‘พีมูฟ’ ย้ำเจตนารมณ์ ‘โฉนดชุมชน’ ยืนยันสิทธิกำหนดอนาคตตนเอง

‘วันที่อยู่อาศัยโลก’ 6 ตุลาคม ปีนี้ ชู ‘โฉนดชุมชน’ รูปธรรมการจัดการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติโดยชุมชน เดินหน้าเรียกร้องทุกรัฐบาลสนับสนุน หลังพบประชาชน คนยากจน ยังเผชิญความเหลื่อมล้ำ เข้าไม่ถึงสิทธิ การแก้ไขปัญหา แนะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เปิดโอกาสประชาชนร่วมออกแบบกติกา สร้างความมั่นคงในชีวิตทุกคน

เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 68 ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) จัดกิจกรรม “โฉนดชุมชน สิทธิในการกำหนดอนาคตตัวเอง” บริเวณลานหน้าองค์การสหประชาชาติ (United Nations) กรุงเทพมหานคร โดยมีเครือข่ายสมาชิกกว่า 10 เครือข่ายร่วมจัดกิจกรรม ได้แก่ สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ, สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้, เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน, เครือข่ายเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง, เครือข่ายปฏิรูปที่ดินเทือกเขาบรรทัด, เครือข่ายกะเหรี่ยงตะวันตกเพื่อสังคมที่เป็นธรรม, เครือข่ายไทดำ และบางกลอยคืนถิ่น

โดยตลอดทั้งวันที่ผ่านมามีหลากหลายกิจกรรมที่ถูกจัดขึ้น อาทิ การจัดซุ้มแสดงข้อมูลโฉนดชุมชนของแต่ละเครือข่าย รวมถึงได้ผลผลิตทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกิดจากการจัดการที่ดินในรูปแบบโฉนดชุมชนมาจัดแสดง ให้เห็นรูปธรรมของการจัดการที่ดิน

ดิเรก กองเงิน ที่ปรึกษาอาวุโสขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) จากสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ กล่าวเปิดหมู่บ้าน “โฉนดชุมชน” ย้ำถึงหมุดหมายในการยืนยันแนวทางการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติโดยชุมชน และเพื่อเป็นประจักษ์พยานว่า ชุมชนคือผู้สร้างฐานการผลิตอาหาร ผู้สร้างอธิปไตยทางอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงผู้คนทั่วประเทศ ซึ่งที่ชุมชนสามารถทำได้เพราะชุมชนเป็นผู้ปกป้องรักษาที่ดินและทรัพยากรมาอย่างยาวนาน ด้วยน้ำพักน้ำแรงของพวกเราทุกคนในทุกคนในชุมชน แต่เนื่องจากสถานการณ์การแย่งยึดที่ดินและทรัพยากรหลายรัฐบาลที่ผ่านมา ทำให้ชุมชนอยู่ในภาวะความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัยและฐานปัจจัยการผลิต ดังนั้น การเปิดหมู่บ้านโฉนดชุมชนครั้งนี้ จึงเป็นหมุดหมายเดินหน้าแนวทางการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติโดยชุมชนที่ภาคประชาชนร่วมกับผลักดันมาหลายรัฐบาล

“เราขอยืนหยัดในสิทธิชุมชนและสิทธิในการกำหนดอนาคตตนเองที่ไม่ตกอยู่ภายใต้ข้อจำกัดนโยบายรัฐ และจะเดินหน้าสร้างพื้นที่รูปธรรมการจัดการที่ดินและทรัพยากรเพื่อรักษาฐานการผลิตของเราและคนทั้งประเทศ เพื่อนำไปสู่การยกระดับสิทธิชุมชนให้เป็นกฎหมายให้ได้โดยเร็วที่สุด”

ดิเรก กองเงิน

จากนั้นในช่วงบ่ายวานนี้เครือข่ายภาคประชาสังคมจาก Act Lab, ชุมชนนักกิจกรรมภาคเหนือ และ TUNE&Co. ร่วมจัดกิจกรรม “ชุมชนในฝัน” โดยชวนสมาชิกร่วมออกแบบชุมชนในฝันที่จินตนาการถึงร่วมกัน โดยปราศจากการกดขี่ทางนโยบาย และการลิดรอนสิทธิโดยผู้มีอำนาจ ก่อนที่จะใช้สถานการณ์ทางนโยบายที่เกิดขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมา นับแต่การรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ตามมาด้วยวิกฤตการณ์ทางนโยบายด้านที่ดินและทรัพยากร นำมาสู่การบังคับใช้ในพื้นที่ชุมชนในฝันที่ประชาชนจินตนาการถึง ซึ่งคล้ายคลึงกับบริบทสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับประชาชนในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา

