ชง สตง. – ป.ป.ช. หาข้อยุติปม ‘หมอสุภัทร’ หวังความเป็นธรรม คืนธรรมาภิบาล ระบบราชการ

วง Public Forum เชื่อ หากรัฐเปิดเผยความจริง ช่วยเคลียร์ชัดเจนปม ทุจริต คอร์รัปชัน หรือ การเมืองรังแกข้าราชการ ย้ำ ธรรมาภิบาลแบบมีส่วนร่วมของประชาชน สร้างความเข้มแข็งระบบการตรวจสอบ

เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 68 The Active จัดเวที Public Forum กรณีศึกษา ‘หมอสุภัทร’ ผิดวินัยร้ายแรง : ทุจริต คอร์รัปชัน หรือปัญหาธรรมาภิบาล ระบบราชการไทย” เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความเห็น ค้นหาคำตอบใหม่ของการสร้าง ธรรมาภิบาล เพื่อนำไปสู่ระบบราชการที่เปิดกว้าง โปร่งใส

จากปฏิบัติการเพื่อชาติ สู่ความผิดหวังที่สุดในชีวิตราชการ

นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าทีมของภารกิจแพทย์ชนบทบุกกรุง (ปี 2564) ยอมรับว่า การมาของแพทย์ชนบทเพื่อร่วมภารกิจตรวจคัดกรองโควิดใน กทม. ถือเป็นนโยบายจาก ศบค.ชุดใหญ่ บุคลากรทางการแพทย์จากทั่วประเทศที่อาสามากว่า 500 ชีวิต ตนเป็นผู้ดูแล บริหารจัดการในทุกเรื่อง การมาครั้งนั้น คือการมาทำงานเพื่อชาติจริง ๆ

แต่กรณีที่เกิดขึ้นกับ หมอสุภัทร ถือเป็นความผิดหวังที่สุดในชีวิตข้าราชการ ไม่เคยผิดหวังครั้งไหนเท่ากับเรื่องนี้ โดยเชื่อว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอคติ การกลั่นแกล้ง จงใจ ตั้งแต่การตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยฯ ถึงปัจจุบัน ซึ่งที่ผ่านมาพยายามทุกทางเพื่อช่วยผ่อนหนักเป็นเบา และไม่ให้เรื่องราวเลวร้ายขนาดนี้ แต่ก็ทำไม่สำเร็จจึงถือเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังที่สุดในชีวิตราชการ

นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข

“เหมือนผมพาน้องมาตาย เราอาสามารบ แต่วันหนึ่งถูกประณาม ว่า พวกคุณมาทุจริต คอร์รัปชัน ภาพนี้เกิดขึ้นอย่างไรในสังคมไทย”

นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ

เมื่อถามถึงระบบธรรมาภิบาลในระบบราชการ นพ.ยงยศ มองว่า จากการทำงานรับราชการมา จนตอนนี้ใกล้เกษียณ หากสังเกต ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา อยู่ในช่วงของการโยกย้าย แต่งตั้ง เกือบทุกกระทรวง เป็นการผลัดเปลี่ยนที่ไม่มีความมั่นคง เหมือนกับว่าการที่ข้าราชการจะเติบโต ต้องผ่านกระบวนการ แต่พอเป็นการสับเปลี่ยนพรรคการเมือง หรือรัฐบาลที่มาดูแล การเปลี่ยนผู้บริหารระดับสูงก็จะเปลี่ยนโทนไป ยากมากที่จะหาคนที่จะวางตัวธรรมาภิบาล ไว้ยาว ๆ ในระบบราชการ ถือว่าสร้างยากมาก แต่ก็ยังไม่หมดหวัง

