ยื่นเอาผิดทุนเหมืองโปแตช ครอบครองวัตถุระเบิดเกินกำหนด

‘กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด’ ข้องใจ ทั้งที่ EIA ระบุไม่จำเป็นต้องใช้ ย้ำ หน่วยงานรัฐต้องโปร่งใส จี้ เร่งตรวจสอบปมเสียงคล้ายระเบิดในพื้นที่ ขณะที่ กสม. เล็ง ยื่น มท.ยับยั้งอนุมัติใช้ระเบิด – ละเมิดสิทธิมนุษยชน

เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 68 นักปกป้องสิทธิมนุษยชน กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด พร้อม กริษภูมิ นิลนามะ ทนายความสิทธิมนุษยชน ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อนายอำเภอด่านขุนทด เพื่อเรียกร้องให้ดำเนินการเอาผิดต่อ บริษัท ไทยคาลิ จำกัด ในกรณีมีวัตถุระเบิดโดยไม่มีใบอนุญาต หลังพบความผิดปกติหลายอย่างในการขอนุญาตใช้ระเบิดและการครอบครองวัตถุอันตรายเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ทั้งที่รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ปี 2556 ระบุชัดเจนว่าโครงการทำเหมืองใต้ดินไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุระเบิด

เนื้อหาในหนังสือที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทดยื่นต่อนายอำเภอด่านขุนทด ระบุว่า กลุ่ม ฯ ได้ติดตามการดำเนินการของบริษัทไทยคาลิฯ มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเด็นการใช้วัตถุระเบิด ซึ่งพบว่าบริษัทฯ ยื่นขออนุญาตเพื่อใช้ในการทำเหมืองหิน ทั้งที่ข้อเท็จจริง คือ การทำเหมืองโปแตชใต้ดิน ซึ่งรายงาน EIA ที่ได้รับความเห็นชอบในปี 2556 ระบุไว้ในบทที่ 1 อย่างชัดเจนว่า “จะไม่มีการใช้วัตถุระเบิดในการทำเหมือง”

ข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้นักปกป้องสิทธิฯ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ ตั้งข้อสังเกตว่าบริษัทฯ ไม่มีความจำเป็นต้องขออนุญาตใช้วัตถุระเบิดตั้งแต่แรก เพราะไม่มีมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการใช้ระเบิดในรายงาน EIA รวมถึงไม่มีแผนผังโครงการที่เกี่ยวข้อง การที่ปรากฏว่ามีการก่อสร้างโรงเก็บวัตถุระเบิดจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงแผนผังโครงการอย่างชัดเจน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ ย่อมทราบดีว่าตนไม่มีคุณสมบัติในการขออนุญาต

นอกจากนี้ กลุ่มฯ ยังพบว่าบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาต ซื้อ มี และใช้วัตถุระเบิด (แบบ ป.5) ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2559 และใบอนุญาตสิ้นสุดในวันที่ 27 มีนาคม 2560 แต่กลับมีการครอบครองวัตถุระเบิดไว้นานกว่า 2 ปี จนถึงวันที่ 26 มีนาคม 2562 ซึ่งเจ้าหน้าที่ชุดทำลายวัตถุระเบิด (EOD) ได้เข้าดำเนินการทำลาย

การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 37, 38 และ 41 ซึ่งมีโทษปรับและจำคุก นอกจากนี้ ยังพบว่าบริษัทฯ มีการครอบครองยุทธภัณฑ์โดยไม่มีใบอนุญาตนานกว่า 10 เดือน หลังใบอนุญาตมีซึ่งยุทธภัณฑ์ (แบบ ย.ภ. 5) สิ้นสุดลงในวันที่ 23 พฤษภาคม 2561

ด้วยเหตุนี้ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด จึงขอให้อำเภอด่านขุนทดในฐานะนายทะเบียนท้องที่ ดำเนินการเอาผิดกับบริษัท ไทยคาลิ จำกัด ตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด ทั้งในเรื่องการให้ข้อมูลเท็จและการครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

จี้อำเภอ เร่งเปิดเผยความจริง ปมเอกสารเหมืองแร่–ครอบครองวัตถุระเบิด

จุฑามาส ศรีหัตผดุงกิจ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและที่ปรึกษากลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด บอกว่า ในปี 2559 บริษัทเอกชนรายนี้เคยยื่นขออนุญาตใช้วัตถุระเบิด แต่หลังจากใบอนุญาตสิ้นอายุลงกลับยังมีการถือครองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเข้าข่ายเป็นการครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ถือว่าความผิดสำเร็จแล้วอย่างชัดเจน

