ข้อเสนอเซ็ตระบบ สร้างกลไก ‘จัดการตนเอง’ หลังน้ำลด พลิกฟื้นคืนชีวิต ‘คนจนเมือง’ หาดใหญ่

หวั่น คนจนเมืองหาดใหญ่ร่วมแสนคน เสี่ยงฟื้นตัวจากวิกฤตน้ำท่วม นานกว่า 7 ปี นักวิชาการ-ทีมแพทย์-ภาคประชาสังคม เสนอ ชุมชนปั้นอาสาสมัครในพื้นที่ ทำแผนที่เดินดิน สำรวจความต้องการครัวเรือนระดับซอย สร้างกลไกการจัดการตนเอง แบบไม่ต้องร้องขอ เยียวยาผลกระทบ รับมือภัยพิบัติในอนาคต

แม้สถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่เริ่มคลี่คลาย และหลายภาคส่วนระดมสรรพกำลังเข้าช่วยเหลือชาวบ้าน ทว่าความช่วยเหลือส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้ “คนจนเมือง” อีกจำนวนมากในพื้นที่เปราะบางอย่าง “หาดใหญ่ใน” ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดในการเข้าถึงโอกาสในฟื้นตัว

เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 68 The ActiveThai PBS และภาคีเครือข่าย เปิดพื้นที่สนทนาสาธารณะ “Public Forum ปฏิบัติการ พลิกฟื้น คนจนเมือง หาดใหญ่” ชวนทุกภาคส่วนมาร่วมกัน “เซ็ตระบบ” หลังน้ำลด เพื่อออกแบบกลไกการจัดการในสถานการณ์เฉพาะหน้า ที่จะช่วยให้กลุ่มเปราะบางสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่และเดินหน้าต่อไปได้อย่างทันท่วงที

‘หาดใหญ่ใน’ พื้นที่รับน้ำ เผชิญปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก

ซากีย์ พิทักษ์คุมพล อดีตอาจารย์ประจำสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในฐานะของผู้ประสบภัยอธิบายว่า พื้นที่หาดใหญ่ใน มีชุมชนทั้งหมด 6 ชุมชน คือ ตลาดพ่อพรหม, เทศาพัฒนา, ปลักหว้า, ท่าเคียน, สัมพันธมิตร และ ควนสันติ

พื้นที่บริเวณนี้ถูกขนาบข้างด้วย คลอง ร.1 และ คลองอู่ตะเภา จึงทำให้บริเวณนี้เป็นพื้นที่รับน้ำโดยปริยาย และประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก แม้จะมีการปรับโครงสร้างคลอง ร.1 จากรูปตัววี ให้กลายเป็นรูปตัวยู เพื่อรองรับน้ำเพิ่ม 3 เท่า แต่มหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปีนี้ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการแก้ปัญหานี้ก็อาจไม่เพียงพอ

ซากีย์ ยังเล่าอีกว่า สถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้แปลกประหลาด เนื่องจากในวันที่ 21 พ.ย. 68 น้ำท่วมในเมืองก่อน แต่พื้นที่หาดใหญ่ในท่วมเพียงเล็กน้อย ก่อนที่น้ำจะมาอีกระลอกในวันที่ 22 พ.ย. 68 และเข้าท่วมทุกพื้นที่แบบเสมอหน้า แต่ที่น่าตกใจคือธรรมชาติของน้ำที่นี่ จะท่วมแค่ครั้งเดียว แล้วลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ในคืนวันที่ 23 พ.ย. 68 น้ำกลับเพิ่มระดับอย่างไม่ทันตั้งตัว

ซากีย์ พิทักษ์คุมพล อดีตอาจารย์ประจำสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

“เมื่อสถานการณ์น้ำผิดปกติ การแจ้งเตือนอย่าง การยกธง ของส่วนกลางอาจยังไม่ค่อยสอดคล้องกับลักษณะทางกายภาพของพื้นที่หาดใหญ่ใน สะท้อนให้เห็นว่า หลังจากนี้ชาวบ้านไม่อาจรอคอยสัญญาณจากจุดใดจุดหนึ่งได้อีกต่อไป และ ชุมชน จะเป็นแกนสำคัญที่จะต้องระวังและสร้างระบบการจัดการภัยพิบัติของตนเองขึ้นมา”

ซากีย์ พิทักษ์คุมพล

‘คนจนเมือง’ หาดใหญ่ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงสุด

นอกจากพื้นที่หาดใหญ่ในจะเป็นพื้นที่รับน้ำ ยังเป็นที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ของ “คนจนเมือง” ซึ่งคือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด โดย รศ.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยทักษิณ เปิดเผยว่า กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัดเดิม หรือกลุ่มบ้านเช่า มีอยู่ประมาณ 25-30% ของประชากรในเขตเมือง

จากข้อมูลการสำรวจเทศบาลนครสงขลา และเทศบาลนครหาดใหญ่ ของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนปี 2560 พบว่า มีชุมชนผู้มีรายได้น้อยรวมกันถึง 53 ชุมชน มีจำนวนครัวเรือนประมาณ 27,000 ครัวเรือน และมีคนอาศัยอยู่ร่วมกันในกลุ่มนี้ ร่วมแสนคน

รศ.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยทักษิณ

คนจนเมือง แม้จะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเมือง แต่อธิการบดีมหาวิทยาลัยทักษิณ กลับพบอีกว่า แทบจะไม่มีใครพูดถึงกลุ่มคนเหล่านี้ และภาครัฐมักจะพูดถึงระบบเศรษฐกิจหลักของเมือง ดังนั้นจะมีวิธีการอย่างไรให้พวกเขาสามารถตั้งต้นชีวิตใหม่ และเดินต่อไปข้างหน้าได้

“ในช่วงโควิด คนจนจะใช้เวลา 6 – 7 ปี เพื่อฟื้นชีวิตกลับมาจนเท่าเดิม แล้วภัยพิบัติครั้งนี้ สูญเสียยิ่งกว่าโรคระบาดหลายเท่า การฟื้นชีวิตอาจใช้เวลามากกว่า 7 ปี”

รศ.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์

นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่จะต้องให้พวกเขาได้รับการเยียวยาอย่างเร่งด่วน และจะต้องมีกลไกเชิงโครงสร้าง หรือเชิงนโยบาย ที่จะสนับสนุนให้พวกเขาสามารถตั้งหลักได้อย่างมีระบบ

ความต้องการ ‘คนจนเมือง’ หาดใหญ่

จากการรับฟังเสียงสะท้อนของผู้นำชุมชน, นักวิชาการ จากมหาวิทยาลัยทักษิณ และมหาวิทยาสงขลานครินทร์, ทีมแพทย์ และเครือข่ายภาคประชาสังคม พบว่า คนจนเมือง ในพื้นที่หาดใหญ่ใน มีความต้องการในระยะเร่งด่วน ระยะกลาง-ยาว ดังต่อไปนี้

ระยะเร่งด่วน

  • เครื่องนุ่งห่ม โดยเฉพาะ “เสื้อกางเกงวอร์ม” ที่ใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง รวมถึง “ชุดนักเรียน” ยังต้องการอีกจำนวนมาก

  • เครื่องนอน เช่น ที่นอน หมอน มุ้ง ถูกน้ำพัดพาหายไปหมด

  • ยา หลังน้ำลด ทีมแพทย์มีความกังวลเกี่ยวกับ โรคฉี่หนู, ไข้เลือดออก และไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่มาพร้อมกับภัยพิบัติ และอาจส่งผลให้เกิดวิกฤตสาธารณสุขซ้ำได้ จึงต้องการยาสำหรับการป้องกันโรคเหล่านี้จำนวนมาก

  • อาชีพ ซึ่งรวมถึง “การจ้างงาน” และการซ่อมแซม “รถจักรยานยนต์” เครื่องมือสำคัญในการดูแลครอบครัวและประกอบอาชีพของผู้มีรายได้น้อย ซึ่งส่วนใหญ่เสียหายไปกับน้ำท่วม

  • สุขภาพจิต หลังวิกฤตน้ำท่วมชาวบ้านมีภาวะเครียดและซึมเศร้า เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างไร และต้องเริ่มจากจุดไหนก่อน  เนื่องจากไม่มีเงินใช้ เอกสารสำคัญหายหมด จึงต้องการให้มีนักจิตวิทยาเข้าไปพูดคุยปลอบขวัญตามบ้านอย่างเร่งด่วน