ธรรมาภิบาลราชการ ต้องเปิดเผย โปร่งใส

รศ.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่า กรณีของ หมอสุภัทร รวมทั้งธรรมาภิบาลในระบบราชการ ต้องมีคำว่า เปิดเผย โปร่งใส ถ้ากระบวนการสอบสวนดำเนินการมาอย่างเปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้ ว่าได้ข้อสรุปนี้มาอย่างถูกต้อง เป็นธรรม ประชาชนจะยอมรับได้ แต่ถ้าเปิดเผยมาแล้วสังคมเห็นว่าไม่เป็นธรรม ข้อกล่าวหานี้สามารถโต้แย้งได้ ทำไมดุลยพินิจออกมาอย่างนี้ ถ้าการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนเกิดขึ้น น่าจะช่วยผลักดันให้กระทรวงสาธารณสุข ต้องทำให้เรื่องนี้เปิดเผย โปร่งใส การตรวจสอบการใช้อำนาจที่เป็นจริงก็จะตามมา 

รศ.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“เราต้องทำให้กระทรวงฯ เห็นว่า เรื่องนี้หมอสุภัทรไม่ได้เดินคนเดียว ผมทำงานวิจัยกับคนจนเมือง กับคนในชุมชนจำนวนมาก ผมพูดได้เต็มปากว่า เราเป็นหนี้ชีวิตของชมรมแพทย์ชนบท และเราไม่สามารถปล่อยให้คุณหมอสุภัทร ถูกประหารชีวิตทางราชการได้แบบนี้ แต่ผมมีความหวังว่าเสียงของประชาชน จะทำให้นักการเมืองต้องแคร์”

รศ.บุญเลิศ วิเศษปรีชา 

อยากเห็น สตง. – ป.ป.ช. ยื่นมือช่วยตรวจสอบ หาความเป็นธรรม

พิศิษฐ์  ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ย้ำว่า เพื่อประโยชน์แห่งความเป็นธรรม เพื่อที่จะให้การสอบสวนกรณีอย่างหมอสุภัทร เป็นไปโดยบริสุทธิ์ ไม่ควรให้หน่วยงานที่มีความขัดแย้งกันอยู่ ทำการสอบสวนกันเองภายใน แม้ว่าจะออกมาผลเป็นอย่างไรก็ตาม ก็จะไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบ ไม่ว่าทั้ง สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หรือ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มีอำนาจหน้าที่การตรวจสอบปัญหาเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง การใช้จ่ายเงิน หรือเรื่องการใช้อำนาจหน้าที่ สามารถเข้ามาตรวจสอบได้เลย เพื่อคงความเป็นธรรมไว้ ซึ่งโดยหลักการไม่จำเป็นต้องมีผู้ไปร้องเรียน เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องการใช้จ่ายเงิน ปรากฏเป็นข่าวอยู่แล้ว เพียงเข้ามาช่วยตรวจสอบหาคำตอบให้กับสังคม ว่าเรื่องแบบนี้ควรจะจบลงด้วยความเป็นธรรมอย่างไร 

“อย่าปล่อยให้ความขัดแย้งตัดสินกันเอง มันจะกลายเป็นคดีใหม่ในอนาคต”

พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส

พิศิษฐ์  ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน

อดีตผู้ว่า สตง. ยังเรียกร้องให้หน่วยงาน สตง. และ ป.ป.ช. อย่าละเลยต่อปัญหานี้ และเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อที่จะหาข้อยุติให้เกิดความเป็นธรรม เพราะเรื่องนี้ขณะนี้อยู่ในความสนใจของประชาชน ที่ต้องการรู้ว่าเรื่องนี้ ได้รับความเป็นธรรมอย่างไร ควรจะเข้ามาเชิงรุก เข้ามาตรวจสอบ ตอนนี้สังคมดูสิ้นหวังกับระบบที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะระบบราชการถ้าล้มเหลว จะไม่เกิดคุณประโยชน์อะไรกับประชาชน

“ต้องฝากเป็นความหวัง ก่อนที่จะเป็นความหวังสุดท้ายที่ประชาชนจะต้องลงมาตรวจสอบกันเอง หน่วยงานที่มีหน้าที่อยู่แล้ว ก็ควรจะใช้บทบาทหน้าที่ตอนนี้ เพื่อหาความจริงหาคำตอบให้กับประชาชนในเรื่องนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม”

