จันทร์นี้เตรียมแจ้งข้อหา”เอ็ม ส่องศักดิ์”เพิ่ม ปมทำร้ายลูก 2 คนเสียชีวิต ด้านนักอาชญาวิทยา ชี้ความรุนแรงในครอบครัวจุดเริ่มต้นของการฆาตกรรม ที่สังคมไทยมองเป็นเรื่องธรรมดา
24 ก.ย.2566 พลตำรวจตรีนพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีคดีนายส่งศักดิ์ หรือเอ็ม ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมลูก 2 คน พร้อมภรรยา โดยจากนี้จะเป็นการแสวงหาข้อมูลจากสถานพยาบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบหาประวัติศพไร้ญาติ แต่ในเบื้องต้นได้ตรวจสอบจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์กระทรวงยุติธรรม , โรงพยาบาลภูมิพล ในห้วงปีที่เกิดเหตุแล้ว ไม่พบข้อมูลดีเอ็นเอที่ตรงกัน และขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลจากรถเก็บขยะอีกทางหนึ่ง ซึ่งรถที่เก็บขยะในย่านดังกล่าวจะเก็บไปรวมไว้ที่ท่าแร้งจากนั้นจะส่งต่อไปยังกำแพงแสน พร้อมฝากถึงประชาชน ที่อาจจะพบเห็นเหตุการณ์หรือพบเห็นข่าวสารในการพบศพไร้ญาติในช่วงปี 2559 และปี 2561 ขอให้เข้าประสานข้อมูลกับตำรวจ เพื่อเป็นประโยชน์ในทางการสืบสวนคดี
รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่า และอีกสองศพอยู่ระหว่างการติดตามหาหลักฐาน แต่สำหรับสองศพที่เกิดขึ้นในบางซื่อมีความชัดเจนในเรื่องของดีเอ็นเอแล้ว ในวันจันทร์ที่ 25 ก.ย.นี้ จะเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายส่องศักดิ์เพิ่มเติมในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 5 ข้อหา เช่นเดียวกับที่แจ้งต่อนางสาวเจษฎา ผู้เป็นภรรยาและแม่ของเด็กที่เสียชีวิต ประกอบด้วย ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นได้รับอันตรายสาหัส ,ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย,ลอบฝัง ซ่อนเร้นย้าย หรือทำลายศพ หรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการเกิดการตายหรือเหตุแห่งการตาย ,ผู้ใดเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษ หรือให้รับโทษทำให้เสียหายทำลายซ่อนเร้นเอาไปเสียหรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งหลักฐานในการกระทำความผิดและร่วมกันกระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพ หรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไปหรือเพื่ออำพรางคดีส่วนคดีค้ามนุษย์ พนักงานสอบสวนได้ประสานกับเจ้าหน้าที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แล้วเบื้องต้นตัวเด็กยังไม่พร้อมที่จะพูดคุย
โดยในระหว่างนี้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานแวดล้อมทั้งการสอบปากคำพยานไปจนถึงหลักฐานที่ได้จากสถานพยาบาลที่เด็กคลอด และยืนยันได้แล้วว่า
“เด็กเกิดมาในสภาพร่างกายปกติจึงน่าเชื่อได้ว่า การที่เด็กมีสภาพร่างกายผิดปกตินั้น จากการทำร้าย โดยจะเข้าไปสอบปากคำนางสุนัน เพิ่มเติมถึงประเด็นนี้ด้วย”
