
จากสถานการณ์ความขัดแย้งที่ยกระดับกลายเป็นการปะทะกันระหว่าง ไทย-กัมพูชา บานปลายไปสู่ความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน กระทบต่อเนื่องไปถึงการใช้ชีวิตของคนในพื้นที่ ที่ยังไม่รู้ว่าว่าจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้เมื่อไหร่ กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่คนทั่วโลกกำลังจับตาว่าเหตุการณ์นี้จะเดินหน้าไปสู่จุดไหนและจบลงอย่างไร
ในวันที่ข้อมูลล่าสุดจากกองบัญชาการกองทัพไทย เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 68 ระบุว่า มี ทหาร เสียชีวิต 15 นาย บาดเจ็บ 196 นาย พลเรือน เสียชีวิต 17 ราย บาดเจ็บ 38 ราย ขณที่ฝั่งกัมพูชา พล.ท.หญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมระบุว่า มีพลเรือนเสียชีวิต 8 ราย และเจ้าหน้าที่ทหาร 5 นายมีผู้ได้รับบาดเจ็บมีรวม 71 ราย
ความหวังครั้งใหม่อยู่ที่การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย- กัมพูชา (GBC) ในวันที่ 4-7 ส.ค.2568 โดยนัดคุยกันที่มาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนซึ่งจะช่วยทำหน้าที่เป็นคนกลางคลี่คลายความขัดแย้งครั้งนี้ ซึ่งต้องจับตาว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะออกมาแบบไหน ในวันที่อารมณ์ความรู้สึกของคนทั้งสองชาติกำลังครุกรุ่น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่หน้าฟีดหรือหัวข้อสนทนาของคนในสังคม ยังวนเวียนอยู่กับประเด็นความขัดแย้งระลอกนี้ แต่ก็ยังมีอีกหลายประเด็นร้อนในสังคมที่น่าเกาะติดความเคลื่อนไหวในช่วงนี้ไม่แพ้กัน
คำวินิจฉัยคดี นายกฯ แพทองธาร
สืบเนื่องจากปมคลิปเสียง ‘ฮุนเซน’ ที่ ที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงหรือไม่ โดยล่าสุด ได้ยื่นขอขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงออกไปอีก 15 วัน ถึงวันที่ 4 ส.ค. จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการตัดสิน
ความสำคัญของคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้อยู่ที่ สถานะของนายกรัฐมนตรีที่จะต้องยุติปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ที่จะเป็นอีกตัวแปรทางการเมืองที่สะเทือนถึงเสถียรภาพของรัฐบาล ในวันที่กำลังถูกมรสุมรุมเร้ารอบด้าน ทั้งจากในและนอกประเทศ
เตรียมตั้งรับภาษีทรัมป์ 19%
ถัดมาที่ท่าทีความเคลื่อนไหวหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศปรับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยจาก 36 % ลงมาอยู่ที่ 19% ซึ่งเป็นระดับเดียวกับกัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ แม้หลายฝ่ายจะวิเคราะห์ถือเป็นอัตราที่แข่งขันได้เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่หลายฝ่ายยังวิเคราะห์ว่าจะกระทบกับเศรษฐกิจไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ปัญหาสำคัญอยู่ที่จนถึงปัจจุบันเรายังไม่เห็นนโยบายหรือมาตรการรองรับผลกระทบที่จะออกมาเยียวยาหรือบรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากภาคธุรกิจที่อยากให้รัฐบาลออกมาตรการระยะสั้น กลาง ยาว ช่วยเหลือผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือนโยบายส่งเสริมการลงทุน ลดการพึ่งพาต่างประเทศ
แม้น้ำกกปนเปื้อนสารหนู
อีกเรื่องร้อนที่ยังรอหน่วยงานรัฐมาสะสางคือปัญหาแม่น้ำกกปนเปื้อนโลหะหนัก ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ส.ค.68 สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) มูลนิธิบูรณะนิเวศ ร่วมกับศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยผลการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างสิ่งแวดล้อมและพืชผลทางการเกษตรในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและแม่น้ำสาย จังหวัดเชียงราย พบปริมาณ โลหะหนักปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน และพบความเสี่ยงจากสารที่อาจก่อมะเร็งสูงเกือบทุกจุด โดยเฉพาะพื้นที่ ชายแดนแม่สาย