  • ระบบสาธารณูปโภค หลายพื้นที่ยังขาดแคลนน้ำประปา การทำความสะอาดยากลำบาก ชาวบ้านบางส่วนต้องขนน้ำจากคลองหรือบ่อบาดาลมาใช้ทำความสะอาดบ้าน  

  • การจัดการขยะ ปัญหาขยะที่ท่วมท้นถนนเริ่มส่งกลิ่นเหม็น หากไม่มีการจัดการที่ดีอาจส่งผลต่อสุขอนามัยในช่วงเวลาอันใกล้นี้

อ่าน : ปฏิบัติการพลิกฟื้น ‘คนจนเมือง’ หาดใหญ่ ระดมอาสาฯ หลายภาคส่วนเร่งช่วยเหลือ

คนจนเมือง

ระยะกลาง-ยาว

การพึ่งพารัฐอย่างเดียวอาจมีข้อจำกัด เช่น กรณียกธงเตือนภัยน้ำท่วมของเทศบาลนครหาดใหญ่ ซึ่งระดับน้ำที่ประเมินอาจไม่สอดคล้องกับระดับความสูงต่ำที่แท้จริงของพื้นที่ที่ประชาชนอาศัยอยู่ จึงต้องสร้าง กลไกการจัดการตนเอง ควบคู่ไปกับ การสนับสนุนเชิงโครงสร้าง จากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

  • ฟื้นฟูที่อยู่อาศัย โดยชุมชนอาตรวมตัวกันเป็นสหกรณ์ เพื่อของบประมาณจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน มาสร้างและซ่อมแซมที่อยู่อาศัยผ่าน “โครงการบ้านมั่นคง” อย่างไรก็ตาม สยาม นนท์คำจันทร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ขอหารือฝ่ายบริการเพิ่มเติมในภาวะวิกฤต เพื่อยกเว้นเงื่อนไขการตั้งสหกรณ์ที่อาจใช้เวลานานถึง 6 เดือน

  • ตั้งกองทุนอาชีพ ด้วยชีวิตของคนเปราะบางเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อย มีอาชีพรับจ้างทั่วไป และทำงานค้าขาย เมื่อเครื่องมือทำมาหากินเสียหาย การมีทุนตั้งต้นฉุกเฉินจะช่วยให้พวกเขากลับมามีรายได้อีกครั้ง

  • การจับคู่ความช่วยเหลือ เพื่อจัดหาเครื่องมือเฉพาะทาง เช่น จักรเย็บผ้า, อุปกรณ์ค้าขาย ไปจนถึงการสนับสนุนคูปองน้ำมัน สำหรับอาสาสมัครที่ทำงานจิตอาสาเพื่อชุมชน

  • การจัดการข้อมูลและความช่วยเหลือ ในขณะที่การจัดการข้อมูลกลางยังเป็นปัญหา การจัดทำ “แผนที่เดินดิน” ในระดับชุมชน จะชี้ให้เห็นถึงความต้องการของแต่ละครัวเรือน และยังช่วยอำนวยความสะดวกให้เครือข่ายภาคส่วนต่าง ๆ สามารถเข้ามาช่วยเหลือได้เร็วและตอบโจทย์

  • ต้องการการสนับสนุนอุปกรณ์รับมือภัยพิบัติ อย่าง เรือ, ชูชีพ และ วิทยุสื่อสาร

  • มีกลไกการจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ ชุมชนสามารถระวัง ส่งสัญญาณเตือนภัยกันเอง และมีแผนการจัดการภัยพิบัติ ที่จะรู้ว่าจะหนีอย่างไร และควรจะไปที่ไหน ซึ่งบางชุมชนเสนอจะตั้ง “ทีมอาสาสมัคร” ไปเฝ้าคลองด้วย

  • สร้างองค์ความรู้รับมือภัยพิบัติให้คนในชุมชน

  • ปั้นอาสาสมัครในพื้นที่หาดใหญ่ใน

  • หน่วยงานราชการควรเปิดหน่วยเคลื่อนที่ เพื่อช่วยชาวบ้านทำเรื่องเอกสาร เนื่องจากโทรศัพท์และรถจักรยานยนต์พังจากน้ำท่วมหมดแล้ว

  • เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมในทุกระดับ เพื่อให้พวกเขามีส่วนร่วมในการวางแผน และมีความพร้อมรับมือกับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต

อ่าน : เตรียมจ้างงาน ‘ผู้มีรายได้น้อย’ ล้างบ้าน ฟื้นหาดใหญ่หลังน้ำท่วม

ปฏิบัติการ ‘พลิกฟื้น’ ไม่ใช่แค่ ‘ร้องขอ’
แต่คือการ ‘สร้างกลไกจัดการตนเอง’

“ปฏิบัติการพลิกฟื้นชีวิตหลังมหาอุทกภัย ไม่ใช่การเซ็ตระบบเพื่อร้องขอความช่วยเหลืออย่างเดียว หากแต่เป็นการสร้างกลไกการ จัดการตนเอง ที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน เพื่อให้การฟื้นฟูนั้นรวดเร็วและเป็นธรรมกับทุกคน”

ชาคริต โภชะเรือง ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนสงขลา ย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ชุมชนต้อง จัดระบบตัวเอง โดยชี้ว่าคำว่า จัดการตนเอง ไม่ได้หมายถึงการเสนอความต้องการเท่านั้น แต่หมายถึงการสร้างกลไกภายในที่รับประกันว่าความช่วยเหลือจะถูกส่งมอบอย่างเป็นระบบและทั่วถึง

โดยเขาได้เสนอให้ใช้กลไกระดับย่อยที่สุด เพื่อจัดระบบการเยียวยาฟื้นฟู คือ “การจัดระบบระดับซอย” ชุมชนมอบหมายให้มี คนจัดการประจำซอย และใช้ จุดศูนย์กลาง อย่างมัสยิดควนสันติ เป็นแกนประสานงานในระดับชุมชน เพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติ หรือแบ่งพรรคแบ่งพวก เพราะหากระบบไม่ดีพอ คนที่ลำบากที่สุดอาจไม่ได้รับความช่วยเหลือ

ชาคริต โภชะเรือง ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนสงขลา

ชาคริต ย้ำว่าหากระบบ จัดการตนเองไม่ถูกจัดตั้งขึ้น การดำเนินงานทั้งหมดอาจกลายเป็น การร้องขอ อย่างเดียว ซึ่งไม่ยั่งยืน อย่างไรก็ตามเครือข่ายจากภายนอกจะต้องทำหน้าที่เป็น พี่เลี้ยง เพื่อพัฒนาศักยภาพให้คนในชุมชนสามารถดูแลตัวเองได้ในทุกวิกฤต

เสนอ ‘พอช. – พมจ.’ เป็นหัวเรือ ขับเคลื่อนการจัดการตนเองของชุมชน

สุดท้ายนี้หลายภาคส่วน เห็นตรงกันว่า การขับเคลื่อนกลไกการจัดการตนเองของชุมชน จะยั่งยืนได้ จำเป็นต้องอาศัยกลไกเชิงโครงสร้างของรัฐ

จึงเสนอให้ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) ซึ่งถูกมองว่าเป็นหน่วยงานตรงและมีบทบาทสำคัญที่สุดในการฟื้นฟูที่อยู่อาศัย และ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) หน่วยงานที่ทำงานร่วมกับ พอช. อยู่แล้ว และมีกลไก “สภาองค์กรชุมชน” เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนการฟื้นฟูทั้ง 16 อำเภอที่ได้รับผลกระทบอย่างเป็นระบบ

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุป และยังต้องหารือกันต่อไป เนื่องจากแม้ พอช.มีระบบการทำงานที่ดี แต่มีข้อจำกัดด้านบุคลากร ซึ่งมีเพียง 30 คน ดูแลใน 14 จังหวัด ขณะที่ พมจ.ถูกมองว่าค่อนข้างห่างไกล จากกระบวนการทำงานที่ซับซ้อนในระดับรากหญ้า

บทเรียนจากประวัติศาสตร์และวิกฤตหาดใหญ่ครั้งนี้ พิสูจน์ให้เห็นว่า พื้นที่หาดใหญ่ใน จะยังคงเผชิญกับภัยพิบัติซ้ำซาก การรอคอยการแจ้งเตือนและการเยียวยา อาจยิ่งสร้างความสูญเสียมากกว่าที่ควร ทางรอดคือ การจัดการตนเอง โดยมีชุมชนเป็นฐาน ซึ่งรัฐควรจะเข้ามาสนับสนุนเชิงโครงสร้าง หรือนโยบาย เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้ฟันเฟืองเศรษฐกิจรากฐานของเมืองสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active