‘จำนงค์ หนูพันธ์’ ตั้งข้อสังเกต ถูกปิดกั้นสิทธิการชุมนุม ยัน อุทธรณ์ต่อ พร้อมสู้ถึงที่สุด หวังสร้างบรรทัดฐาน ประชาชนลุกขึ้นทวงสิทธิ์ ขณะที่ ‘แอมเนสตี้’ ชี้ พ.ร.บ. ชุมนุม มีปัญหา เรียกร้อง ยุติการดำเนินคดี ทบทวนกฎหมาย สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล
วันนี้ (28 ส.ค. 68) มีรายงานว่า ศาลแขวงดุสิต พิพากษาสั่งปรับ จำนงค์ หนูพันธ์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการบริหารขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) 7,500 บาท ฐานจัดชุมนุมในรัศมี 50 เมตรรอบทำเนียบรัฐบาล ขัดคำสั่งกองบัญชาการตำรวจนครบาล ภายใต้ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ 2558 มาตรา 7 วรรค ของพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558
จากกรณีตัวแทนเครือข่ายชาวบ้านผู้เดือดร้อนจากทั่วภูมิภาค กว่า 500 คน ในนามเครือข่ายพีมูฟ เข้ามาปักหลักชุมนุมตั้งแต่บริเวณหน้าอาคารสหประชาชาติ และต่อเนื่องมาหน้าทำเนียบ (ประตู 5) ช่วงระหว่างวันที่ 3 – 17 ต.ค 2566 เพื่อเรียกร้องทวงสิทธิ ให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาในสิทธิที่ดิน ที่อยู่อาศัย และอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาครัฐและโครงการต่าง ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม

โดยศาลพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีแล้วเห็นว่า การแจ้งการชุมนุมเป็นการแจ้งว่าจะมีการชุมนุมบริเวณหน้าองค์การสหประชาชาติ แต่ต่อมากลับมีการเคลื่อนย้ายไปยังประตู 5 ของทำเนียบรัฐบาล ซึ่งศาลมองว่าเป็นการผิดเงื่อนไขในการแจ้งการชุมนุมและถึงแม้จำเลยจะมีการแจ้งการชุมนุมทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) ในภายหลังศาลเห็นว่าการแจ้งดังกล่าว เป็นการยังไม่แน่ชัดว่ามีผู้ได้รับแจ้งการชุมนุมดังกล่าวแล้วหรือไม่
ทั้งการชุมนุมดังกล่าวของกลุ่มพีมูฟ เป็นการชุมนุมบริเวณสถานที่ราชการ ซึ่งกระทบต่อประชาชนโดยทั่วไป ถึงแม้ทางเข้าทำเนียบรัฐบาล และเส้นทางหลักจะสามารถใช้สัญจรได้ แต่ก็มีการปิดเส้นทางบางส่วน ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการการใช้ชีวิตตามปกติสุขของประชาชนทั่วไปและข้าราชการที่ทำงานต้องเดินทางสัญจรไปมาบริเวณดังกล่าว หรือได้รับผลกระทบจากการหลีกเลี่ยงเส้นทาง
ส่วนประเด็นการออกคำสั่งห้ามชุมนุมในรัศมีไม่เกิน 50 เมตร รอบทำเนียบรัฐบาลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นการออกคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ศาลเห็นว่าการออกคำสั่งดังกล่าว เป็นการออกโดยคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม อีกทั้งการออกคำสั่งต้องคำนึงถึงจำนวนของผู้เข้าร่วมชุมนุมและพฤติการณ์และมีเหตุผลจำเป็นต้องออกคำสั่งดังกล่าว การออกคำสั่งจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
และถึงแม้ช่วงดังกล่าวจะมีการยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งเพื่อให้มีคำสั่งให้การชุมนุมดังกล่าวเลิกการชุมนุม และศาลแพ่งมีคำสั่งยกคำร้อง แต่คำสั่งศาลแพ่งดังกล่าว เป็นกรณีที่ผู้จัดการชุมนุมฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งว่ามีเหตุจำเป็น สมควรยุติการชุมนุมหรือไม่ มิใช่การพิจารณาว่าการชุมนุมดังกล่าวฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือไม่ จึงไม่มีผลผูกพันกับคดีนี้
