“ฉันมิได้ร้องขอสิทธิพิเศษใด ๆ
เพียงขอให้บุรุษทั้งหลาย ถอนเท้าที่เหยียบย่ำบนคอของเรา”
ถ้อยคำที่ รูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก กล่าวต่อศาลสูงสุดสหรัฐฯ โดยอ้างคำของ ซาราห์ กริมเก นักเคลื่อนไหวต่อต้านการค้าทาส กำลังบ่งบอก ความเท่าเทียม คือสิ่งที่ผู้หญิงไม่ว่ายุคสมัยใดต้องการเรียกร้อง หนึ่งในความพยายามนั้น คือการถ่ายทอดผ่าน ภาพยนตร์สารคดี RBG ที่หยิบเอาชีวประวัติของ รูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก (Ruth Bader Ginsburg) มาสื่อสารกับสังคมโลก
กินส์เบิร์ก เป็นผู้พิพากษาศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ที่เริ่มต้นจากการเป็นนักศึกษากฎหมายที่ต้องเผชิญการเลือกปฏิบัติทางเพศ ก่อนก้าวสู่การเป็นนักกฎหมาย และนักต่อสู้เพื่อสิทธิและความเท่าเทียมของผู้หญิง
และเนื่องใน วันสตรีสากล 8 มีนาคมปีนี้ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) จึงร่วมกับ ชมรมสมาชิกรัฐสภาสตรีไทย, มูลนิธิเวสต์มินสเตอร์เพื่อประชาธิปไตย (WFD), สถาบันสัญญาธรรมศักดิ์ เพื่อประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และภาคีเครือข่าย ร่วมกันจัดงาน International Women’s Day Film Talk 2025 : Breaking Barriers, Redefining Norms เพื่อเฉลิมฉลองบทบาทผู้นำของผู้หญิงในอาชีพทางการเมืองและอาชีพอื่น ๆ นั่นทำให้เรื่องราวของ กินส์เบิร์ก จากสารคดี RBG ถูกมาอธิบายมากขึ้น
The Active จึงถือโอกาส วันสตรีสากล ชวนทำความเข้าใจ เพื่อหวังให้การเลือกปฏิบัติระหว่างเพศยุติลงเสียที นำไปสู่ความเท่าเทียมอย่างแท้จริง

ความยุติธรรมใต้แผงคอของผู้พิพากษาสูงสุด
กินส์เบิร์ก เติบโตมาในครอบครัวยิวที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา เธอพิสูจน์ตัวเองอย่างมากจนได้มีโอกาสเรียนใน คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งมีนักศึกษาหญิง เพียง 9 คนจากทั้งหมด 500 คน โดยสังคมขณะนั้นมองว่า โรงเรียนกฎหมายเป็นพื้นที่ของผู้ชาย
จากนั้นเธอก็เผชิญกับการเลือกปฏิบัติอย่างหนัก แต่ก็สามารถพิสูจน์ความสามารถของตนเองได้ จนกระทั่งย้ายไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และจบการศึกษาในปี 1959 ด้วยคะแนนสูงสุดของรุ่น
แม้มีผลการเรียนยอดเยี่ยม แต่กินส์เบิร์กกลับหางานได้ยาก เนื่องจากเธอเป็นทั้งผู้หญิง ยิว และแม่ อย่างไรก็ตาม เธอสามารถเริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลแขวง ก่อนจะก้าวเข้าสู่วงการการศึกษา ด้วยการเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยรัตเกอร์ส และมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ก่อนมาเป็นหัวเรือใหญ่ของการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี
หนึ่งในคดีสำคัญของ กินส์เบิร์ก คือ การตัดสินให้สถาบันการทหารเวอร์จิเนีย (Virginia Military Institute) ซึ่งเคยเป็นวิทยาลัยชายล้วน ต้องเปิดรับผู้หญิงเข้าเรียน โดยเธอยืนยันว่าผู้หญิงควรมีโอกาสในการพิสูจน์ตนเอง ไม่ใช่เพื่อให้ผู้หญิงอยู่เหนือเพศชาย แต่เพื่อให้ได้รับโอกาสเช่นเดียวกับผู้ชายที่สังคมมอบให้เสมอมา โดยสิทธิเหล่านี้ถูกประกันและรักษาไว้ในรัฐธรรมนูญ คุณูปการที่สำคัญคือการวางรากฐานของระบบกฎหมายและการต่อต้านการเลือกปฏิบัติทางเพศ ทำให้ผู้หญิงอเมริกันทุกวันนี้ ได้มีสิทธิเสมอหน้าทัดเทียมกับผู้ชายในหลาย ๆ ประการ
