‘Proxy Leadership’ ภาวะผู้นำอยู่ที่ใคร ? เมื่อวิสัยทัศน์ ‘ทักษิณ’ กลายเป็นนโยบายเพื่อไทย

“ไม่มีคุณสมบัติและไม่มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหารด้วยประการทั้งปวง ขาดภาวะผู้นำ ขาดวุฒิภาวะ ขาดความรู้ความสามารถ และขาดเจตจำนงในการบริหารราชการแผ่นดินที่แก้ปัญหาให้แก่ประเทศชาติและประชาชน…”

ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

ข้อกล่าวหาของฝ่ายค้าน ที่นำโดย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้าน ร่วมกับคณะจำนวน 165 คน เป็นผู้เสนอยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยพุ่งเป้าที่ตัว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว


ฝ่ายค้านเดินหน้าเปิดศึก ดีลแลกประเทศ ตีกล่องดวงใจ ของ พรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า เป็น กลยุทธ์ การซักฟอกที่ไม่มีใครตอบแทน อุ๊งอิ๊ง – แพทองธาร ได้

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

มีภาวะผู้นำหรือไม่ ? คือสิ่งที่กูรูทางการเมือง วิเคราะห์กันว่า เป็นประเด็นใหญ่ของศึกซักฟอกรอบนี้ เพราะจากสภาวะการณ์ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ต้องยอมรับว่าเพื่อไทยอยู่กันแบบ “พ่อคิด ลูกทำ” มาตลอด และเมื่อนายใหญ่  ทักษิณ ชินวัตร ผู้ชื่นชอบการแสดงวิสัยทัศน์อยู่เนือง ๆ หลายเรื่องในเวทีวิสัยทัศน์ สุดท้ายกลับกลายเป็นนโยบายรัฐบาลเพื่อไทย


ขณะที่ภาพลักษณ์ของ นายน้อย ก็กลายเป็นคนที่ถูกมองว่า ไร้ภาวะผู้นำ ในสายตาของนักการเมือง และข้าราชการ เป็นมุมมองที่นักรัฐศาสตร์ และกูรูการเมือง เห็นตรงกันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลเสียต่อการบริหารงาน และความโปร่งใสของรัฐบาลอย่างปฏิเสธไม่ได้

Proxy Leadership : ความเป็นผู้นำแบบตัวแทน

ปุรวิชญ์ วัฒนสุข อาจารย์ประจำสาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า ภาพจำของ แพทองธาร คือ “มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี”  ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่สังคมจดจำ ระหว่างการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 แต่หลายมาตรการที่รัฐบาลพยายามทำ เช่น ค่าแรง เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทเพื่อ การกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยลูกหนี้ ยังเป็นมาตรการที่ไม่ได้สร้างการเติบโตทาง GDP อย่างที่วาดหวังไว้ 

ปุรวิชญ์ วัฒนสุข อาจารย์ประจำสาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

คำพูดในวันนั้น จึงยังไม่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความจริงจังในการเดินหน้า ลงมือทำนโยบายได้ ภาพจำวันนั้นจึงกลายเป็นเสียงวิจารณ์ที่นำมาสู่การ ล้อเลียน มากกว่า ความเชื่อมั่น ขณะเดียวกันอีกหลายนโยบายที่มีความสำคัญ เช่น เรื่องดอกเบี้ย การเงิน ก็ไม่เคยเห็นภาพนายกฯ มาตอบคำถามด้วยตัวเอง แต่เน้นมอบให้กุนซือของพรรคเป็นผู้ตอบแทนเสมอมา หรือคนที่ตอบแทน ก็มักจะเป็นคุณพ่อ หรือ ทักษิณ ชินวัตร มากกว่า


จึงอดไม่ได้ที่จะทำให้คิดไปว่า ประเทศไทยมีนายกฯ ที่ไม่มีภาวะผู้นำ โดย ปุรวิชญ์ ย้ำว่า ปรากฎการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นในหลายประเทศ ไม่ใช่ประเทศไทย โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย 

“ลักษณะของการเป็น Proxy Leadership หรือ ความเป็นผู้นำแบบตัวแทน มีในหลายประเทศไม่ใช่แค่ไทย คือ ตัวจริงไม่ได้อยู่ในสนาม แต่เราก็รู้ว่าใคร คือ ผู้นำตัวจริง”

ปุรวิชญ์ วัฒนสุข

‘ปลัดฯ ประเทศ’ ที่เป็น นายกฯ ได้นิดหน่อย ?