ขณะเดียวกันในช่วงเย็นยังมีกิจกรรมเวทีเสวนา “ความเหลื่อมล้ำ 99%” ว่าด้วยเรื่องความเหลื่อมล้ำของประชาชน 99% ของสังคมไทยในมิติด้านต่าง ๆ เช่น ด้านที่อยู่อาศัย ด้านสวัสดิการโดยรัฐ ด้านทรัพยากร ซึ่งล้วนมีรากฐานมาจากกฎหมายสูงสุดของประเทศอย่าง “รัฐธรรมนูญปี 2560” ที่ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในการออกแบบกติการ่วมกัน ซึ่งข้อเสนอที่สำคัญจากวงเสวนาคือ การร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชนเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง

ทั้งนี้เครือข่ายพีมูฟ ยังได้มีแถลงการณ์ เรื่อง เดินหน้าโฉนดชุมชน ยืนยันสิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง โดยมีเนื้อหาที่ย้ำถึงการลุกขึ้นมาสร้างพื้นที่รูปธรรมของภาคประชาชน ในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติด้วยตัวเอง พร้อมสถาปนาแนวทางการจัดการที่ดินด้วยสิทธิชุมชนให้เริ่มลงหลักปักฐานในสังคมตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 จนถึงปัจจุบัน และสร้างนโยบาย “โฉนดชุมชน” อันเป็นรูปธรรมหนึ่งของหลักการสิทธิชุมชนให้เกิดขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ. 2553 เช่นกัน ทั้งนี้เนื่องจากแนวทางการจัดการที่ดินและทรัพยากรของรัฐนั้นไม่สอดคล้องกับวิถีชุมชน เต็มไปด้วยข้อจำกัดและสอดแทรกเงื่อนไขที่จะทำให้ที่ดินหลุดมือ หรือทำให้เราดูแลและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของเราอย่างจำกัดที่สุด ที่สำคัญที่สุดคือ “อำนาจ” ในการจัดการชุมชนอันเป็นบ้านของเราก็ถูกรวบไปอยู่ในมือของรัฐราชการรวมศูนย์เท่านั้น ทำให้เราต้องสูญสิ้นอำนาจในการกำหนดอนาคตของตนเองบนผืนดิน ผืนป่า และท้องทะเล

ทั้งยังระบุว่า ที่ผ่านมาประชาชนได้พยายามส่งเสียงเรียกร้องและผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบายอันจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เป็นแนวทางแห่งการให้ประชาชน คนยากจนหลุดพ้นจากความเสี่ยงการถูกแย่งยึดที่ดินโดยกลุ่มผู้มีอำนาจ โดยภาคประชาชนพยายามเรียกร้องถึงความต้องการ ภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า ที่เร่งจำกัดเพดานการถือครองที่ดินของเอกชน, ต้องการ ธนาคารที่ดิน ที่ตอบโจทย์การกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม และต้องการ โฉนดชุมชน ให้เป็นแนวทางหลักในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ ให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์และวิถีชีวิตของแต่ละชุมชนโดยมิให้ที่ดินหลุดมือ

วันนี้ ในสมัยรัฐบาลใหม่ที่นำโดยนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล เราก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้เพื่ออุดมการณ์แห่งสิทธิชุมชนของเรา โดยพีมูฟ ขอประกาศต่อสาธารณะว่า

  1. เราจะมุ่งทำงาน จัดตั้งสร้างความเข้มแข็งให้ฐานสมาชิกของพีมูฟ ทั้งในทางความคิด ฐานเศรษฐกิจ กำลังพล และพื้นที่รูปธรรมการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวต่อสู้อันเข้มข้นเพื่อผลักดันกฎหมายและนโยบายภาคประชาชน ตลอดจนต่อสู้กับโครงสร้างอำนาจรัฐและทุนที่กำลังกัดกินจิตวิญญาณของเราอยู่ขณะนี้

  2. เราจะมุ่งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจของกฎหมาย โดยการผลักดันให้เกิดพระราชบัญญัติสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ หรือ โฉนดชุมชน ซึ่งจะเป็นปราการทางกฎหมายชั้นแรกที่จะปกป้องชุมชนของพวกเราจากการถูกครอบงำ จำกัด และแย่งยึดที่ดินจากกฎหมายของรัฐ

“เราจะเดินหน้าผลักดันให้ สิทธิชุมชน ได้ลงหลักปักฐานอย่างแข็งแรงยิ่งขึ้น ด้วยการร่วมขบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เคารพสิทธิและเสรีภาพของพวกเราทุกคนอย่างเสมอหน้ากันต่อไป”

สำหรับการร่วมกันจัดตั้งตั้งหมู่บ้านโฉนดชุมชน ที่หน้า UN ของเครือข่ายพีมูฟนั้น ได้ปักหลักค้างคืน เพื่อรอเข้าร่วมกิจกรรมรณรงค์เนื่องใน วันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2568 ซึ่งตรงกับวันที่ 6 ต.ค. ของทุกปี

Author

Alternative Text
AUTHOR

The Active

กองบรรณาธิการ The Active