พิศิษฐ์  ลีลาวชิโรภาส

จี้รัฐเปิดเผยความจริง ยุติปม ธรรมาภิบาล คอร์รัปชัน รังแกข้าราชการ

มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน มองว่า หากเรื่องนี้ผู้ตรวจสอบมีหลักฐานว่ามีการทุจริต จะต้องส่ง ป.ป.ช แต่ถ้าส่ง ป.ป.ช. เชื่อว่า จะมีขั้นตอนยาวนาน ตั้งแต่การชี้มูลความผิดรวมไปถึงการลงโทษทางด้านวินัย อาจมีขั้นตอนอีก 3-5 ปี แต่อย่างน้อย ป.ป.ช. ก็เป็นคนกลาง ซึ่งการฟันว่าผิดไว้ก่อน ไม่เป็นธรรม 

มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน

เมื่อถามถึงการจะสร้างธรรมาภิบาลในระบบราชการไทยนั้น มานะ ยอมรับว่า ในช่วง 20-30 ปีมานี้ คอร์รัปชันบ้านเรารุนแรงขึ้น เห็นชัดเจนมากขึ้น ระบบราชการถูกแทรกแซงโดยนักการเมืองมากขึ้นตลอดเวลา เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง เพราะทำลายกลไกธรรมาภิบาลในภาครัฐ ขณะเดียวกันรัฐบาล นักการเมือง ก็ไม่ได้สนใจที่จะแก้ปัญหาคอร์รัปชัน แม้แต่ในรัฐบธรรมนูญ มีเขียนไว้ว่ารัฐหรือรัฐบาลจะต้องสนับสนุนให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม สร้างความโปร่งใส ป้องกันคอร์รัปชัน แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น จึงต้องทำให้พลังประชาชนเข้มแข็งมากขึ้น

ปธ.องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ยังชี้ว่า ต้องทำให้ภาครัฐเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนมากขึ้น หรือใครก็ตามที่เป็นผู้รู้ในด้านต่าง ๆ มาช่วยเล่าความจริงกับประชาชนให้เข้าใจ โดยเฉพาะ เรื่อง ธรรมาภิบาล คอร์รัปชัน การกลั่นแกล้งรังแกข้าราชการ ไม่ใช่การปล่อยวาง ทั้งนี้ต้องทำให้พลังของประชาชนเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อสามารถกดดันนักการเมือง สามารถกดดันข้าราชการที่ไม่ดี ช่วยส่งเสริมให้ข้าราชการที่ดี นักการเมืองที่ดี มีที่ยืนมากขึ้นด้วย

“ความตื่นตัวของพลังประชาชนทุกวันนี้มีมากขึ้นแต่ยังไม่มีการรวมตัวที่เข้มแข็งมากพอ มักจะถูกรังแก ข่มขู่ โดยผู้มีอำนาจบ้านเมือง หรือผู้มีอิทธิพลทางธุรกิจที่ครอบงำรัฐบาล และระบบข้าราชการอยู่ ดังนั้นเราจะต้องนำความจริงให้ประชาชนได้รับรู้มากขึ้น จึงจะเกิดพลังที่เข้มแข็ง”

มานะ นิมิตรมงคล

เมื่อการเมือง กลืนกิน ราชการ ?

ขณะที่ รศ.ตระกูล มีชัย รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยอมรับเช่นกันว่า ไม่เคยเห็นข้าราชการ ชั้นผู้ใหญ่ต้านทานนักการเมือง มีแต่เดินตามนักการเมือง นี่คือปัญหาของการเมืองไทย ปัญหาความสัมพันธ์ของนักการเมืองกับข้าราชการ ซึ่งนักการเมืองที่ดีจะต้องแยกแยะ ระหว่างการปฎิบัติหน้าที่ของข้าราชการประจำที่ทำตามวิชาชีพ ทำตามภารกิจ โดยมีบทบาทหน้าที่อยู่แล้ว ส่วนนักการเมือง มีหน้าที่เพียงการกำหนดนโยบาย และขับเคลื่อนนโยบายเท่านั้น 

รศ.ตระกูล มีชัย รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

“หากเข้าไปแทรกแซง ถึงขนาดไปดำเนินการให้ผู้บริหารจัดการคนนั้นคนนี้ ซึ่งลักษณะนี้พูดตรง ๆ ว่าอาจจะทำได้ในบางกระทรวง แต่ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข นักการเมืองทำแบบนั้นคุณคิดผิด ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนกับข้าราชการกระทรวงอื่น ซึ่้งไม่ได้หมายความว่าข้าราชการกระทรวงอื่นเขายอม แต่เป็นเรื่องกำลังใจของคนทำงาน ถ้ากรณี หมอสุภัทร ถูกออกจากข้าราชการจริง นอกจากจะกระทบส่วนตัว ยังส่งผลเสียต่อประชาชน ต่อบุคลากรที่ทำงานในชนบทที่ทำงานใกล้ชิดชุมชนอย่างมาก”

รศ.ตระกูล มีชัย 

รศ.ตระกูล บอกอีกว่า ระบบการบริหารงานกระทรวงสาธารณสุข ในอดีตมีการกระจายอำนาจบริหารไปสู่สาธารณสุขในระดับพื้นที่มาก แต่มีอยู่ยุคหนึ่งที่นักการเมืองที่บริหารกระทรวงได้รวมศูนย์อำนาจ ดึงเอาอำนาจเชิงการบริหารเข้าสู่ส่วนกลางทั้งหมด นี่คือปมปัญหาที่ทำให้การทำงานบริหารระดับกระทรวงสาธารณสุข ของแพทย์ในพื้นที่มีปัญหามาก

ดังนั้นหน่วยงานทั้งหมดต้องมาทบทวนว่า การกระจายอำนาจในเชิงการบริหาร ภายในองค์กรของกระทรวงสาธารณสุข ให้กับระดับพื้นที่มากน้อยแค่ไหน พร้อมเสนอให้กลุ่มประชาชนทั้งหมด จะต้องสร้างพลังของภาคประชาสังคม สนับสนุนการทำงานที่เสียสละและสร้างระบบการตรวจสอบผู้บริหาร และนักการเมืองที่เข้ามาก้าวก่าย การทำงาน ของข้าราชการที่ประโยชน์สาธารณะ และมองที่ผลลัพธ์ที่ได้สู่ประชาชน เพื่อปกป้องระบบการทำงานที่มีเจตนาในการทำเพื่อประชาชน ระบบราชการจะเดินหน้าได้โดยปลอดภัยจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมืองได้จะต้องพึ่งประชาชน

“ใครไม่เคยถูกสอบสวนไม่รู้หรอกว่ามันทรมานแค่ไหน มันหงุดหงิดใจ เครียด ครอบครัวก็เจอปัญหา ที่สำคัญที่สุดคือ กระบวนการเหล่านี้ เราอย่าปล่อยให้ผู้มีอำนาจใช้อำนาจในทางมิชอบ ดังนั้นถ้าจะต้องสู้จนสุดซอย”

รศ.ตระกูล มีชัย 

รศ.ตระกูล ยังระบุด้วยว่า ระบบความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการการเมือง กับข้าราชการประจำ เรื่องอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้าย กฎหมายระบุให้โยกย้ายได้แค่ผู้บริหารระดับกระทรวง แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่ องค์กรของราชการหลายองค์กร มีที่รวมตัวกันเป็นวิชาชีพ เสียดายมากที่รัฐธรรมนูญไม่ยอมให้ตั้งองค์กรของข้าราชการ ทั้งที่ตอนร่างรัฐธรรมนูญเรียกร้องกันเยอะ แต่เชื่อว่าการรวมตัวกันอย่างไม่เป็นทางการ จะช่วยสกัด ยับยั้ง กระบวนการนักการเมืองรังแกข้าราชการประจำได้