สอดคล้องกับ รศ.ธนพร ศรียากูล ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย ได้ให้นิยามบทบาท ของ นายกฯ แพทองธาร ว่า ไม่ค่อยเหมือน นายกฯ แต่เหมือน “ปลัดฯ ประเทศ” เพราะทำหน้าที่ได้เพียง ผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ เพราะในระดับกระทรวงมี รัฐมนตรี เป็นผู้กำหนดนโยบาย และมี ปลัดกระทรวงฯ นั้น ๆ เป็นคนนำนโยบายไปปฏิบัติ 


คุ้น ๆ เหมือนกับบทบาท ระหว่าง ทักษิณ และ แพทองธาร ซึ่งพ่อเป็นนายกฯ ตัวจริง ส่วนนายน้อย ก็รับบท ปลัดฯประเทศ เอานโยบายของนายใหญ่มาสั่งการต่อ

รศ.ธนพร ศรียากูล ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย

“คำว่า ปลัดประเทศ คือ คนที่ไม่ต้องริเริ่ม อะไร มีหน้าที่รับคำสั่งมาปฏิบัติ ให้บรรลุผล ส่วนที่ว่าจะต้องรับผิดชอบในทางการเมืองอะไรไหม ? ก็ไม่ต้อง เพราะคนที่รับผิดชอบ ก็คือ นายใหญ่ อยู่แล้ว…”

รศ.ธนพร ศรียากูล

พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 17 (6) ระบุชัดถึงบทบาทของ รัฐมนตรี หรือ นายกฯ มีหน้าที่กำหนดนโยบาย ขณะที่ บุคคลที่เป็น “ปลัดฯกระทรวง” มีหน้าที่ นำนโยบายไปปฏิบัตินั่นเอง


วิสัยทัศน์ กำหนด นโยบายเพื่อไทย ? ‘ทักษิณ’ คิด ‘อุ๊งอิ๊ง’ ทำ 

เป็นธรรมชาติของพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ “สโลแกนทักษิณ คิด เพื่อไทยทำ” แต่ลักษณะของเพื่อไทยตลอดช่วงเวลาของการบริหารงานหลังการเลือกตั้ง คือ “การกำหนดนโยบายจริง ๆ ผ่านการแสดงวิสัยทัศน์ ของ ทักษิณ ทั้งสิ้น” 


รศ.ธนพร มองว่า การมีนายกฯ ที่ไร้ภาวะผู้นำ เสมือนมี นายกฯ 2 คน ส่งผลเสียต่อประเทศ ยกตัวอย่างเช่น การประชุม ครม.ที่มีเสียงสะท้อนถึงบทบาทผู้นำประชุม ที่ไม่สามารถขมวดประเด็นได้ในแต่ละวาระ น้ำภาพการขาดภาวะผู้นำของการเป็นประธานในการประชุม

“ความไม่เป็นตัวของตัวเอง วุฒิภาวะของนายน้อย ทำให้ไม่สามารถขับเคลื่อนงานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น…”

รศ.ธนพร ศรียากูล

ยกตัวอย่าง โครงการเงินหมื่น ดิจิทัลวอลเล็ต หากนายกฯ มีภาวะผู้นำสามารถโน้มน้าวการประชุม ครม.เจ้าหน้าที่ระดับสูงของฝ่ายราชการ หรือสร้างความเชื่อมั่น ศรัทธาในฝีมือของนายกฯ ดิจิทัลวอลเล็ตก็จะสามารถขับเคลื่อนได้รวดเร็วกว่านี้

