“ผศ.ปริญญา” แนะไต่สวนสาธารณะกรณี “หมอสุภัทร” ตั้งข้อสังเกต สืบสวนลับ คุ้มครองใคร ?

ยันปม “หมอสุภัทร” ไม่ผิดระเบียบ ชี้ตั้งเรื่อง เพื่อเอาเรื่อง! ฝาก รมว.สธ.ไม่สรุปจากกรรมการสอบสวน แต่ให้โอกาส หมอสุภัทร ชี้แจงด้วยวาจา เหตุวินัยราชการ มีไว้ลงโทษข้าราชการที่หาประโยชน์ให้ตัวเอง ไม่ใช่กรณี หมอสุภัทร

“ต้องการให้ออก จึงตั้งข้อหาให้หนัก” ผศ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยืนยัน หากไม่มีปฏิบัติการของทีมแพทย์ชนบทบุกกรุง ในช่วงปี 2564 สังคมไทย อาจจะเห็นความสูญเสียมากกว่านี้ จนถึงวันนี้ ปมสืบสวน นพ.สุภัทร ยังนำมาสู่การเรียกร้องจากภาคประชาชน ให้กระทรวงสาธารณสุข และรัฐบาล เปิดเผยข้อมูลการสอบสวนอย่างโปร่งใส เป็นธรรม

วันนี้ (23 ส.ค.2568) ในฐานะนักนิติศาสตร์ ผศ.ปริญญา อธิบายไว้ในเวทีเสวนา “หมอสุภัทร : ภาพสะท้อนสู่การปฏิรูปการเมืองสาธารณสุขและระบบราชการไทย” จัดขึ้นที่ คณะนิติศาสตร์ ม.อ.หาดใหญ่ ว่า ได้อ่านเอกสารและระเบียบอย่างละเอียด ยังยืนยัน ไม่มีอะไรที่ผิดระเบียบ และควรเปิดเผยกระบวนการสอบสวนอย่างโปร่งใส พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการตั้งข้อกล่าวหาเหมือนหาเรื่องกันมากกว่า

สอดคล้องกับ นักวิชาการด้านสันติวิธี รศ.โคทม อารียา  เคยแสดงความเห็นสั้นๆ ผ่าน เวทีเสวนา “กระจายอำนาจปฏิรูประบบราชการไทย” ที่หอศิลป์ กทม. ช่วง 2 วันก่อนว่า “ถูกเล่นงานเพราะระเบียบนั้น สูงกว่า จรรยาบรรณของแพทย์ เป็นได้อย่างไรที่คิดแบบนั้น ?”  สะท้อนถึงกฎระเบียบที่ไม่เอื้อต่อคนปฏิบัติงาน และวิธีคิดของคนบังคับใช้กฎหมาย อย่าง ข้าราชการประจำ และนักการเมืองได้เป็นอย่างดี 

วิเคราะห์ 3 ปม “หมอสุภัทร” ไม่เข้าข่ายทุจริต

ผศ.ปริญญา เล่าให้ผู้เข้าร่วมเวทีเสวนาวันนี้ฟังว่า เคยอยู่ในฐานะ ผู้จัดการ รพ.สนามของ รพ.ธรรมศาสตร์ ในช่วงการระบาด มีความเข้าใจเรื่องความรวดเร็วที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา และชีวิตของผู้คน ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ความเข้าใจของสังคมเวลานั้น คือ แม้จะผิดระเบียบจริง ก็ไม่ควรมีโทษถึงขั้นให้ออกจากราชการ แต่ พออ่านเอกสาร ระเบียบที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ก็ถือได้ว่า ไม่ผิดระเบียบ หนังสือจากกรมบัญชีกลาง ว.115 งดเว้นระเบียบกระทรวงการคลัง ที่เกี่ยวข้องระเบียบจัดซื้อจัดจ้างไว้ครอบคลุมตามคำชี้แจงจาก นพ.สุภัทร

ผศ.ปริญญาวิเคราะห์ ย้อนไปช่วงโควิดระบาดในปี 2564 การระดมกำลังของแพทย์ชนบท เข้าไปตรวจใน กทม. 3 รอบ ในปี 2564 ตรวจไปทั้งหมดกว่า 1 แสน 9 หมื่นคน และตรวจพบ 2 หมื่นกว่าคน มีการสั่งซื้อชุดตรวจ ATK ของ รพ.จะนะ มากกว่า 42,000 ชุด ประเด็นที่ถูกเล่นงาน มี 3 ประเด็นหลัก คือ