“เมื่อความผิดเกิดขึ้นชัดเจนเช่นนี้ นายทะเบียนท้องที่อย่างอำเภอด่านขุนทดจำเป็นต้องดำเนินการเอาผิดกับบริษัทเอกชนดังกล่าว เรามาติดตามทวงถามเรื่องนี้ต่อเนื่อง เพราะตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเราได้ยื่นหนังสือขอข้อมูลและเอกสารแล้ว แต่จนบัดนี้ยังไม่ทราบว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอย่างไร”

จุฑามาส ศรีหัตผดุงกิจ
จุฑามาส ศรีหัตผดุงกิจ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและที่ปรึกษากลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด

ที่ปรึกษากลุ่มฯ ยังย้ำว่า ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้ยื่นหนังสืออีกครั้งเพื่อขอตรวจสอบเพิ่มเติม แต่จนถึงปัจจุบันยังไร้คำตอบจากหน่วยงานรัฐ จึงต้องเข้ามาสอบถามตรงกับหน่วยงานต้นทางคือที่ว่าการอำเภอด่านขุนทด หากนายอำเภออยู่ในพื้นที่ก็อยากให้ออกมารับหนังสือด้วยตนเอง เพื่อแสดงถึงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

จงดี มินขุนทด นักปกป้องสิทธิมนุษยชน กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด บอกว่า ที่ผ่านมาแม้ประชาชนจะเคลื่อนไหวและยื่นหนังสืออย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่มีความคืบหน้าจากฝ่ายราชการ ทั้งที่ทุกขั้นตอนเอกสารและการอนุญาตเริ่มต้นจากที่ว่าการอำเภอด่านขุนทด จึงต้องการฟังคำชี้แจงจากนายอำเภอโดยตรง ว่าได้มีการดำเนินการหรือส่งเรื่องใดไปบ้าง

พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า เอกสารสำคัญซึ่งควรอยู่ในพื้นที่อำเภอด่านขุนทด กลับถูกปฏิเสธว่าไม่มี แต่เมื่อไปตรวจสอบหน่วยงานอื่นกลับพบว่าเอกสารดังกล่าวมีอยู่จริง จึงตั้งคำถามว่าเหตุใดอำเภอจึงปฏิเสธข้อมูลและโกหกประชาชนซ้ำแล้วซ้ำเล่า หน่วยงานรัฐควรยืนเคียงข้างประชาชน ปกป้องสิทธิและความเดือดร้อนในพื้นที่ ไม่ใช่เพิกเฉยหรือทำเหมือนเป็นเจ้าของเหมืองเอง ขณะที่ผลกระทบจากการทำเหมืองและอุตสาหกรรมในพื้นที่ยังเกิดขึ้นทุกวัน แต่คนในท้องถิ่นกลับได้ประโยชน์เพียงเล็กน้อย

“วันนี้เราไม่ได้มาเพราะอยากมา แต่เพราะเดือดร้อนจริง ๆ ทุกครั้งที่มายื่นเรื่องก็เหมือนถูกมองว่าเป็นตัวปัญหา ทั้งที่เราคือพ่อแม่ ปู่ย่าตายายในพื้นที่ที่ต้องการปกป้องแผ่นดิน”

จงดี มินขุนทด
จงดี มินขุนทด นักปกป้องสิทธิมนุษยชน กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด

ประภัสสร สิริ ปลัดอำเภออาวุโส ซึ่งเป็นผู้มารับหนังสือแทนนายอำเภอด่านขุนทด บอกว่า ปัญหาที่ชาวบ้านสะท้อนมีหลายประเด็น ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่เคยหารือกันมาอย่างต่อเนื่อง จึงขอรับเรื่องร้องเรียนทั้งหมดไว้ และจะนำเรียนท่านนายอำเภอฯ เพื่อพิจารณา รวมทั้งรายงานต่อไปยังจังหวัดตามขั้นตอนต่อไป หลายเรื่องที่ชาวบ้านสะท้อนถือว่ามีข้อมูลเพียงพอที่จะใช้ประกอบการแก้ไขปัญหาในพื้นที่

