กลุ่มผู้ประกันตน – บอร์ดประกันสังคม เห็นพ้อง ปรับสูตรคำนวณบำนาญผู้ประกันตน ตาม ‘สูตรแคร์’ เพิ่มเงินให้ผู้ประกันตนที่เกษียณไปแล้ว รับบำนาญเดิมกว่า 800,000 คน ได้ด้วย พร้อมเดินหน้าทำประชาพิจารณ์ใน 90 วัน ก่อนเสนอแก้กฎหมาย คาดมีผลต้นปี 2569 แม้ยังถกเถียงเรื่องช่วงเวลาบังคับใช้ แต่ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับการปรับเพดานเงินเดือน ยัน กองทุนประกันสังคมยังมั่นคง – มีเงินพอจ่ายบำนาญเพิ่ม
วันนี้ (11 มี.ค. 68) มารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยหลังการประชุมบอร์ดประกันสังคม ว่า ได้เห็นชอบในหลักการการปรับสูตรคำนวณบำนาญชราภาพให้กับผู้ประกันตน ทุกมาตรา ทั้ง มาตรา 33 และ 39 โดยมอบให้สปส. ไปพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติม เเละการดำเนินการหลังจากนี้ จะทำควบคู่ไปกับการปรับเพดานค่าจ้าง ซึ่งจะเริ่มปรับเพดานค่าจ้างในวันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นกระบวนการที่จะสอดรับกันพอดี

“ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่มีส่วนทั้งบอร์ดประกันสังคม ผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตน ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ภาครัฐ รวมถึงประธานอนุกรรมการพัฒนาสิทธิประโยชน์เอง สิ่งที่สำคัญสุดท้าย ยืนยันว่า สปส. ไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ เราเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2563”
มารศรี ใจรังษี
มารศรี บอกด้วยว่า สำหรับผู้ที่เกษียณไปแล้ว จะได้รับประโยชน์ จากการปรับสูตรคำนวณบำนาญด้วย โดย สปส. จะดูว่าคนที่รับบำนาญอยู่ ซึ่งมีประมาณ 800,000 คน หากได้รับบำนาญลดลง ก็จะปรับให้ได้เท่าเดิม แต่ถ้าสูตรนี้ ทำให้คนที่ได้รับเงินบำนาญอยู่แล้วได้รับเพิ่มขึ้น ก็จะปรับเพิ่มให้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด โดยผู้ที่ได้ประโยชน์คือ ทุกคนที่รับบำนาญอยู่ ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 8 แสนคน และจะค่อยๆ ทยอยเพิ่มปีละประมาณ 100,000 คนที่จะได้รับประโยชน์จากสูตรนี้
ขออภัยผู้ประกันตน ที่ต้องรอนานกว่า 2 สัปดาห์
มนตรี ฐิรโฆไท บอร์ดประกันสังคม สัดส่วนนายจ้าง กล่าวขออภัยผู้ประกันตน ที่ต้องรอการพิจารณา นานกว่า 2 สัปดาห์ เเต่ก็เห็นว่าที่ผ่านมาได้เกิดกระแส นำมาสู่การเปลี่ยนแปลง ที่ผู้ประกันตนหันมาให้ความสนใจ สิทธิประโยชน์ของตนเองอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายนายจ้างต้องการให้เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นเงินที่รัฐบาล ฝ่ายนายจ้าง และ ลูกจ้างส่งเงินสมทบ และ ต้องได้รับการดูแลบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ได้กลับไปทบทวนสูตรคำนวณเงินบำนาญชราภาพอย่างละเอียด และ ให้ความเป็นธรรมกับผู้ประกันตนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม ก่อนนำกลับมาเสนอในที่ประชุมบอร์ดฯ ก่อนมีมติเห็นชอบในหลักการ โดยขั้นตอนจากนี้ ฝ่ายนายจ้างอยากให้ผู้ประกันตน ให้ความสนใจและให้ความเห็นจากการทำประชาพิจารณ์ ว่าสูตรคำนวณเงินบำนาญชราภาพ ที่เป็นสูตรคำนวณใหม่ที่บอร์ดประกันสังคมเสนอมา มีสิ่งใดที่ต้องเพิ่มเติมหรือแก้ไขบ้างซึ่งฝั่งนายจ้าง และ บอร์ดประกันสังคมพร้อมนำไปพิจารณาเพื่อให้ประโยชน์ ผู้ประกันตนอย่างแท้จริง
ธนพล เชื้อเมืองพาน อนุกรรมการสิทธิประโยชน์ บอกว่า ผ่านมากว่า 30 ปี มีความเหลื่อมล้ำมาตลอด สูตรการคำนวณบำนาญชราภาพใหม่นี้ จะมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันและอนาคต
ยันสูตรแคร์ เพิ่มบำนาญให้ผู้เกษียณเดิม
ขณะที่ รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี กรรมการบอร์ดประกันสังคม ฝ่ายผู้ประกันตน ให้สัมภาษณ์ The Active เพิ่มเติมว่า การปรับสูตรคำนวณบำนาญสำหรับผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม โดยที่ประชุมบอร์ดมีมติให้ใช้ สูตรแคร์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มเงินบำนาญให้กับผู้รับบำนาญเดิมกว่า 800,000 คน พร้อมเข้าสู่กระบวนการประชาพิจารณ์ภายใน 90 วัน ก่อนดำเนินการแก้ไขกฎหมาย คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายนนี้ และสามารถเริ่มใช้ได้ต้นปี 2569

รศ.ษัษฐรัมย์ ระบุอีกว่า สูตรแคร์จะช่วยเพิ่มเงินบำนาญให้กับผู้ประกันตนที่เคยได้รับเงินน้อยเกินไปในอดีต โดยจะมีการคำนวณบำนาญใหม่ แม้ผู้ประกันตนนั้นจะเกษียณไปแล้ว ตัวอย่างเช่น หากผู้ประกันตนเคยได้รับบำนาญเพียง 1,500 บาทต่อเดือนเป็นเวลา 5 ปี แต่เมื่อใช้สูตรแคร์คำนวณใหม่ อาจได้รับเพิ่มเป็น 5,000 บาทต่อเดือนไปจนกว่าจะเสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม การคำนวณบำนาญใหม่นี้ ไม่ได้หมายความว่าจะมีการจ่ายย้อนหลัง แต่เป็นการปรับเพิ่มเงินตั้งแต่วันที่เริ่มใช้สูตรใหม่เป็นต้นไป
ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคม ได้ศึกษา สูตร CARE มาตั้งแต่ปี 2563 ร่วมกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) เพื่อให้ผู้ประกันตนทุกกลุ่มได้รับบำนาญที่เป็นธรรม โดยสูตรนี้จะช่วยแก้ปัญหาของผู้ที่ย้ายจากมาตรา 33 ไปมาตรา 39 แล้วได้รับเงินบำนาญต่ำกว่าความเป็นจริง อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้รับเงินบำนาญเพิ่มขึ้นจากการปรับเพดานฐานค่าจ้างในปี 2569 (เพดานใหม่ 17,500 บาท) ซึ่งจะถูกนำมาคำนวณเพิ่มบำนาญทันที นอกจากนี้ สูตร CARE ยังช่วยสร้างเสถียรภาพให้กองทุนในระยะยาว
ถกเถียงเรื่องช่วงเวลาบังคับใช้ – บอร์ดอยากให้เริ่มก่อน ปี 69
ปัจจุบันยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับช่วงเวลาการเริ่มใช้สูตรแคร์ โดย เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ต้องการให้เริ่มพร้อมกับการปรับเพดานค่าจ้างในปี 2569 แต่บอร์ดผู้ประกันตนเห็นว่าสามารถดำเนินการก่อนได้ โดยเป็นประเด็นที่อยู่ระหว่างการทำประชาพิจารณ์