  1. ปม ชุดตรวจ ATK 42,854 ชุด รวมเป็นเงินกว่า 9 ล้านบาท เป็นการจัดซื้อ 5 ครั้ง ซึ่งจัดซื้อตามอำนาจ 5 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 2 ล้าน แต่ถูกกล่าวหาเป็นการแบ่งซื้อ แต่โดยหลักแล้วการตั้งข้อหาต้องปรากฎว่า แบ่งจัดซื้อแล้วเกิดปัญหาประการใด
  2. ไม่มีการตั้งราคา ประกาศเชิญชวน โดย นพ.สุภัทร ได้ยืมชุดตรวจมาใช้ก่อน หรือ จัดซื้อก่อน แล้วจ่ายเงินทีหลัง หนังสือจากอธิบดีกรมบัญชีกลาง ว.115 ให้ยกเว้นทำตามหลังได้ และได้ดำเนินการตามนั้น คือ ซื้อมาก่อนแล้วค่อยทำหนังสือจัดซื้อจัดจ้างตามมา
  3. บุคลากร รพ.จะนะไป 3 ครั้ง ครั้งแรกหนังสือเวียน สปสช. และอีก 2 ครั้ง เป็นของกระทรวงการคลัง จัดซื้อ ATK ในลักษณะสมทบ บุคลากร รพ.จะนะ แต่ถูกกล่าวหาว่า “บุคลากรของ รพ.จะนะ 7-10 คน ที่มาบุกกรุง 3 ครั้ง ตรวจได้อย่างมากวันละ 2,000 คน ใช้ชุดตรวจประมาณ 20,000 ชุด แต่สั่งซื้อชุดตรวจไปกว่า 42,000 ชุด ได้อย่างไร ?” ซึ่ง ผศ.ปริญญา มองว่าเป็นประเด็นใหญ่ที่เข้าข่ายหาเรื่องมากที่สุด

หากจะมีการตั้งเรื่องขึ้นมา มีเพียงปมเดียว คือ การที่ นพ.สุภัทร ไม่ได้ทำรายการไปถึงผู้บังคับบัญชาที่สูงกว่า ก็คือ สสจ.และ ผู้ว่าราชการจังหวัด จะถือว่า มีปัญหาตาม ม.79 วรรค 2 หรือไม่ แต่ในกฎหมายตีความได้ว่า คุณหมอมีอำนาจอนุมัติวงเงินไม่เกิน 2 ล้านบาท คนที่ต้องรายงาน คือ หัวหน้าพัสดุที่จัดซื้อจัดจ้างมา และหัวหน้าหน่วยงาน คือ ผอ.รพ. มีประเด็นให้ต้องตีความ แต่ไม่ได้หมายความว่าผิดแน่ๆ ในเรื่องนี้

โดยสรุปคือจากเอกสารชี้แจง หมอสุภัทร ไม่เข้าข่ายการทุจริต เพราะซื้อของที่ถูกว่า เอาของมาก่อน จ่ายที่หลัง และหนังสือ ว.115 “ยกเว้นเรื่องเร่งด่วนในสถานการณ์โควิด19 และหากต้องจ่ายเงินก่อนให้จ่ายก่อน แล้วค่อยดำเนินการที่หลัง”

วินัยข้าราชการ บทลงโทษกลุ่มคนทุจริต-หาประโยชน์ใส่ตัว แนะ ไต่สวนสาธารณะ

วินัยของข้าราชการตั้งขึ้นมา เพื่อควบคุม มีบทลงโทษให้กับกลุ่มคนที่ทุจริตคอร์รัปชัน หาประโยชน์ใส่ตัว ต่อให้ผิดระเบียบบางอย่าง หรือผิดเล็กน้อยแต่ไม่ได้หาประโยชน์ใส่ตัว ในทางราชการลงโทษเพียงสถานเบา เช่น ตักเตือน ไม่ถึงขั้นให้ออกราชการ ผศ.ปริญญา มองว่า นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ กรรมการสอบสวนตั้งข้อหาที่ร้ายแรง และเหมือนจะเข้าข่ายหาเรื่อง คือ ประเด็นที่ระบุว่า “บุคลากรของ รพ.จะนะ 7-10 คน ที่มาบุกกรุง 3 ครั้ง ตรวจได้อย่างมากวันละ 2,000 คน ใช้ชุดตรวจประมาณ 20,000 ชุด แต่สั่งซื้อชุดตรวจไปกว่า 42,000 ชุด ได้อย่างไร ?”

ข้อสำคัญอีกประเด็น คือ ในกระบวนการสอบสวนไม่ได้เปิดเผย โดยหลักแล้ว “กระบวนการลับ” จะอ้างว่าเพื่อคุ้มครองผู้ถูกร้อง ว่าอาจจะยังไม่ผิดต้องคุ้มครองไว้ก่อน แต่ฝ่ายผู้ถูกร้องขอให้เปิดเผย จึงต้องตั้งข้อสังเกตว่า ต้องลับ เพื่อคุ้มครองใคร ? ใช่การคุ้มครองกรรมการตรวจสอบหรือไม่ ว่าข้อหาที่ร้องมา ตั้งเรื่องมานั้นมีปัญหาหรือไม่ ?