กินส์เบิร์ก เคยกล่าวไว้ว่า “ผู้คนมักถามฉันว่า… เมื่อไรจะมีผู้หญิงเพียงพอในศาลสูงสุด ? และคำตอบของฉันก็คือ เมื่อมีผู้หญิงทั้งเก้าคน” คำกล่าวนี้สร้างความฮือฮาในสังคมอย่างมากถึงความสุดโต่งของเธอ แต่ที่ผ่านมากลับไม่มีใครเอะใจถึงจำนวนผู้พิพากษาที่เป็นเพศชายเลย และด้วยความพยายามของเธอ ทำให้จำนวนนักศึกษาหญิงในโรงเรียนกฎหมายของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนกระทั่งในปี 2016 เป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงมีสัดส่วนเกิน 50% และแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง
แผงคอผู้พิพากษาของกินส์เบิร์ก ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการยืนหยัดเพื่อความเท่าเทียมทางเพศ และสิทธิสตรี เดิมที ชุดคลุมผู้พิพากษาถูกตัดเย็บทรงมาให้เหมาะกับผู้ชาย แต่เธอดัดแปลงใหม่ และใช้แผงคอเป็นการสื่อสารเชิงสัญญะ เช่น “Dissent Collar” ที่เธอสวมใส่ในวันที่เธอแสดงความเห็นแย้งต่อคำตัดสินที่เธอเห็นว่าไม่เป็นธรรม แผงคอของเธอเปรียบเสมือนเกราะป้องกันและสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อผู้หญิง ชนกลุ่มน้อย ผู้อพยพ LGBTQ+ และผู้พิการ
‘จงอย่ายึดติดกับตัวเลข’…นั่นไม่ใช่เป้าหมายของการต่อสู้
เพื่อสิทธิสตรี และสังคมที่เทียมเท่า
ข้อมูลจาก IPU’s Global Data on National Parliaments ปี 2025 ระบุว่า มีเพียง 27.2% ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วโลกที่เป็นผู้หญิง ขณะที่ในภูมิภาคอาเซียนมีสัดส่วนเฉลี่ยเพียง 23% และ ไทยอยู่ที่ 19.4% รั้งอันดับ 127 จาก 168 ประเทศทั่วโลก
ขณะที่รายงาน Gender Social Norms Index 2023 ของ UNDP ที่ทำการสำรวจประชากรโลกร้อยละ 85% พบว่า เกือบ 9 ใน 10 ของผู้ชายและผู้หญิงมีอคติต่อเพศหญิง ในมิติที่เกี่ยวข้องกับการเมือง นอกจากนี้ยังพบว่า ประชากรโลกเกือบครึ่งหรือ 49% เชื่อว่า ผู้ชายสามารถเป็นผู้นำทางการเมืองได้ดีกว่าผู้หญิง
“พื้นที่ของผู้หญิงถูกขังอยู่ในครัวมาตั้งแต่ยุคสมัยของอริสโตเติล หรือเมื่อ 4,000 ปีที่แล้ว
ศ.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์
เพราะนั่นคือบทบาทที่เรามองว่าเหมาะกับผู้หญิง ทำให้เวลาสตรีเข้าสู่บทบาทการเมือง
มันก็เลยเกิดอาการมองกันเอาเองว่า ผู้หญิงไม่เหมาะ”
ในวงเสวนาสิทธิสตรีของ UNDP ศ.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า แม้ว่าการเลือกตั้งครั้งล่าสุดจะมีสัดส่วนผู้หญิงที่ได้รับเลือกตั้งมากขึ้น แต่เมื่อเทียบกับมาตรฐานระดับโลกแล้ว ประเทศไทยยังคงมีตัวแทนผู้หญิงในสถาบันทางการเมืองในสัดส่วนที่ต่ำ สาเหตุหนึ่งมาจาก ระบบคิดแบบไบนารีที่แบ่งเพศออกเป็นสองประเภท คือ ชายและหญิง พร้อมกับการกำหนดบทบาทตายตัวว่าผู้หญิงควรทำหน้าที่ใดในสังคม ความเชื่อเหล่านี้ฝังรากลึกมานาน ทำให้การมีส่วนร่วมของผู้หญิงในพื้นที่สาธารณะ โดยเฉพาะในสถาบันนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ถูกจำกัดโดยโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรม

ปัญหานี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้หญิงจำนวนมากยังคงลังเลที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งหรือเข้ามามีบทบาททางการเมือง เนื่องจากพวกเธอถูกทำให้เชื่อว่าตนเองขาดคุณสมบัติหรือไม่เหมาะสมกับตำแหน่งที่มีอำนาจตัดสินใจ ระบบที่ฝังรากลึกนี้ยังส่งผลต่อการประเมินศักยภาพของผู้หญิงจากสังคมโดยรวม ซึ่งมักจะมองว่าผู้หญิงควรทำหน้าที่ในครอบครัวมากกว่าการบริหารประเทศ