แต่ในการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ จากพฤติการณ์นำภาพของเด็กมาโพสต์หาผลประโยชน์ในสื่อออนไลน์ ขณะนี้มีผู้เข้าข่ายร่วมกระทำความผิด 2 คน คือนายส่องศักดิ์และนางสาวเจษฎา ซึ่งจะเร่งรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วน เพื่อแจ้งความดำเนินคดีให้ได้โดยเร็วที่สุด
กนกวรรณ ด้วงเขียว แอดมินเพจนักสังคมสงเคราะห์เล่าเรื่อง ระบุว่า การเปิดรับบริจาคด้วยการใช้เด็กหรือการทำให้เด็กบาดเจ็บเพื่อขอรับเรียกเงินเหมือนกรณีนี้มีมาก หากเราอยากจะช่วยเหลือจริงๆ ควรเป็นผู้ประสานให้เข้าถึงหน่วยงานที่ให้การช่วยเหลือมากกว่า
“การเป็นผู้ประสานจะเป็นการช่วยเหลือที่ยั่งยืนและเป็นการให้ข้อมูลเชิงลึกมากกว่า เพราะเราไม่รู้ว่าเงินที่เราบริจาคไปจะไปถึงคนที่เราอยากจะช่วยจริงแค่ไหน”
ส่วนในคดีที่นายส่องศักดิ์ ร่วมกระทำความผิดกับนางสาวสุนัน กรณีทำร้ายลูกจนเสียชีวิตและย้ายศพไปโบกปูนที่จังหวัดกำแพงเพชรนั้น ก็ยังอยู่นะหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อจะพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาในคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่น
พลตำรวจตรีนพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยด้วยว่า เบื้องต้น จากการสอบปากคำพยานแวดล้อม พบมูลเหตุจูงใจที่นายทรงศักดิ์มักจะก่อเหตุกับลูกผู้ชายแล้ว โดยนายทรงศักดิ์ไม่ชอบเด็กผู้ชายและไม่สามารถทนต่อเสียงดังได้ เมื่อได้ยินเสียงเด็กร้องก็จะโมโหร้ายและทำร้ายร่างกายลูก ส่วนลูกสาวที่มีกับนางสาวสุนัน และนายส่องศักดิ์ลงมือทำร้ายจนเสียชีวิตนั้น จากข้อมูล คือ ลูกสาวมีใบหน้าคล้ายผู้ชาย ขณะที่ข้อมูลจากคำให้การของผู้เป็นพ่อให้ข้อมูลว่า เมื่อประมาณ 20 ปีก่อนนายส่องศักดิ์เคยบังคับให้น้องสาวดื่มยาพิษ เมื่อน้องสาวขัดขืนก็ใช้มีดจี้บังคับ พอผู้พ่อเข้าห้ามปรามนายส่องศักดิ์ ก็ทำร้ายด้วยการต่อยตี จึงตัดขาดสายสัมพันธ์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ขณะที่ภรรยาคนแรก ให้ข้อมูลว่า นายส่องศักดิ์ ใช้มีดจี้บังคับให้ไปจดทะเบียนสมรส ซึ่งหลังจดทะเบียนสมรสสำเร็จก็หย่าขาดจากกันและไม่ติดต่ออีกเลย
ทีมข่าวไทยพีบีเอสสอบถามเพิ่มเติมจาก ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยาเชิงจิตวิทยาและพฤติกรรมอาชญากร ม.มหิดล ระบุว่าปกติแล้วคนที่ไม่ป่วยจิตเวชก็สามารถเป็นฆาตกรต่อเนื่องได้ ซึ่งถือเป็นคนที่ผิดปกติทางพฤติกรรมและความคิด โดยเหตุผลของการก่อเหตุ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากสาธารชนหรือเป็นไปเพื่อรับผลประโยชน์ ส่วนกรณีนี้ถือว่าเข้าข่ายเหตุผลที่สองและเป็นการฆาตกรรมต่อเนื่อง และดูจากพฤติกรรมแล้วที่ชอบใช้ความรุนแรงกับภรรยานี่ถือเป็นสัญญาณ
“ความรุนแรงในครอบครัวที่เริ่มต้นจากภรรยา สามี หากเขาทำกับภรรยาได้ เขาก็จะทำกับลูกได้ ทำไมสังคมไทยถึงมองความรุนแรงในครอบครัวแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา ทั้งๆ ที่หลายครั้งกำนัน ผู้นำท้องถิ่นต้องรู้อยู่แล้วว่าเขาทำร้ายภรรยาอยู่บ่อยๆ แต่สังคมไทยกลับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา”