กลุ่ม 608 เสี่ยงโรคกำเริบ หากความช่วยเหลือไปไม่ถึง คนแข็งแรงก็ป่วยได้จากความชื้น–ขาดน้ำ–ขาดอาหารต่อเนื่อง แนะรัฐจัด “Master Plan กู้ภัย” พร้อมทีมแพทย์คัดแยกอาการหน้างาน ระดมเรือ–ทีมแพทย์เข้าพื้นที่ ก่อนผู้ประสบภัยทรุดหนักจากภาวะขาดน้ำและโรคเรื้อรัง
วันนี้ (26 พ.ย. 68) สถานการณ์น้ำท่วมใน หาดใหญ่ จ.สงขลา และหลายจังหวัดภาคใต้ยังคงวิกฤตต่อเนื่องเป็นวันที่สี่ ระดับน้ำในหลายพื้นที่ยังทรงตัวในระดับสูง การสัญจรถูกตัดขาด หน่วยกู้ภัยเข้าถึงประชาชนได้ยาก เนื่องจากน้ำเชี่ยวและครอบคลุมเป็นบริเวณกว้าง ทำให้ประชาชนจำนวนมากยังติดค้างอยู่ภายในบ้าน และบนชั้นสอง–ชั้นสามของอาคารที่พัก
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยืดเยื้อ เครือข่ายองค์กรวิชาการและภาคประชาสังคมได้ออกแถลงการณ์เร่งด่วน เรียกร้องให้รัฐบาลจัดตั้ง “ศูนย์ประสานการช่วยเหลือแบบเอกภาพ” และชี้ว่าช่วง 24–48 ชั่วโมงจากนี้ คือช่วงเวลา “ลมหายใจสุดท้าย” ที่จำเป็นต้องเร่งเข้าไปช่วยผู้ที่ยังติดอยู่ในพื้นที่เสี่ยง หากล่าช้าอาจทำให้เกิดการสูญเสียจำนวนมาก
The Active คุยกับ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรสกุล อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปอด และนายกสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อประเมินความเสี่ยงเร่งด่วนต่อสุขภาพประชาชน และสิ่งที่รัฐต้องเร่งทำทันที
สองกลุ่มเสี่ยงหลัก หากไม่ถึงมือแพทย์ทันอาจอันตราย
รศ.นพ.นิธิพัฒน์ อธิบายว่า ประชาชนที่ติดค้างในพื้นที่น้ำท่วมสามารถแบ่งเป็นสองกลุ่มความเสี่ยงใหญ่ ๆ ได้แก่
- ผู้ที่สุขภาพแข็งแรงเดิม แม้เป็นคนแข็งแรง ก็ป่วยใหม่ได้ง่ายมากในสภาพชื้นเย็นและเครียดต่อเนื่อง
- คนกลุ่มนี้แม้ไม่มีโรคประจำตัว แต่การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ขาดอาหาร–น้ำดื่ม พักผ่อนไม่เพียงพอ และต้องตากความชื้นต่อเนื่องหลายวัน อาจทำให้เกิด
- การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ
- ไข้หวัด
- การอักเสบในปอด
- การติดเชื้อทางเดินอาหารและท้องเสีย
- คนกลุ่มนี้แม้ไม่มีโรคประจำตัว แต่การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ขาดอาหาร–น้ำดื่ม พักผ่อนไม่เพียงพอ และต้องตากความชื้นต่อเนื่องหลายวัน อาจทำให้เกิด
- กลุ่มเปราะบาง 608 – เด็กเล็ก คนท้อง ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคเรื้อรัง
- กลุ่มนี้ถือว่าเสี่ยงสูงกว่า เพราะนอกจากจะเผชิญความเสี่ยงเช่นเดียวกับคนทั่วไปแล้ว โรคประจำตัวอาจกำเริบกะทันหัน เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน โรคปอด หรือโรคไต ซึ่งต้องได้รับการดูแลโดยแพทย์อย่างรวดเร็ว
- หากโรคกำเริบ และความช่วยเหลือไปไม่ถึง ก็อาจเกิดเหตุการณ์เศร้าสลดได้ เราต้องรู้ว่ากลุ่มเสี่ยงอยู่ตรงไหน และเข้าไปให้ถูกลำดับเร่งด่วนที่สุด