หลายประเทศพยายามแก้ปัญหานี้ด้วยการกำหนดโควตาเพศ (Gender Quota) ในรัฐธรรมนูญ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้หญิงในสถาบันการเมือง ตัวอย่างเช่น ประเทศลาวที่มีข้อบังคับให้ผู้แทนราษฎรต้องมีสัดส่วนผู้หญิงอย่างน้อย 30% อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทย แม้
จะมีข้อเสนอให้กำหนดโควตาผู้หญิงในรัฐธรรมนูญ แต่ยังไม่สามารถผลักดันให้เกิดขึ้นจริงได้
“อย่างไรก็ตาม “การใช้กฎหมายบังคับให้มีสัดส่วนผู้หญิงในสถาบันการเมืองอาจไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ประสบการณ์จากหลายประเทศแสดงให้เห็นว่า การบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมได้ สิ่งที่สำคัญกว่าคือการสร้างการตระหนักรู้และเปลี่ยนแปลงทัศนคติของสังคมเกี่ยวกับบทบาทของผู้หญิง”
ศ.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์
ส่งเสริมผู้หญิง กล้าก้าวออกจากรอบเดิม ๆ
แนวทางแก้ไขที่สำคัญ ศ.ชลิดาภรณ์ มองว่า คือการตั้งคำถาม และท้าทายระบบคิดแบบไบนารีที่กำหนดบทบาทของเพศหญิงและเพศชายในสังคม ควรมีการส่งเสริมให้ผู้หญิงกล้าก้าวออกจากกรอบเดิม ๆ และมีโอกาสแสดงศักยภาพในเวทีสาธารณะมากขึ้น นอกจากนี้ ต้องมีการสนับสนุนทางสังคมและครอบครัว เพื่อให้ผู้หญิงสามารถเข้ามามีบทบาททางการเมืองได้โดยไม่ถูกจำกัดด้วยภาระหน้าที่ในครัวเรือนเพียงอย่างเดียว
สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นคือ การส่งเสริมสิทธิของผู้หญิงไม่ควรเป็นเรื่องของการให้สิทธิพิเศษหรือการเพิ่มจำนวนเพียงเพื่อให้ครบตามโควตา แต่ควรเป็นการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมให้ทุกคนสามารถแข่งขันกันได้อย่างยุติธรรม โดยไม่ถูกจำกัดด้วยอคติทางเพศ การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องเกิดขึ้นจากทั้งระดับโครงสร้างและทัศนคติของสังคมในภาพรวม
สุดท้ายแล้ว การทำลายกำแพงทางเพศ และการกำหนดบทบาทใหม่ให้กับผู้หญิงในสังคมไทยไม่สามารถทำได้เพียงลำพังโดยอาศัยกฎหมาย แต่ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและการรับรู้ร่วมกัน เพื่อให้ทุกเพศสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในสังคมและการเมืองได้อย่างแท้จริง
ความรุนแรง ‘ไร้เสียง’ ที่ผู้หญิงต้องเก็บซ่อน
เพื่อรักษา ‘ครอบครัวที่อบอุ่น’
ความรุนแรงในครอบครัวเป็นอีกปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเป็นประเด็นที่กระบวนการยุติธรรมยังไม่สามารถแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ สถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา หัวหน้าฝ่ายสื่อสารและดูแลภาพลักษณ์องค์กร สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ระบุว่า หนึ่งในปัญหาที่พบคือการที่ผู้เสียหายไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ตัวอย่างเช่น มีกรณีที่หญิงสาวคนหนึ่งถูกทำร้ายและไปร้องทุกข์กับตำรวจ แต่กลับไม่ได้รับการดำเนินคดีอย่างจริงจัง จนกระทั่งผู้ก่อเหตุไปก่ออาชญากรรมร้ายแรงอีกครั้ง ซึ่งสะท้อนถึงช่องโหว่ของระบบที่ปล่อยให้ความรุนแรงดำเนินต่อไปโดยไม่มีการป้องกัน

สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่า คือ ลักษณะของข่าวที่สื่อมวลชนนำเสนอเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัว ส่วนใหญ่มักถูกลดทอนให้กลายเป็นเพียงเรื่อง “ผัวเมียทะเลาะกัน” หรือ “เหตุทะเลาะวิวาทภายในบ้าน” ทำให้ปัญหานี้ไม่ได้รับความสนใจในเชิงโครงสร้าง การรายงานเช่นนี้ส่งผลให้สังคมมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องที่ต้องได้รับการแก้ไขเชิงนโยบายหรือกฎหมาย ในขณะที่ข้อเท็จจริงคือความรุนแรงในครอบครัวมักนำไปสู่การสูญเสียชีวิต และเป็นผลจากวัฒนธรรมที่ให้ความชอบธรรมแก่พฤติกรรมของผู้กระทำ