ในขณะที่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหา ภาคประชาชนได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งยกระดับการจัดการปัญหาเป็นวาระแห่งชาติ และระดับอาเซียนพราะเป็นประเด็นเรื่อมลพิษข้ามแดน โดยเฉพาะกิจกรรมเมืองแร่ พร้อมควบคุมแหล่งมลพิษและจัดหาเครื่องมือเฝ้าระวังสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน และเพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ลุ่มน้ำกก
มาตรการรับมือน้ำท่วมภาคเหนือ
จากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” ส่งผลให้หลายพื้นที่ภาคเหนือตกอยู่ในสถานการณ์น้ำท่วมช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ระบุว่ายังมีหลายพื้นที่มีน้ำล้นตลิ่ง ทั้งที่ลุ่มน้ำยม ลุ่มน้ำน่าน ลุ่มน้ำโขง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย ตาก น่าน พะเยา พิษณุโลก แพร่ สุโขทัย เลย สกลนคร นครพนม มุกดาหาร อุดรธานี อุบลราชธานี
เบื้องต้นรัฐบาลมีมาตการเยียวยา ทั้ง ธนาคารของรัฐ ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัย เช่น พักชำระหนี้ และสินเชื่อฟื้นฟู กรมธนารักษ์ ยกเว้นค่าเช่าที่ราชพัสดุใน 6 จังหวัด ปภ. ขยายวงเงินทดรองราชการสำหรับช่วยเหลือฉุกเฉินใน 6 จังหวัด ได้แก่ น่าน, เชียงราย, พะเยา, ลำปาง, เชียงใหม่, แพร่ แต่ชาวบ้านในพื้นที่ยังต้องการให้รัฐบาลมีเกาะติดสถานการณ์ และมีมาตรการรับมือเหตุที่จะเกิดอุทกภัยในอนาคต ทั้งการแจ้งเตือนและการอพยพที่มีประสิทธิภาพ
กฎหมายชาติพันธุ์
จากที่ภาคประชาชนได้ร่วมกันผลักดันจนร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เข้าสู่การพิจารณาของ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจนใกล้จะเสร็จสิ้นกระบวนการ ล่าสุดทางเครือข่ายชาติพันธุ์และภาคประชาชนได้ร่วมกันการเรียกร้องให้เร่งเดินหน้าผ่านกฎหมายให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด เพื่อเป็นหลักประกันให้ประชาชนทุกกลุ่มไม่ถูกละเมิดสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ประเด็นนี้ถือเป็นอีกเรื่องร้อนที่ต้องจับตาท่ามกลางความหวังของกลุ่มชาติพันธุ์ทั่วประเทศในขณะที่ เครือข่ายชาติพันธุ์ภาคใต้ เริ่มต้นเดินหน้าจัดทำแผนข้อเสนอเตรียมกฎหมายลูกที่จะออกมารองรับหลังพ.ร.บ.มีผลบังคับใช้ โดยวันพุธที่ 6 ส.ค.นี้ สภาผู้แทนราษฎรมีกำหนดพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ “ จับตาลุ้นการมี กม.ชาติพันธุ์ฉบับแรกของไทย
โค้งสุดท้าย พ.ร.บ.อากาศสะอาด
อีกกฎหมายสำคัญที่ต้องจับตาช่วงนี้ได้แก่ พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. ที่สภาฯ ลงมติเห็นชอบในหลักการไปเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 67 ปัจจุบัน กมธ.วิสามัญ พิจารณารายละเอียดเสร็จเรียบร้อยหลอมรวมร่างทั้ง 7 ฉบับ เป็น 1 ฉบับ และกำลังเข้าสู่กระบวนการรับฟังความคิดเห็นไปจนถึงวันที่ 8 ส.ค. ก่อนส่งเข้าสภาฯ เพื่อพิจารณาวาระ 2-3 ต่อไป
ความสำคัญของกฎหมายฉบับนี้อยู่การเป็นกุญแจสำคัญไปสู่แก้ปัญหามลพิษทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมในหลายมิติ ทั้งเรื่องสิทธิ มาตรการบริหาร มาตรการทางเศรษศาสตร์ การป้องกันจากแหล่งกำเนิดประเภทต่าง ๆ ไปจนถึงเรื่อง ‘กองทุนอากาศสะอาด’ และ บทลงโทษ ที่มีความชัดเจน
จับตาโครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง
แลนด์บริดจ์เป็นอีกโครงการสำคัญของรัฐบาลเพื่อไทยที่ประกาศเดินหน้าเต็มตัว ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากหลายฝ่ายที่เป็นห่วงเรื่องความคุ้มทุนและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตของชาวบ้าน ล่าสุด เมื่อ วันที่ 1 ส.ค. 2568 จากเวที “วิพากษ์ EHIA ท่าเรือแลนด์บริดจ์ชุมพร – ระนอง” ซึ่งเป็นการวิเคราะห์รายละเอียดใน รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการกิจการหรือการดำเนินการที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนอย่างรุนแรง (Environment and Health Impact Assessment: EHIA) ในหลากหลายมิติ
