เผย ปี 2566 เหยื่อถูกกระทำความรุนแรง ถูกคุกคามทางเพศพุ่ง พบ เหล้า-ยาเสพติด ตัวกระตุ้น ภาคประชาชน จ่อยืน 26,729 รายชื่อต่อสภาฯ หนุนร่างกฎหมาย เดินหน้ารณรงค์ ยุติแนวคิดสังคมชายเป็นใหญ่ ชี้ คนทำผิดต้องได้รับโทษ ไม่เน้นไกล่เกลี่ย ซุกปัญหาไว้ใต้พรม เหมือนที่ผ่านมา
วันนี้ (9 ก.ย. 68) เครือข่ายต่อต้านความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศประเทศไทย ร่วมกับ ชมรมสมาชิกรัฐสภาสตรีไทย, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล จัดเสวนา “กฎหมายจะช่วยยุติความรุนแรงทางเพศและความรุนแรงในครอบครัวได้อย่างไร ?” เพื่อนำเสนอปัญหาความรุนแรง คุกคามทางเพศในประเทศไทย พร้อมสนับสนุน ร่างกฎหมายคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวฉบับประชาชน

จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ในฐานะตัวแทนเครือข่ายต่อต้านความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศประเทศไทย กล่าวว่า ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ. …. หรือ ร่างกฎหมายคุกคามทางเพศ ซึ่งผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของประเทศไทย ที่เห็นว่าการคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงทางเพศควรได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
โดยขณะนี้ภาคประชาชน อยู่ในช่วงเตรียมยื่น ร่างกฎหมายคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว ฉบับประชาชน ที่มีประชาชนมาร่วมลงชื่อสนับสนุนร่างฯ กว่า 26,729 รายชื่อ คาดหวังว่า ภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้เงื่อนไขกรอบระยะเวลาในการทำงาน 4 เดือนหลังจากนี้ จะเร่งผลักดันร่างฯ ฉบับดังกล่าวบรรจะเข้าสู่วาระในสภาฯ พร้อมรณรงค์ให้สังคมเห็นความสำคัญ ยุติแนวคิดสังคมชายเป็นใหญ่ ที่เป็นรากฐานสำคัญของการกระทำความรุนแรง


มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล
“กระทรวง พม. ควรเร่งเสนอร่างกฎหมายคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว เข้าสู่สภาฯ โดยเร็วที่สุด เพื่อประกบคู่กับภาคประชาชน ระยะเวลาทำงานของรัฐบาลชุดนี้มีระยะเวลา 4 เดือน ไม่ต้องทำอะไรมาดูเรื่องนี้ ความรุนแรงต่าง ๆ ในสังคมก็จะดีขึ้นกว่าปัจจุบันแน่นอน”
จะเด็จ เชาวน์วิไล
ปี 66 กรณีคุกคามเพศ ความรุนแรงในครอบครัวพุ่ง เหล้า-ยาเสพติด ตัวกระตุ้น
อังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ระบุว่า จากการรวบรวมข่าวความรุนแรงในครอบครัวที่เสนอผ่านสื่อในปี 2566 รวม 1,086 ข่าว มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยกระตุ้น 29.1% ยาเสพติด 26.1% โดยแบ่งเป็น 5 ประเภทข่าว
- ทำร้ายกัน 39.9% เป็นเรื่องระหว่างสามี-ภรรยามากที่สุดกว่า 1 ใน 3
- ฆ่ากัน 35.7% เกือบครึ่งเกิดในคู่สามี-ภรรยา
- ฆ่าตัวตาย 19.6%
- ความรุนแรงทางเพศของคนในครอบครัว 4.2% โดยเกิดระหว่างเครือญาติ พ่อเลี้ยงทำกับลูกเลี้ยง พ่อทำกับลูกแท้ ๆ กว่าหนึ่งในสี่
- ความรุนแรงในครอบครัวอื่น ๆ 0.6%
สำหรับข่าวความรุนแรงทางเพศ ในปี 2566 มี 194 ข่าว แบ่งเป็น
- ข่มขืน 44.3%
- อนาจาร 20.1%
- การคุกคามทางเพศ(การใช้วาจา เช่น พูดจาแทะโลม/ชวนคุยเรื่องเพศ/เรื่องเซ็กซ์ทอย/ชวนมีเพศสัมพันธ์) 11.4%
- กรณีชายกระทำต่อชาย 7.2%
- พยายามข่มขืน 6.2%
- การบังคับค้าประเวณี 4.6%
- รุมโทรม 4.1%
- พรากผู้เยาว์ 2.1%
ความสัมพันธ์ของผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ พบว่า
- คนรู้จัก (ครู คนที่อาศัยอยู่ใกล้กัน อดีตแฟน เพื่อนในวงเหล้า) 47.1%
- คนในครอบครัว (พ่อเลี้ยงกระทำลูกเลี้ยง พ่อกระทำลูก ลุงกระทำหลาน) 24.3%
- คนแปลกหน้า 22.8%
- คนที่รู้จักกันผ่านโซเชียลมีเดีย 5.8%