“ผมคิดว่านักการเมือง เขากลัวการเลือกตั้ง ดังนั้นเสียงของประชาชนจะตรวจสอบ ถ้าผมเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข จะไม่พูดแบบที่รัฐมนตรีคนนี้พูด ผมจะบอกว่าจะให้ความเป็นธรรมกับหมอสุภัทรอย่างเต็มที่ จะคอยดูรายละเอียด ดูกระบวนการทั้งหมด ถ้าพูดแบบนี้เลือกตั้งสมัยหน้าได้คะแนนเต็ม ๆ”

รศ.ตระกูล มีชัย 

ฝาก ‘ภูมิธรรม – รมว.สธ.’ อย่ามองข้ามปัญหา เร่งคืนความเป็นธรรมแก่ข้าราชการ

รศ.ตระกูล ยังฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หรือถ้าเป็นไปได้อยากฝากให้รักษาการนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย เข้ามาจัดการโดยมองบริบทของเรื่องดังกล่าว เชื่อมโยงกับห้วงเวลาที่เป็นสถานการณ์จริง ไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้มาลดทอนพลังของประเทศ

“ฝากถึง พี่อ้วน ภูมิธรรม เรื่องนี้ถ้าอยากให้คะแนนเสียงขึ้นมาสัก 0.5% ต้องมาจัดการเรื่องนี้ ให้ความเป็นธรรมกับข้าราชการ ถ้าไม่ทำคะแนนที่ท่านตกอยู่แล้ว จะตกลงไปอีก ใช้เวลาที่เหลืออยู่เข้ามาจัดการ เพราะว่ากรณีนี้อย่ามองว่าเป็นปัญหาระหว่างข้าราชการ ผู้ใหญ่ใจมืด ใจดำ มารังแกข้าราชการชั้นผู้น้อย นักการเมืองที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร คือ รัฐมนตรี ถ้า รัฐมนตรี ไม่ทำ หัวหน้ารัฐบาลอย่ามองข้ามเรื่องนี้”

รศ.ตระกูล มีชัย 

รศ.ตระกูล บอกด้วยว่า ภัยคุกคามของประเทศเกิดขึ้นจำนวนมาก ภัยสาธารณสุขก็ไม่หยุด และหากวันหนึ่งบุคลากรด้านสาธารณสุข ที่เคยต่อสู้กับภัยคุกคามแบบนี้มาแล้วและมาถูกกระทำแบบนี้ หากเกิดเหตุแบบนี้อีกใครจะอาสามาช่วย ยังไม่พูดถึงผลตอบแทนที่เขาได้รับในเวลานั้น ฝากถึงคณะผู้บริหารประเทศสร้างความเป็นธรรมให้แก่ข้าราชการด้วย

ทพ.วิรัตน์ เอื้องพูลสวัสดิ์ อดีต ผอ.สปสช.เขต 13 กทม.

หวังระบบธรรมาภิบาลแบบมีส่วนร่วมของประชาชน

สอดคล้องกับ ทพ.วิรัตน์ เอื้องพูลสวัสดิ์ อดีต ผอ.สปสช.เขต 13 กทม. ระบุว่า ระบบธรรมาภิบาลแบบมีส่วนร่วมของประชาชน โดยส่วนตัวเห็นด้วยกับประเด็นนี้ เพราะเวลาพูดถึงคำว่าธรรมาภิบาล หรือนิติธรรม ดูจะเป็นคำพูดลอย ๆ ขึ้นมา ซึ่งการจะฟันธงว่า มีธรรมาภิบาลหรือ ไม่มีธรรมาภิบาล ก็จะกระทำโดยคณะหรือองค์กรขนาดเล็ก ซึ่งเรื่องที่หมิ่นเหม่ จะต้องใช้กลไกการมีส่วนร่วมในวงใหญ่ ในการตัดสินใจ เพราะมองว่าการตัดสินใจโดยคนเพียง 5 คน ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล และมีโอกาสถูกครอบงำโดยนักการเมือง พรรคการเมือง หรือผู้มีอำนาจอื่น ๆ

“ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องมาช่วยกันดำเนินการ เพื่อทำให้การเมืองภาคประชาชน และการตรวจสอบอย่างมีส่วนร่วมเข้มแข็ง”

ทพ.วิรัตน์ เอื้องพูลสวัสดิ์

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active