หลังเดินทางกลับประเทศไทย และเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ เวทีแรกที่ ทักษิณ ชินวัตร เข้าร่วมเพื่อแสดงวิสัยทัศน์คือ Vision for Thailand 2024 ในหัวข้อ “ทิศทางเศรษฐกิจจะขับเคลื่อนไปอย่างไร ทิศทางการเมืองไทยนับต่อจากนี้” ซึ่งจัดขึ้นโดยสถานีโทรทัศน์ Nation TV เมื่อ 22 สิงหาคม 2567 หลายสิ่งที่พูดบนเวที ถูกคนในรัฐบาลขานรับ


สุดท้ายสังคมได้เห็นการขับเคลื่อนเป็นมาตรการ และนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทย แม้บางเรื่อง ต้องยอมรับว่า ก็มีบรรจุไว้ในนโยบายที่ นายกฯ แพทองธาร เคยแถลงต่อรัฐสภาก็ตาม แต่อะไร ทำให้สังคมเกิดภาพจำว่า นโยบายเหล่านี้ เริ่มต้นจาก ทักษิณ

ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

นโยบายพ่อคิด – ลูกสั่ง – เพื่อไทยทำ ?

  • แก้ปัญหาหนี้บ้าน หนี้รถ  >>> คุณสู้เราช่วย

  • เศรษฐกิจใต้ดิน สู่ บนดิน >>> สถานบันเทิงครบวงจร/พนันออนไลน์

  • ศูนย์กลาง (HUB) ทางการเงิน กระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซา เพิ่ม GDP >>> ดิจิทัลวอลเล็ต

  • ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี สร้างบ้านให้คนไทยราคาถูกอยู่ได้ 99 ปี >>> บ้านเพื่อคนไทย

“คณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตมาเล่าให้ฟังว่า มีงบประมาณปี 2567 ที่ต้องใช้ภายในเดือนกันยายน ประมาณ 1.4 แสนล้านบาท (งบกลางปี 1.22 แสนล้านบาท และ งบกลาง 2 หมื่นล้านบาท) เงินจำนวนนี้จะนำไปใช้กับ 14.5 ล้านคนที่เป็นกลุ่มเปราะบางและคนพิการ ให้คนละ 10,000 บาท กระตุ้นเศรษฐกิจเบื้องต้นทันทีในเดือนกันยายน”

ทักษิณ ชินวัตร (22 ส.ค. 67)

คล้อยหลังไม่นาน 17 ก.ย. 67 ที่ประชุม ครม.ที่มี นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร เป็นประธาน ก็ได้อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ โดยจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายคือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวนไม่เกิน 12.4 ล้านราย และคนพิการจำนวนไม่เกิน 2.15 ล้านราย เป็นจำนวน 10,000 บาทต่อคน โดยจะเริ่มทยอยจ่ายเงินตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2567 เป็นต้นไป ก่อนจะมีการจ่ายเงินสดในเฟสที่ 2 ใหักับผู้สูงอายุ และเตรียมจะจ่ายเฟสที่ 3 เป็นดิจิทัลวอลเล็ตครั้งแรกใหักับกลุ่มวัยรุ่นเป็นเฟสต่อไป


การแสดงวิสัยทัศน์ในวันนั้น ยังมีอีกหลายประเด็นที่ไม่นานรัฐบาลก็ออกมาตรการ หรือ นโยบายขานรับ เช่น การนำเศรษฐกิจใต้ดิน ขึ้นมาบนดิน การปลดล็อกต่างชาติซื้อที่ดิน ถือครองโฉนดผ่าน ธนารักษ์ ให้สัญญาเช่า 99 ปี และนำเงินที่ได้ไปสร้างที่อยู่อาศัยให้กับคนรายได้น้อย การปรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้บ้าน หนี้รถ


ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ว่า ได้คุยกับธนาคารพาณิชย์ เขาแนะนำเสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาลดเงินจ่ายเข้ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือ FIDF และเข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝาก รวมอยู่ที่ 0.46-0.47% ลงครึ่งหนึ่ง เหลือ 0.23% ส่วนอีกครึ่งหนึ่งให้ธนาคารพาณิชย์นำไปบริหารหนี้รถยนต์ หนี้บ้าน ก็จะได้ยอดหนี้ประมาณ 1 ล้านล้านบาท ไม่ทำให้เกิดหนี้เสีย ทำให้คนไทยอยู่ต่อไปได้ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้ออกมาตรการ คุณสู้เราช่วย เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มนี้ แม้ล่าสุดจำนวนผู้ที่เข้าร่วมโครงการอาจยังไม่ได้ตามเป้าหมาย โดยธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ประกาศขยายเวลาการลงทะเบียนเข้าร่วมถึง 30 เม.ย.นี้


รศ.ธนพร มองว่า การแก้ปัญหา หนี้บ้าน หนี้รถ ผ่านนโยบายคุณสู้เราช่วย หากเข้าใจนโยบายแบบฉาบฉวย ก็จะไม่สามารถโน้มน้าวหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง กระทรวงการคลัง, สถาบันการเงิน, ธนาคารแห่งประเทศไทย ฯลฯ ให้เชื่อมั่นที่จะดำเนินนโยบายได้

“เมื่อผู้นำไม่มีความรู้เรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง ยิ่งทำให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ไม่มีความมั่นใจ ฝ่ายข้าราชการประจำ สัมผัสได้ถึงความไม่จริงจัง ของฝ่ายนโยบาย ก็ทำงานกันตามระเบียบเดิมประสิทธิผลของนโยบายก็ไม่ออกมา…”

รศ.ธนพร ศรียากูล


ส่วน นโยบายที่เกี่ยวกับการยกเศรษฐกิจใต้ดิน สู่ บนดิน อย่าง พนันออนไลน์ และ สถานบันเทิงครบวงจร เป็นนโยบายที่มีข้อถกเถียงเยอะ เมื่อนายกฯ ไม่สามารถแสดงให้เห็นได้ว่า มีความเข้าอกเข้าใจเรื่องนี้จริงๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งทำให้ การเดินหน้านโยบายล่าช้า ตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม โดยที่นายกฯ ไม่สามารถออกมาอธิบายข้อดี-ข้อเสีย ของการเดินหน้านโยบายได้อย่างชัดเจน


นโยบายบ้านเพื่อคนไทย เป็นโครงการที่ไม่ใช่ลักษณะเดียวกันกับที่หน่วยงานรัฐเคยทำ เช่น บ้านเอื้ออาทร หรือ บ้านการเคหะแห่งชาติ ฯลฯ ลักษณะทรัพย์อิงสิทธิ์ เป็นหลักการที่แตกต่างไปจากการซื้อบ้านทั่วไป ขณะที่หน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้ ก็ไม่ได้อยู่ในกระทรวงฯ ที่เพื่อไทยดูแล นายกรัฐมนตรี จำเป็นต้องมี บารมีทางการเมือง ที่จะทำให้รัฐมนตรี ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีประสบการณ์สูง เห็นด้วยกับการเดินหน้านโยบายได้อย่างมีภาวะผู้นำ 


รศ.ธนพร สรุปว่า รูปแบบของการเดินหน้านโยบายเพื่อไทยสะท้อนว่า หลังการ แสดงวิสัยทัศน์ รัฐมนตรีก็ออกมารับลูก แปรสภาพ สู่ มติคณะรัฐมนตรี สู่ แผนงาน และโครงการ ตามมาด้วยการของบประมาณ ซึ่งเป็นรูปแบบของเพื่อไทยมาตั้งแต่ยุคของ เศรษฐา ทวีสิน จนมาถึงยุคนายน้อย ก็ยิ่งหนักมากขึ้น จนอาจกลายเป็นผลเสียที่สะท้อน ภาวะไร้ผู้นำ ของลูกสาวแบบไม่ได้ตั้งใจ

กระตุ้นเศรษฐกิจแค่ระยะสั้น หวังแค่กลับมาเป็นที่ 1 เลือกตั้งสมัยหน้า ?