รศ.ษัษฐรัมย์ ยืนยันว่า สูตรแคร์ไม่เกี่ยวข้องกับการปรับเพดานค่าจ้าง และสามารถดำเนินการแยกกันได้ เพราะเป็นเรื่องของการคำนวณบำนาญที่ผู้รับสิทธิพึงได้รับ
ยันกองทุนประกันสังคมยังมั่นคง – มีเงินพอจ่ายบำนาญเพิ่ม
สำหรับข้อกังวลว่า การเพิ่มบำนาญตามสูตรแคร์จะทำให้กองทุนประกันสังคมขาดเสถียรภาพหรือไม่นั้น รศ.ษัษฐรัมย์ ระบุว่า ปัจจุบันกองทุนมีเงินสะสมกว่า 2.6 ล้านล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำหรับการปรับบำนาญอยู่ที่ประมาณ 60,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อย
“เปรียบเทียบง่าย ๆ ว่ากองทุนมีเงิน 2 ล้าน แต่จะใช้เพียง 60,000 บาทเพื่อปรับสิทธิให้เป็นธรรมมากขึ้น ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่รับได้”
รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี
รศ.ษัษฐรัมย์ ยังคาดว่า การปรับสูตรใหม่อาจกระตุ้นให้ผู้ประกันตนกลับมาส่งเงินสมทบมากขึ้น โดยเฉพาะในมาตรา 39 ในส่วนของกระบวนการประชาพิจารณ์ รศ.ษัษฐรัมย์ เชื่อว่า จะมีประชาชนให้ความสนใจและเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยอ้างอิงจากการประชาพิจารณ์เรื่องการปรับเพดานค่าจ้างก่อนหน้านี้ ที่มีผู้เข้าร่วมกว่า 200,000 คน
“เราจะออกแบบชุดคำถามให้เข้าใจง่าย และครอบคลุมทุกประเด็น เพื่อให้ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างรอบด้าน”
รศ.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี
นอกจากการปรับสูตรบำนาญ บอร์ดผู้ประกันตนยังมีแผนผลักดันเรื่องสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาล และการยกระดับประกันสังคมมาตรา 40 ให้เป็นระบบที่ครอบคลุมมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ในที่ประชุมยังไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับการแต่งตั้งบอร์ดแพทย์ ซึ่งเดิมมีข้อเสนอให้มีตัวแทนผู้ประกันตนเข้าไปมีส่วนร่วม แต่บอร์ดแพทย์ชุดเก่ายังคงทำหน้าที่รักษาการอยู่
ทั้งนี้ การประชุมบอร์ดประกันสังคมครั้งถัดไปจะมีขึ้นในอีก 2 สัปดาห์ โดยจะติดตามความคืบหน้าของการปรับสูตรบำนาญและประเด็นสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของผู้ประกันตนต่อไป

We Fair เสนอปฏิรูประบบประกันสังคม 5 ด้าน
ขณะที่ นิติรัตน์ ทรัพยสมบูรณ์ ผู้อำนวยการเครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) ได้ยื่นข้อเสนอแนวทางปฏิรูประบบประกันสังคมต่อคณะกรรมการประกันสังคมฝ่ายผู้ประกันตน เพื่อแก้ไขปัญหาและสร้างหลักประกันความมั่นคงให้กับคนทำงานทุกกลุ่ม เครือข่าย We Fair เสนอแนวทางปฏิรูประบบประกันสังคม 5 ด้าน ดังนี้
- ปฏิรูปเกณฑ์คำนวณบำนาญชราภาพ ปรับปรุงสูตรคำนวณให้เหมาะสมกับค่าครองชีพ พิจารณาการเพิ่มอัตราส่วนเงินสมทบของนายจ้างและภาครัฐ เพื่อให้กองทุนมั่นคงและยั่งยืน