ดังนั้น การชุมนุมของจำเลยจึงเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ 2558 มาตรา 7 วรรค 4 พิพากษาปรับเป็นเงิน 10,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา เห็นควรลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงโทษปรับ 7,500 บาท
‘จำนงค์’ ยันสู้ต่อชั้นอุทธรณ์ – จี้ ยกเลิก พ.ร.บ.ชุมนุมฯ
จำนงค์ ระบุว่า คดียังไม่หยุดแค่นี้ ต้องอุทธรณ์ต่อ เพราะมีหลายข้อที่ดูแล้วยังมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการส่งอีเมล์ให้ตำรวจ ซึ่งเขาบอกว่า ไม่มีผล ทั้ง ๆ ที่ พ.ร.บ.การชุมนุมฯ บอกว่าการชุมนุมการส่งอีเมล์แจ้งกับทาง สน. สามารถกระทำได้ นี่คือประเด็นที่ชวนให้สงสัยว่า การส่งอีเมล์ขออนุญาตชุมนุม ทำไมไม่สามารถที่จะใช้เป็นทางข้อกฎหมายในการขออนุญาตชุมนุมได้
“เราถือว่า มารวมกันชุมนุมรอบ 50 เมตร รอบ ๆ ทำเนียบยังเป็นปัญหา สำหรับพี่น้องที่มาทวงสิทธิ์ หรือว่ามาติดตามการแก้ปัญหาของรัฐบาล ทุกรัฐบาลในอนาคต เราจะสู้ให้ถึงที่สุด ในชั้นอุทธรณ์ หรือฎีกาก็ตาม เพื่อให้มีการยกเลิก พ.ร.บ.การชุมนุมไปเลย”
จำนงค์ หนูพันธ์

การชุมนุมเครือข่ายชาวบ้านผู้เดือดร้อนจากทั่วภูมิภาค กว่า 500 คน ในนามเครือข่ายพีมูฟ บริเวณหน้าอาคารสหประชาชาติ
ต่อเนื่องประตู 5 ทำเนียบรัฐบาล (ระหว่างวันที่ 3 – 17 ต.ค. 66)
อาทิตยา งามประดิษฐ์ ทนายความมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (CRC) รายงานว่า คำพิพากษาดังกล่าวไม่ได้ออกมาในแนวทางในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมสาธารณะตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 44 ซึ่งโดยตามหลักเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ก็กำหนดให้มีการแจ้งการชุมนุมเพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ชุมนุมและประชาชนทั่วไป ประกอบกับอำนวยความสะดวกในเรื่องความปลอดภัยให้แก่ผู้ชุมนุมด้วย
“แต่คำพิพากษากลับตีความไปในทางจำกัดสิทธิของผู้ชุมนุม อีกทั้งการชุมนุมสาธารณะในรัศมีไม่เกิน 50 เมตรจากทำเนียบรัฐบาลนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอให้มีคำสั่งยุติการชุมนุมดังกล่าวโดยศาลแพ่งมีคำสั่งยกคำร้องดังกล่าวแล้ว โดยวินิจฉัยถึงพฤติการณ์และจำนวนของผู้ชุมนุม ที่ยังไม่เข้าหลักเกณฑ์ในการออกคำสั่งห้ามชุมนุม”
อาทิตยา งามประดิษฐ์
ขณะที่ ทิตศาสตร์ สุดแสน ทนายความมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (CRC) ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ในประเด็นที่ศาลมองว่าการยื่นแจ้งการชุมนุมผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์นั้นเป็นการไม่แน่ว่ามีผู้ได้รับจดหมายดังกล่าวหรือไม่นั้น ในระหว่างการสืบพยาน ก็มีพยานฝ่ายโจทก์เบิกความรับแล้วว่าได้รับแจ้งการชุมนุมผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) ด้วยแล้ว
อีกทั้งในคดีนี้พยานโจทก์ก็ไม่มีพยานปากไหนเบิกความเกี่ยวกับการชุมนุมที่ไม่สงบหรือมีการใช้อาวุธ ทั้งจำนวนผู้ชุมนุมก็มีจำนวนเพียง 100 คน ซึ่งโดยทั่วไปการชุมนุมก็ต้องมีลักษณะที่เข้าไปกระทบต่อการใช้ทางสาธารณะบ้างอยู่แล้วแต่ไม่มากนัก ประกอบกับในการชุมนุมของพีมูฟดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้กั้นแนวเขตพื้นที่ชุมนุมให้กับผู้ชุมนุมด้วยตนเอง
“ทนายได้ปรึกษากับลูกความแล้วมีความเห็นว่าจะอุทธรณ์ต่อ เพื่อให้เป็นแนวบรรทัดฐานกับคดีอื่น ๆ ที่โดนฟ้องในลักษณะเดียวกันเกี่ยวกับการชุมนุมบริเวณรอบทำเนียบรัฐบาล ซึ่งคดีนี้เป็นครั้งแรกที่ถูกฟ้องว่าฝ่าฝืนคำสั่ง 50 เมตร ดังนั้น ควรเป็นบรรทัดฐานให้กับคดีอื่น ๆ ด้วย”