PI ย้ำรัฐต้องเร่งตรวจสอบและคุ้มครองสิทธิฯ

สุธีรา เปงอิน องค์กรโพรเทคชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล (PI) ระบุว่า การใช้สิทธิทางกระบวนการยุติธรรมครั้งนี้เพื่อให้ตรวจสอบการความไม่ชอบธรรม และดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายกับบริษัท ไทยคาลิ จำกัด มิใช่เพียงการหยุดยั้งการทำเหมืองแร่โปแตชเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อปกป้องสิทธิพลเมือง สิทธิในการมีสิ่งแวดล้อมที่ดี สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล การมีส่วนร่วม และการเข้าถึงความยุติธรรม ซึ่งเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งรัฐต้องปกป้อง คุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน

ที่สำคัญ รัฐต้องมีมาตรการป้องกันมิให้บริษัทเอกชนใช้การฟ้องคดีเชิงยุทธศาสตร์ (SLAPP) มาเป็นเครื่องมือในการข่มขู่และทำให้หวาดกลัวต่อการใช้สิทธิในการปกป้องของตนเองเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองภายใต้หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนที่จะต้องได้รับการปกป้อง คุ้มครอง และเยียวยา และสอดคล้องกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ CEDAW ที่เรียกร้องให้ประเทศไทยคุ้มครองผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับการเข้าถึงความยุติธรรมและการเยียวยาสำหรับผู้หญิง

ทั้งนี้ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ได้ไปยัง สภ.ด่านขุนทด เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ บริษัท ไทยคาลิ จำกัด กรณีครอบครองวัตถุระเบิดเกินกำหนดตามกฎหมาย โดย กริษณุภูมิ นิลนามะ ทนายความสิทธิมนุษยชน ระบุว่า กลุ่มฯ ได้ยื่นหนังสือต่อนายทะเบียนท้องที่ และแจ้งความเอาผิดบริษัทฯ ซึ่งได้รับใบอนุญาต (ป.5) ใช้วัตถุระเบิดหมดอายุเมื่อ 27 มีนาคม 2560 แต่ไม่จำหน่าย ส่งออก หรือส่งคืนตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 37 และ 41 แห่ง พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490

ทนายความ ชี้ว่า บริษัทฯ ไม่ได้ต่อใบอนุญาตและยังครอบครองวัตถุระเบิดโดยมิชอบนานเกือบ 2 ปี ก่อนจะทำลายเมื่อ 26 มีนาคม 2562 กลุ่มฯ จึงร้องเรียนต่อนายอำเภอและกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 123 และ 127 เพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีต่อไป ทั้งนี้ ร.ต.ท.เบญจมินทร์ จันทร์ชมภู พนักงานสอบสวน สภ.ด่านขุนทด รับคำกล่าวโทษไว้แล้ว และ พ.ต.ท.สุวรรณ เต็งตระกูลเจริญ รองผู้บังคับการ สภ.ด่านขุนทด ได้ให้คำมั่นว่าจะเร่งรัดคดีนี้

“เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าหน้าที่จะมีความจริงใจในการทำคดีนี้ เพื่อทวงคืนความยุติธรรมและความสงบเรียบร้อยของประชาชน และขอให้ประชาชนทุกคนช่วยกันติดตามผลการดำเนินคดี เพื่อปกป้องสิทธิและทรัพยากรธรรมชาติของพวกเรา”

กริษณุภูมิ นิลนามะ

กสม.จี้มหาดไทย ยับยั้งอนุมัติใช้ระเบิดเหมืองโปแตช

ก่อนหน้านี้ ตัวแทนจาก กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากโครงการเหมืองแร่โปแตชดังกล่าว ของบริษัท ไทยคาลิ จำกัด และรับฟังข้อมูลจากนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด

ภายหลังลงพื้นที่ ตัวแทน กสม. ให้คำมั่นว่าจะส่งหนังสือด่วนถึงกระทรวงมหาดไทย เพื่อยับยั้งการอนุมัติใช้ระเบิด รวมทั้งทำหนังสือขอชะลอ หรือหยุดโครงการต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และติดตามความคืบหน้าคดีที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดนครราชสีมา ฟ้องบริษัทไทยคาลิ ตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งยังไม่คืบหน้า พร้อมตรวจสอบผลกระทบร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ และตรวจสอบความเชื่อมโยงเรื่องนอมินีในการถือหุ้น

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active