รัฐต้องตั้ง “Master Plan กู้ภัย” พร้อมทีมแพทย์ประเมินอาการทันทีที่เข้าถึง
นพ.นิธิพัฒน์ ระบุว่า ระบบกู้ภัยต้องจัดลำดับพื้นที่และจัดทำข้อมูลว่าในแต่ละจุดมีผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงจำนวนเท่าใด พร้อมวางแผนการเข้าไปช่วยเหลือแบบเจาะจง
สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือ ทีมแพทย์–บุคลากรสุขภาพที่สามารถคัดแยกอาการหน้างาน เพื่อประเมินว่าใครต้องได้รับการช่วยเหลือด่วน ส่งต่อด้วยเรือหรืออากาศยาน ขึ้นกับความรุนแรงและสภาพพื้นที่
“ต้องมีทีมที่ประเมินได้ทันทีว่าใครต้องนำส่งโรงพยาบาลด่วน ใครรักษาเบื้องต้นได้ และต้องมีแผนการส่งต่อที่ชัดเจนในแต่ละพื้นที่ย่อย”
ภาวะขาดน้ำ–อาหาร ตัวเร่งให้ร่างกายอ่อนล้าเร็วขึ้น
รศ.นพ.นิธิพัฒน์อธิบายว่า โดยทั่วไปมนุษย์สามารถขาดน้ำได้ประมาณ 24–72 ชั่วโมง ขาดอาหารได้ 5–7 วัน แต่ในสถานการณ์สาธารณภัยจริง ตัวแปรทางจิตใจ ความเครียด การหลบภัย และอันตรายจากสัตว์ที่หนีน้ำ จะทำให้ร่างกายทรุดเร็วกว่าในภาวะปกติ
“ในสถานการณ์จริง เวลาที่ทนได้จะสั้นลงมาก เพราะมีความกลัว ความกังวล และสิ่งคุกคามอื่น ๆ อีก”
สำหรับ ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่ยังติดอยู่บนชั้นสอง–ชั้นสาม นพ.นิธิพัฒน์ แนะว่า ประชาชนที่ยังรอความช่วยเหลือควรพยายามจัดการสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยที่สุดในข้อจำกัด เช่น
- ระวังสัตว์มีพิษที่อาจหนีน้ำขึ้นมา
- ระวังอุบัติเหตุจากการเดินในที่มืด
- พยายามสื่อสารออกมาภายนอกให้ได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะแจ้งรายชื่อผู้ป่วย–ผู้เปราะบางในบ้าน
- ระวังการเจ็บป่วยจากการตากลม–ตากฝนบนหลังคาหรือดาดฟ้า
อีกปัญหาสำคัญคือ “ยา” ที่ผู้ป่วยโรคเรื้อรังหลายคนไม่ได้หยิบติดตัวออกมา ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนง่ายขึ้นเมื่อโรคกำเริบ
ชุดช่วยเหลือที่ต้องมีในเรือกู้ภัย คัดแยกก่อน ช่วยเหลือเร็วที่สุด
สำหรับการนำเรือเข้าไปช่วยเหลือประชาชนจำนวนมากในเวลาจำกัด นพ.นิธิพัฒน์ ระบุว่า ทีมกู้ภัยควรประกอบด้วย
- บุคลากรสุขภาพที่ชำนาญด้านการประเมินฉุกเฉิน
- อุปกรณ์สำหรับคัดแยกอาการผู้ป่วย (Triage)
- น้ำดื่มในปริมาณจำเป็น
- อาหารสำเร็จรูปที่เก็บง่าย ไม่เปลืองพื้นที่ คล้ายเสบียงฉุกเฉินของหน่วยทหาร
- ชุดการแพทย์เบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
- อุปกรณ์ช่วยสื่อสารฉุกเฉิน
นพ.นิธิพัฒน์ บอกด้วยว่า เมื่อพื้นที่ถูกน้ำท่วมสูง เรือแต่ละลำมีข้อจำกัดเรื่องน้ำหนักและพื้นที่ ดังนั้นสิ่งของที่ขนไปต้องเป็น “ของจำเป็นที่สุด” เพื่อช่วยชีวิตก่อน หากรัฐไม่สามารถระดมทีมกู้ภัย–แพทย์ให้เข้าถึงประชาชนได้ภายในเวลา 1–2 วันนี้ อาจเกิดความสูญเสียจำนวนมาก เนื่องจากผู้ป่วยเริ่มอ่อนแรงจากการขาดน้ำ–อาหาร และโรคเดิมที่เริ่มกำเริบในหลายพื้นที่