ทิตศาสตร์ สุดแสน
ในส่วนของคดีความยังเหลือคดีการชุมนุมของพีมูฟ อีก 3 คดี ซึ่งอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน 2 คดี ชั้นพนักงานอัยการ 1 คดี และอัยการมีกำหนดนัดส่งฟ้องต่อศาลในวันที่ 16 กันยายน 2568 นี้

ต่อเนื่องประตู 5 ทำเนียบรัฐบาล (ระหว่างวันที่ 3 – 17 ต.ค. 66)
เรียกร้อง ยุติการดำเนินคดีต่อผู้ชุมนุมโดยสงบอย่างไม่มีเงื่อนไข
นอกจากนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุว่า นี่เป็นอีกคดีที่สะท้อนปัญหาของ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธาณะ 2558 ที่พิพากษามีความผิดเกี่ยวกับเรื่องสถานที่การชุมนุม โดยเฉพาะ ทำเนียบรัฐบาล ตามข้อกล่าวหาตามมาตรา 7 วรรค 4 ของ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ตีความได้ว่า พื้นที่โดยรอบของรัฐสภา ทำเนียบรัฐบาลและศาลเป็นพื้นที่ที่สถานการณ์ทั่วไปสามารถชุมนุมได้ แต่ให้อำนาจตำรวจสั่งห้ามชุมนุมในรัศมี 50 เมตรได้เป็นบางช่วงเวลา โดยจะต้องพิจารณาสถานการณ์ประกอบ
กล่าวคือ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายสามารถพิจารณาห้ามการชุมนุมในรัศมี 50 เมตรได้บนฐานของความปลอดภัยสาธารณะและความสงบเรียบร้อย โดยจะต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์และจำนวนของผู้ชุมนุมประกอบด้วย แต่ในคดีนี้เห็นได้ว่าเป็นการใช้ดุลพินิจขัดต่อหลักความจำเป็นและได้สัดส่วน โดยเจ้าหน้าที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงความจำเป็น และขัดต่อเจตจำนงของการมีกฎหมายการชุมนุมเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการชุมนุมสาธารณะ ซึ่งธรรมชาติของการชุมนุมสาธารณะย่อมกระทบสิทธิอื่น ๆ โดยเจ้าหน้าที่ต้องรักษาสมดุลของสิทธิทั้งหลาย เพื่อให้ผู้ชุมได้บรรลุวัตถุประสงค์และต้องคำนึงถึงหลักการมองเห็นและได้ยินซึ่งหมายความว่า ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมต้องสามารถสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายได้
พร้อมย้ำว่า การชุมนุมเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ได้รับการรับรองในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งไทยมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม ทั้งยังมี ความเห็นทั่วไป ฉบับที่ 37 ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ที่ระบุว่า การจำกัดสิทธิชุมนุมต้องพิจารณาเป็นรายกรณี ไม่ใช่กำหนดข้อห้ามกว้าง ๆ ที่ครอบคลุมทุกกรณี เพราะถือว่า ไม่สมดุลและเกินจำเป็น การกำหนดเขตห้ามชุมนุมโดยเด็ดขาดในสถานที่สาธารณะ เช่น ศาล รัฐสภา หรือสถานที่ราชการ ควรหลีกเลี่ยง เว้นแต่มีเหตุจำเป็นจริงและต้องได้สัดส่วน
“การบังคับใช้ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ต้องไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการลิดรอนสิทธิของประชาชนหากกฎหมายถูกใช้เพื่อจำกัดเสรีภาพ เราต้องตั้งคำถามกับทั้งตัวกฎหมายและเจตนาของผู้บังคับใช้”
แอมเนสตี้ฯ จึงเรียกร้องให้ ยุติการดำเนินคดีต่อผู้ชุมนุมโดยสงบอย่างไม่มีเงื่อนไข และทบทวน พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล
การใช้ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ต้องยึดหลักการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการเข้ามามีบทบาทและส่วนร่วมในการกำหนดการปกครองของพวกเขาเอง ไม่ใช่สร้างอุปสรรคหรือเงื่อนไขที่ทำให้การแสดงออกเป็นอาชญากรรม