ล่าสุดสำหรับนโยบาย ซื้อหนี้ ก็เป็นอีกนโยบายที่มาจากคำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร  มีข้อสังเกตจาก สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า มองว่า “ไม่ถึงขั้นทักษิณพูด อุ๊งอิ้งทำ” เพราะด้วยความสัมพันธ์ระหว่าง พ่อ-ลูก จะแตกต่างไปจากยุค อดีตนายกฯ เศรษฐา ที่มีหน้าที่สนองเพียงอย่างเดียวหรือเรียกว่าเป็น ความสัมพันธ์แนวดิ่ง ต่างจากพ่อลูกที่มี ความสัมพันธ์แบบแนวราบ และบางครั้งลูกก็สั่งพ่อได้เช่นกัน…


ส่วน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ของเพื่อไทย ที่ถูกวิจารณ์หนัก เพราะแทบจะไปไม่ไดถึงการแก้ปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจระยะยาวจนถูกตั้งข้อสังเกตว่า “เพื่อไทย ซื้อเสียงล่วงหน้า” หรือไม่ ?

สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า

“เพื่อไทย ไม่ได้มองว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว เป็นผลดี แต่หวังผลเพียงการเลือกตั้งในครั้งหน้า ว่าจะได้กลับมาเป็นที่ 1 ต้องได้ 200 เสียง แปลว่า สิ่งที่ต้องการ คือ ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่มันชัดเจนว่า สิ่งที่เขาทำออกมาเป็นนโยบาย มันทำให้ตัวเลขขึ้นได้จริง…”

สติธร ธนานิธิโชติ

ยกตัวอย่างเช่น นโยบายซื้อหนี้ เป็นการซื้อหนี้ในระบบ ไม่ใช่ประชาชนทั่วไป รัฐบอกจะซื้อจากแบงค์มาบริหารเอง เพื่อทำให้เครดิตบูโรของคนที่เต็มเพดานเกิดช่องว่าง และสามารถนำไปก่อหนี้เพิ่มได้อีก “นี่คือวิธีการเพิ่มปริมาณเงินในอนาคต เข้าสู่ระบบ” แนวโน้มก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าคนจะก่อหนี้เพิ่ม


สมมุติว่า !

  • คนเคยเป็นหนี้ 1 แสนบาท 
  • รัฐบาลช่วยเหลือ 50,000 บาท 
  • มีช่องว่างอยู่ 50,000 บาท 
  • กู้เพิ่ม 50,000 บาท 
  • มีเงินในระบบ 50,000 บาท 
  • 50,000 x 1 ล้านบาท = 50,000 ล้านบาท 

ถือเป็นการเติมเงิน 5 หมื่นล้าน เข้าระบบหลัก เป็นสไตล์ของ ทักษิณ ที่บริหารเศรษฐกิจ ด้วยการยืมเงินในอนาคตมาใช้


การอภิปรายของฝ่ายค้านในครั้งนี้ แน่นอนว่าเน้นไปที่ เรื่องบุคคลในครอบครัว หรือ ทักษิณ เพราะไม่มีรัฐมนตรีคนไหนตอบแทนได้ หากตอบแทน อาจกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดแทน… 


อยู่ที่ว่า นายกฯ แพทองธาร จะยังใช้มุกเดิม “ประหม่า อ่อนน้อม ถ่อมตน” เพื่อหวังให้ฝ่ายค้านและประชาชน เห็นอกเห็นใจ หรือ จะใช้หมัดน็อก ตอบแบบแข็งกร้าวมั่นใจ แสดงถึงภาวะผู้นำ ให้ได้สักครั้งหนึ่งผ่านการอภิปรายครั้งนี้ 

Author

Alternative Text
AUTHOR

บุศย์สิรินทร์ ยิ่งเกียรติกุล

เรียนจบสายวิทย์-สังคมฯ-บริหารรัฐกิจฯ ทำงานไม่ตรงสาย และกลายเป็น "เป็ด" โดยไม่รู้ตัว สนใจการเมือง จิตวิทยาเด็ก วิธีคิดการมองสังคม และรักการสัมภาษณ์ผู้คน