความรู้ จะช่วยให้คนไทยมีอายุยืนยาวขึ้น แต่สิ่งสำคัญคือต้องทำให้ผู้สูงอายุสามารถพึ่งพาตนเอง ไม่เป็นภาระต่อครอบครัวและรัฐ
“ถ้าอยากอยู่ยาว ต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่เป็นตัวถ่วงลูกหลาน รัฐก็จะมีทรัพยากรเพียงพอมาดูแลประชาชนได้”
อนุทิน ชาญวีรกูล
นายกรัฐมนตรี ยังเสนอให้ปรับรูปแบบการดูแลไปสู่ระบบ Home-based Care เช่น การรักษาที่บ้าน การจัดทีมพยาบาล-เจ้าหน้าที่ไปดูแลผู้ป่วยติดเตียง เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต ไม่ใช่เพียงยืดอายุโดยขาดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
พร้อมอ้างถึงการไปศึกษาดูงานญี่ปุ่น ที่มีระบบ Long-term Care ดูแลผู้สูงอายุครบวงจร รวมถึงจัดหางานให้ผู้สูงวัยทำเพื่อคุณค่าและศักดิ์ศรี เขามองว่าไทยต้องมีแพ็กเกจรองรับลักษณะนี้เช่นกัน และจะหารือกับทีมบริหารสาธารณสุขเพื่อกำหนดเป็นนโยบายรัฐบาล

หนุนผลิตบุคลากร-พัฒนาเทคโนโลยีการแพทย์
นายกรัฐมนตรี ยังเล่าย้อนถึงช่วงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ อว. (การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) ที่ได้ผลักดันการผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขเพิ่มเติม โดยอนุมัติการขยายหลักสูตรและการสนับสนุนมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนสาขาสาธารณสุขและแพทยศาสตร์
“อะไรที่เกี่ยวกับสาธารณสุข ผมอนุมัติทุกเรื่อง อนุมัติโดยอนุทินทุกเรื่อง การตัดสินใจเช่นนั้นช่วยให้ปัจจุบันโรงเรียนแพทย์และโรงพยาบาลต่าง ๆ มีศักยภาพรองรับมากขึ้น”
อนุทิน ชาญวีรกูล
นอกจากนั้น ยังมีความร่วมมือกับภาคเอกชนและหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และสำนักพระราชวัง เพื่อพัฒนาโครงการศูนย์รักษามะเร็งและนำเครื่องมือไฮเทค เช่น เครื่องโปรตอนบำบัดจากจีนเข้ามา พร้อมทั้งย้ำว่าจะเร่งผลักดันโครงการให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว
บทเรียนจากโควิด – ต้องสร้าง Health Literacy
อนุทิน สะท้อนว่า วิกฤตโควิด-19 แม้สร้างความเสียหาย แต่ก็ให้บทเรียนสำคัญ หลายมาตรการในอดีต เช่น การกักตัววงกว้าง การหยุดงานหลายวัน หรือการใช้งบประมาณสูงไปกับแพ็กเกจแยกกัก ไม่สอดคล้องกับประสิทธิภาพการควบคุมโรค
จึงต้องสร้าง Health Literacy และ Medical Literacy แก่ประชาชน เพื่อลดความตื่นตระหนก และป้องกันการสูญเสียงบประมาณโดยไม่จำเป็น สิ่งสำคัญที่สุดคือทำให้คนปลอดภัย และใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า
ทั้งนี้แม้บุคลากรสาธารณสุขจำนวนมากจะเกษียณ แต่ยังคงมีศักยภาพที่จะกลับมาช่วยงานหากเกิดวิกฤต “หมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่หลายท่านยังแข็งแรงและพร้อมกลับมาช่วย ถ้ามีเหตุการณ์วิกฤตทางสาธารณสุข เราระดมได้แน่นอน”
“ผมไม่เป็นกลาง ผมเอียงข้างสาธารณสุข”
อนุทิน กล่าวถึงการถ่ายโอน รพ.สต. ไปยัง อบจ. มีบางพื้นที่ที่เวิร์กดี แต่บางพื้นที่ก็ยังอยู่ระหว่างการตั้งระบบ ประเด็นสำคัญคือ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ถ้าจะเอากลับมาก็จะยิ่งวุ่นวาย เราต้องสร้างระบบรองรับการส่งไม้ต่อและการประสานงานให้เรียบร้อย
สิ่งที่ทุกคนกังวลมากที่สุด คือพอถ่ายโอนแล้ว ถ้าต้องส่งตัวผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข การส่งตัวอาจไม่คล่องตัว เกิดขาดช่วง แต่ถ้าเราทำให้ระบบนี้สมูท ไม่มีการชะงัก เรื่องอื่นก็จะเป็นเรื่องเล็ก เช่น งบประมาณ ก็สามารถเชื่อมต่อกับระบบ สปสช. ได้
“สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าท่านสามารถใช้โอกาสในช่วงที่ผมยังอยู่ และทำให้มันเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น ผมขอให้ความมั่นใจกับทุกท่านว่า ผมจะสนับสนุนเต็มที่”
อนุทิน ชาญวีรกูล
ช่วงหนึ่ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า
“ผมไม่เป็นกลางหรอกครับ ผมเอียงเข้าข้างสาธารณสุข เพราะการเอียงมาข้างนี้คือการยืนอยู่ข้างประชาชน ยืนยันว่ารัฐบาลจะสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขเต็มกำลัง”
อนุทิน ชาญวีรกูล
พร้อมทิ้งท้ายว่า แม้ห่างหายจากกระทรวงไปช่วงหนึ่ง แต่ความผูกพันและความรักที่มีต่อบุคลากรสาธารณสุขยังไม่เสื่อมคลาย “รักกันไม่มีวันหมดอายุยา” พร้อมขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันสร้างสิ่งดีงามให้ระบบสุขภาพไทย เพื่อส่งต่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน
ย้ำ ครม. เกือบสมบูรณ์ รอแค่ตรวจคุณสมบัติ
ภายหลังเสร็จสิ้นการปาฐกถา ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามประเด็นการจัดโผคณะรัฐมนตรี โดยนายกฯ กล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า “เรียบร้อย ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว แต่หลังจากนี้อยู่ที่การตรวจสอบคุณสมบัติ ไม่ได้อยู่ที่ผม” โดยปฏิเสธตอบคำถามเรื่องรัฐมนตรีสาธารณสุขคนใหม่ และทิศทางนโยบายกัญชา ซึ่งยังเป็นที่จับตาของสังคม