สิ่งที่คนที่ตั้งเรื่องกล่าวหา ควรจะตรวจสอบ ควรจะจริงจัง ควรตรวจสอบหน่วยงานราชการที่ซื้อของแพงกว่าปกติจะดีกว่าหรือไม่ ? ชี้สังคมต้องช่วยกันเพื่อแก้ปัญหาในเชิงระบบ ไม่ให้คนทำงานถูกทำร้ายด้วยระบบ ยืนยันการดำเนินการของ นพ.สุภัทร ได้ทำตามข้อยกเว้นที่มีอยู่

พร้อมฝากถึง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อย่าเชื่อสิ่งที่คณะกรรมการส่งมา เพราะเป็นการสรุปว่า หมอสุภัทร ทุจริต ราชการเสียหาย โดยที่ไม่ฟังความจากหมอสุภัทร เพราะเอกสารที่ชี้แจงค่อนข้างชัดเจนแล้ว หากเดินหน้าให้ออกจากราชการตามที่กรรมการสอบสวนเสนอ จะเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะคน กทม.ไม่ควรยอม เพราะรอดจากสถานการณ์โควิดมาได้ เพราะ คุณหมอสุภัทร เป็นแกนนำที่ขึ้นมาช่วยคน กทม.หากไม่มีปฏิบัติการของทีมแพทย์ชนบทบุกกรุง ในช่วงปี 2564 สังคมไทย อาจจะเห็นความสูญเสียมากกว่านี้

การดื้อแพ่งต่อระบบราชการที่ติดกรอบ ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหาภาวะวิกฤตได้จริง หากจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก จะต้องช่วยให้กรณีหมอสุภัทร รอดให้ได้โดยช่วยกันทั้งสังคม ซึ่งนี่ไม่ใช่การช่วย “หมอสุภัทร” แต่ช่วยยกระดับระบบธรรมาภิบาลการเมือง และระบบราชการอีกด้วย

ขณะที่ ทพ.วิรัตน์ เอื้องพูลสวัสดิ์  อดีตผู้อำนวยการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 13 กรุงเทพมหานคร ช่วงโควิด เสนอให้สาธารณชนเข้ามาร่วมตรวจสอบ ยกตัวอย่างกรณีต่างประเทศที่มีประเด็นอ่อนไหวทางสังคมให้สามารถไต่สวนสาธารณะได้ ซึ่งอยากเห็นกรณี นพ.สุภัทร เป็นตัวอย่างที่สร้างบรรทัดฐานให้สังคมสามารถช่วยกันตรวจสอบได้อย่างมีส่วนร่วมต่อไป เป็นธรรมาภิบาลแบบมีส่วนร่วม เพราะขณะนั้น แพทย์ชนบท เข้ามาปฏิบัติภารกิจเพื่อสาธารณะ

ด้าน นพ.สุวัฒน์ วิริยพงษ์สุกิจ ผอ.รพ.สมเด็จฯ นาทวี หนึ่งในทีมแพทย์ ผู้ร่วมปฏิบัติการ “แพทย์ชนบทบุกกรุง” เรียกร้องให้ นพ. สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เลขาธิการ อย.และประธานคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง นพ.สุภัทร ให้โอกาส หมอสุภัทร ได้เข้าชี้แจง

“เราจะให้ลูกน้องออกคนนึง เราจะตัดสินกันด้วยเอกสารเลยเหรอ จะไม่ให้โอกาสเขาได้ชี้แจง ในสิ่งที่เรามีความเห็นต่างได้อย่างไร และในฐานะประธานกรรมการสอบวินัยร้ายแรงควรต้องออกมาพูด หรือแถลง เพราะสังคมสงสัยอยู่ เพื่อทำให้เห็นถึงหลักธรรมาภิบาล ยืนยันเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบุคคล แต่เป็นเรื่องสาธารณะ”

นพ.สุวัฒน์ บอกด้วยว่า จนถึงเวลานี้ มีคนในแวดวงสาธารณสุขหลายคน ที่บอกว่า ถ้าหมอสุภัทรผิด พวกเขาก็ต้องผิดด้วย แต่ส่วนตัวยืนยันว่า สิ่งที่ทำไปถูกต้องตามระเบียบ กติกาทุกประการ และถ้าพูดเฉพาะในกระทรวงสาธารณสุข ถ้าคิดว่า สิ่งที่ทำนี้เป็นสิ่งถูกต้องก็ต้องออกมายืนยัน รพ.ไหน ที่ทำเหมือนหมอสุภัทร ก็ต้องบอกว่า ทำเหมือนกัน ก็ไม่เห็นว่าผิด ไม่งั้นกระทรวงสาธารณสุขก็คงต้องเอาหมอออกครึ่งประเทศ จึงอยากให้สังคมลุกขึ้นมา ไม่งั้นเราจะอยู่กันยาก ถ้าเป็นแบบนี้ คนรุ่นหลังจะอยู่กันอย่างไร

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active