โดยช่วงอายุส่วนใหญ่ของผู้ที่ถูกกระทำ ประกอบด้วย
- อายุ 11-15 ปี 39.8%
- อายุ 6-10 ปี 20.0%
- อายุ 16-20 ปี 18.5%
โดยพบผู้ถูกกระทำที่มีอายุน้อยสุด เป็นเด็กหญิงวัย 3 ขวบ ถูกครูกระทำอนาจาร และกรณีหลานสาวถูกปู่เมาเหล้าข่มขืน ส่วนผู้ถูกกระทำที่มีอายุมากสุด 69 ปี ถูกลูกชายติดยาเสพติด/ติดเหล้าข่มขืน สำหรับปัจจัยกระตุ้น มาจากการใช้ยาเสพติด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หึงหวง และอ้างเกิดอารมณ์ทางเพศ
ทั้งนี้หากเทียบเคียงปัจจัยกระตุ้นความรุนแรงในครอบครัวและความรุนแรงทางเพศ จะพบว่า ยาเสพติดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จาก ‘ร่าง กม.คุกคามทางเพศ’ สู่การผลักดัน ‘ร่าง กม.ความรุนแรงในครอบครัว’
พัชรินทร์ ซําศิริพงษ์ รองประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ. …. (ร่างกฎหมายคุกคามทางเพศ) บอกว่า จากบทเรียนการพิจารณาร่างกฎหมายคุกคามทางเพศ ทุกครั้งที่มีข่าวข่มขืนกระทำชำเราหลายคน จะเรียกร้องว่าข่มขืนเท่ากับประหาร จริง ๆ ทุกวันนี้ก็เท่ากับประหารอยู่แล้ว แต่ทำไมกฎหมายไม่สามารถลดการกระทำผิดเหล่านี้ได้
ส่วนหนึ่ง มองว่า สังคมต้องฉุกคิดว่ากฎหมายเพียงพอแล้วหรือยัง ซึ่งจากประสบการณ์พิจารณาร่างฯ ที่ผ่านมา สิ่งที่ทำคือพยายามพัฒนากฎหมายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถบังคับใช้ได้จริงและเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ไม่สร้างภาระให้กับผู้บังคับใช้ ประชาชน หรือการนำไปใช้ในทางที่ผิดสิ่ง ที่สำคัญคือกฎหมายที่ออกมาต้องสร้างความตระหนักรู้ให้กับทุกคนว่ากฎหมายฉบับนี้ออกมาเพื่ออะไร ก็เพื่อป้องกันไว้โดยไม่ต้องรอให้เกิดเหตุแล้วต้องไปทำคนอื่นอีก


ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.พรรคประชาชน และรองประธานชมรมสมาชิกรัฐสภาสตรีไทย ย้ำว่า ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องที่สังคมถกเถียงมาอย่างยาวนาน ด้วยความเชื่อว่าเรื่องในครอบครัวเป็นเรื่องที่คนนอกไม่ควรเข้าไปยุ่ง หรือเป็นเรื่องส่วนตัวที่ครอบครัวสามารถจัดการกันเองได้ ซึ่งส่วนตัวที่เคยเห็นการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ยืนยันว่า ผู้ที่ถูกกระทำความรุนแรงต้องการความช่วยเหลือแต่อาจจะไม่มีความกล้า หรือถูกสอนจนมีทัศคติที่ว่าการถูกตีเป็นการแสดงความรัก
โดยปัญหาปัจจุบันมีความรุนแรง และซับซ้อนมากขึ้น และจำนวนไม่น้อยพบว่ามีสารเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยการทำงานหลายมิติและหลายระดับควบคู่กันไป ทั้งเชิงป้องกันและการแก้ไขปัญหา และต้องมีการทำงานทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน หน่วยงานรัฐ เอกชน และในระดับกฎหมายและนโยบาย
พร้อมตั้้งข้อสังเกตว่า เหตุใดการใช้ความรุนแรงกับบุคคลทั่วไป จึงมีโทษหนักกว่าการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ทั้งที่ความรุนแรงในครอบครัวสามารถหล่อหลอมให้เด็กคนหนึ่งโตขึ้นมาเป็นผู้กระทำ หรือเฉยชา กับความรุนแรงในสังคม สะท้อนว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงทางเพศและความรุนแรงในครอบครัวที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันยังมีช่องว่างทั้งในแง่หลักการ ขอบเขต ตัวบทของกฎหมาย และประสิทธิภาพการบังคับใช้ เหยื่อส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายอย่างเต็มประสิทธิภาพ และกฎหมายยังไม่ได้นำไปสู่การขจัดหรือลดปัญหาความรุนแรง
“หลายเหตุการณ์สะท้อนว่าเด็กที่โตมาท่ามกลางความรุนแรงในครอบครัว สามารถนำไปสู่โศกนาฏกรรมได้ ดังนั้น สังคม การศึกษา จะทำอย่างไรให้มองเห็นปัญหาร่วมกัน ไม่มองความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ”
ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์
พร้อมคาดหวังว่าการเสวนาวันนี้จะสามารถสร้างความเข้าใจและเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ. …. หรือ ร่างกฎหมายคุกคามทางเพศ ซึ่งผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. …. (ฉบับภาคประชาชน) ที่จัดทำโดยเครือข่ายต่อต้านความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศประเทศไทยซึ่งอยู่ระหว่างการสรุปรายชื่อประชาชนผู้ร่วมเสนอกฎหมายเพื่อยื่นต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป


ด้วยเหตุแห่งเพศประเทศไทย
ภาคประชาชน จ่อยืน 26,729 รายชื่อ ต่อสภาฯ
ย้ำคนทำผิดต้องได้รับโทษ ไม่เน้นไกล่เกลี่ย ซุกปัญหาไว้ใต้พรม
ขณะที่ วราภรณ์ แช่มสนิท ตัวแทนเครือข่ายต่อต้านความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศประเทศไทย กล่าวว่า เครือข่ายต่อต้านความรุนแรงฯ ซึ่งประกอบด้วย 13 องค์กรภาคประชาสังคมที่ได้ร่วมกันจัดทำ ร่าง กม.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ… เนื่องจากฉบับปี 2550 ที่บังคับใช้อยู่นี้ยังมีช่องว่างที่สำคัญ คือแทนที่จะเน้นการคุ้มครองคนในครอบครัวที่ถูกกระทำรุนแรง กลับให้น้ำหนักกับการไกล่เกลี่ยเพื่อให้ครอบครัวที่มีการใช้ความรุนแรงยังต้องอยู่ด้วยกันต่อไป และไม่เน้นการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง ทำให้คนที่ใช้ความรุนแรงลอยนวลและมีโอกาสที่จะก่อเหตุซ้ำ และอาจร้ายแรงยิ่งขึ้น
“ร่างกฎหมายความรุนแรงในครอบครัวฉบับภาคประชาชน พยายามอุดช่องว่างหลายประการที่มีอยู่ในกฎหมายปัจจุบัน เราเขียนกฎหมายโดยให้น้ำหนักกับการคุ้มครองผู้ถูกกระทำ โดยถือเอาความปลอดภัยและความต้องการของผู้ถูกกระทำเป็นสิ่งสำคัญ ที่สำคัญ เราเน้นย้ำด้วยว่ากฎหมายต้องมีกลไกที่จะทำให้ผู้ที่ใช้ความรุนแรงต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตน โดยกำหนดให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวต้องได้รับโทษตามฐานความผิดที่ปรากฏอยู่แล้วในประมวลกฎหมายอาญา”
วราภรณ์ แช่มสนิท
สำหรับคำถามว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ จะเปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิดกลับตัวหรือไม่ ? วราภรณ์ อธิบายว่า หากประสงค์การยอมความคดีความรุนแรงในครอบครัวต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของกฎหมาย และความประสงค์ของผู้ถูกกระทำ นอกจากนี้ ยังกำหนดให้รัฐต้องจัดให้มีกลไกการช่วยเหลือผู้ถูกกระทำรุนแรงให้ชัดเจน และครอบคลุมมากขึ้นด้วย เหล่านี้เป็นจุดแข็งของร่างกฎหมายฉบับนี้ ทำให้มีประชาชนมาร่วมลงชื่อสนับสนุนการเสนอร่างกฎหมายนี้แล้ว 26,729 รายชื่อ และทางเครือข่ายฯ จะยื่นร่างกฎหมายพร้อมรายชื่อต่อสภาฯ ในเร็ว ๆ นี้ และยังหวังว่ารัฐบาลใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นจะให้ความสำคัญกับกฎหมายฉบับนี้ด้วย