พบว่าการจัดทำ EHIA มีความไม่สมบูรณ์ทั้งขอบเขตพื้นที่ ผลกระทบ มูลค่าทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังใช้ข้อมูลทุติยภูมิ กรอบนิยามสุขภาพที่แคบ และมีข้อมูลผิดพลาดชัดเจน มีการใช้วิธี “ตัดแปะ” แทนที่จะศึกษาเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจริง รวมไปถึงการกำหนดขอบเขตไม่ครบ หรือ เจตนาลักไก่ ยิ่งทำให้ต้องติดตามว่าสุดท้ายแล้วรัฐบาลจะฝ่าเสียงต่อต้านเดินหน้าโครงการร้อนนี้ต่อไปหรือไม่
ความคืบหน้า ตึก สตง. ถล่ม
จากเหตุการอาคาร สตง. ถล่ม เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68 จนมีผู้เสียชีวิต 86 คนและผู้บาดเจ็บ 9 คน ส่วนอีก 14 คน อยู่ระหว่างการติดตามตัว โดยภายหลังการเปิด “ผลสอบการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีอาคารที่อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างของ สตง.” ที่ส่งถึงมือ นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร พบว่ามีการบกพร่องในการออกแบบและวิธีการก่อสร้าง โดยเฉพาะเทคนิคในการก่อสร้าง ทั้งผนังช่องลิฟท์และผนังบันได
ล่าสุดความคืบหน้าด้านคดี ทางตำรวจสรุปสำนวนกว่า 90,000 แผ่น ส่งอัยการฟ้อง 23 ผู้ต้องหา แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 ผู้ออกแบบ 7 คน กลุ่มที่ 2 ผู้ควบคุมงาน 5 คน และ กลุ่มที่ 3 ผู้รับจ้างก่อสร้าง 6 คน โดยคาดว่าน่าจะสั่งฟ้องได้ภายในวันที่ 6 ส.ค. นี้ ท่ามกลางการจับตาของสังคมว่าปลายทางจะสามารถเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษได้หรือไม่
ข้อพิพาทที่ดิน อช.ทับลาน-ชุมชนไทดำ สุราษฎร์ฯ
จากปมปัญหาเรื่อง น.ส.ล.ออกทับที่ชุมชน ของชาวไทดำ จ.สุราษฎร์ธานี ที่เป็นการต่อสู้เรียกร้องของชาวบ้านให้เพิกถอน น.ส.ล.มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ล่าสุด เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 68 ตัวแทนชาวไทดำ จ.สุราษฎร์ธานี เข้ายื่นหนังสือถึง อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ขอให้สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพิกถอนที่ดิน น.ส.ล.ทุ่งปากขอ ทับชุมชนไทดำ หมู่ที่1 และหมู่ที่ 4 บ้านทับชัน อ.บ้านนาเดิม
นอกจากนี้ ยังได้ไปยื่นเรื่องกับประธานกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้ดำเนินการติดตาม ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของทางจังหวัดสุราษฎร์ธานี ว่า เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบหรือมีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ หลังจากที่ยังไม่ดำเนินการเพิกถอน น.ส.ล. กระทบสิทธิชุมชน ที่จะต้องติดตามว่าสุดท้ายเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร
ทั้ง 10 ประเด็นนี้เป็นสถานการณ์ร้อนที่ต้องติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้
อีกพื้นที่ต้องจับตา คือความคืบหน้า คณะทำงานพิจารณาเสนอแนวทางเกี่ยวกับประเด็นร้องเรียนกรณีการรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียในการกำหนดเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน ภายใต้คณะอนุกรรมการอิสระเพื่อศึกษากำหนดแนวทางมาตรการเร่งรัดการปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐ (ONE MAP) มีกำหนดในการรับฟังความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ชุมชนที่เกี่ยวข้อง และประชาชนในการกำหนดแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน จ.นครราชสีมา จ.ปราจีนบุรี และ จ.สระแก้ว ระหว่างวันที่ 31 ก.ค. – 22 ส.ค.นี้