- ขยายความคุ้มครองประกันสังคมให้ครอบคลุมแรงงานทุกกลุ่ม ให้แรงงานอิสระ แรงงานแพลตฟอร์ม และแรงงานนอกระบบสามารถเข้าถึงสวัสดิการโดยรัฐร่วมสมทบ
- ปรับโครงสร้างการบริหารให้เป็นอิสระ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ให้มีการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงาน ตั้งผู้เชี่ยวชาญบริหารจัดการและกำกับดูแลการลงทุนกองทุน
- ปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้ครอบคลุมและเป็นธรรม ปรับปรุงสิทธิ 7 กรณี เช่น เพิ่มเงินชดเชยกรณีว่างงาน เพิ่มเงินบำนาญชราภาพ และขยายสิทธิด้านทันตกรรม
- ยกระดับสิทธิด้านสุขภาพให้เท่าเทียมหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ควรให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ดูแลบริการสาธารณสุขพื้นฐาน เพื่อความเท่าเทียม
เครือข่าย We Fair ย้ำว่า การปฏิรูประบบประกันสังคมเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หากต้องการให้แรงงานไทยทุกคนมีหลักประกันความมั่นคงในชีวิตที่แท้จริง
หวังโยกสิทธิรักษาให้ สปสช. ดูแล – ใช้เงินสมทบเพิ่มเป็นบำนาญฯ
นอกจากปัญหาเงินบำนาญ อภิวัฒน์ กวางแก้ว ตัวแทนจากชมรมผู้พิทักษ์สิทธิ์ผู้ประกันตน ยังชี้ให้เห็นว่า สิทธิด้านการรักษาพยาบาลของผู้ประกันตนด้อยกว่าระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) แม้ว่าผู้ประกันตนจะเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ต้องจ่ายเงินสมทบเอง

“ข้าราชการใช้ภาษี 100% บัตรทองก็ใช้ภาษี 100% แต่ผู้ประกันตนต้องจ่ายเองทั้งจากเงินเดือนและเงินนายจ้าง แต่กลับได้รับสิทธิน้อยกว่าคนอื่น”
อภิวัฒน์ กวางแก้ว
อภิวัฒน์ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ระบบกำกับดูแลคุณภาพบริการด้านสาธารณสุขของประกันสังคมแทบไม่มีประสิทธิภาพ โรงพยาบาลได้รับเงินจากกองทุนประกันสังคม แต่ไม่มีมาตรการตรวจสอบว่าผู้ประกันตนได้รับบริการที่เหมาะสมหรือไม่
หนึ่งในข้อเสนอสำคัญของชมรมผู้พิทักษ์สิทธิ์ฯ คือ การให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เข้ามาดูแลสิทธิรักษาพยาบาลของผู้ประกันตน เพื่อให้ได้มาตรฐานเดียวกับบัตรทอง และนำงบประมาณที่ใช้ในระบบประกันสังคมไปเสริมสวัสดิการด้านบำนาญแทน
ถ้าประกันสังคมดูแลเรื่องสุขภาพไม่ถนัด ก็ให้ สปสช. มาดูแลแทน แล้วนำเงินส่วนนี้ไปเพิ่มบำนาญให้ผู้ประกันตนแทน แบบนี้จะเป็นธรรมมากกว่า ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินเข้าระบบทุกเดือน แต่ไม่มีสิทธิร่วมกำหนดแนวทางบริหารจัดการเงินของตัวเองเลย ระบบนี้ขาดธรรมาภิบาล และถึงเวลาที่ต้องได้รับการปฏิรูป
นอกจากนี้ อภิวัฒน์ ยังตั้งคำถามถึงการบริหารกองทุนประกันสังคม ที่ยังไม่มีความโปร่งใสและขาดการมีส่วนร่วมจากผู้ประกันตน พร้อมเรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลและให้ผู้ประกันตนมีสิทธิร่วมตัดสินใจมากขึ้น