ทั้งนี้จากข้อมูลของศูนย์พึ่งได้ (OSCC) ภายใต้กระทรวงสาธารณสุข ในปี 2564 มีผู้หญิงกว่า 11,600 คนที่ถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ แต่เมื่อดูข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลับพบว่ามีการดำเนินคดีเพียง 85 คดี ซึ่งเป็นตัวเลขที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนให้เห็นว่าผู้เสียหายจำนวนมากไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หรืออาจไม่ได้รับการดำเนินคดีอย่างที่ควรจะเป็น เหตุผลส่วนหนึ่งมาจากทัศนคติของเจ้าหน้าที่ที่มองว่าเป็น “เรื่องของผัวเมีย” จึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินคดีอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ กระบวนการยุติธรรมยังมีช่องโหว่อีกหลายประการ เช่น ในคดีที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงในครอบครัว มักพบว่ามีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่กลายเป็นผู้ต้องขังเนื่องจากใช้ความรุนแรงตอบโต้ผู้ที่ทำร้ายตนเอง โดยที่ระบบไม่ได้พิจารณาถึงบริบทของการถูกกระทำมาก่อนหน้านี้ นี่เป็นปัญหาที่สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมทางเพศในกระบวนการยุติธรรม ที่ยังคงให้ความสำคัญกับข้อกฎหมายเชิงเทคนิคมากกว่าการคำนึงถึงความเป็นจริงของสถานการณ์
“มายาคติเรื่อง “ครอบครัวแสนสุข” ที่ผู้หญิงถูกคาดหวังให้เป็นผู้เสียสละและอดทนต่อความรุนแรงเพื่อรักษาครอบครัวไว้ ความเชื่อนี้ส่งผลให้ผู้หญิงจำนวนมากไม่กล้าแจ้งความหรือดำเนินคดี เพราะเกรงว่าการเปิดเผยปัญหาจะนำไปสู่การแตกแยกของครอบครัว รวมถึงแรงกดดันจากสังคมที่มองว่าผู้หญิงต้องอดทนต่อเพื่อความสงบสุขของครอบครัว”
สถาพร พงษ์พิพัฒน์วัฒนา
ทางออกของปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่การรอให้ผู้หญิงต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพียงลำพัง แต่ต้องเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้การดำเนินคดีมีประสิทธิภาพมากขึ้น การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้เข้าใจปัญหาในมิติทางสังคม ตลอดจนการสร้างความตระหนักรู้ในสังคมว่า เรื่องผัวเมีย ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง หากเราต้องการสร้างสังคมที่ปลอดภัยและเป็นธรรมสำหรับทุกคน
ชาติเป็นชาติ เพราะสตรีสร้างชาติ
ด้วยหยาดเหงื่อ และเชื้อไขในน้ำนม
ขณะเดียวกัน ลูกจ้างทำงานบ้าน ในประเทศไทย หรือที่รู้จักกันในอาชีพ แม่บ้าน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานหญิงที่เคลื่อนย้ายจากต่างจังหวัดสู่เมืองใหญ่ หรือมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพราะโอกาสในต่างจังหวัดไม่อาจสร้างเงินได้มากนัก พวกเธอทำงานและอาศัยอยู่ในบ้านนายจ้าง ทำให้การเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการยากลำบาก ซ้ำร้ายบางครั้งต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการถูกล่วงละเมิดทั้งร่างกายและจิตใจ แต่อาชีพที่ถูกด้อยค่าเหล่านี้ กลับมีคุณค่าอย่างมากในการพัฒนามนุษย์คนหนึ่งในเติบโตมาอย่างแข็งแรง
มาลี สอบเหล็ก ลูกจ้างทำงานบ้าน และอดีตประธานเครือข่ายลูกจ้างทำงานบ้านในประเทศไทย เล่าถึงชีวิตการทำงานของเธอ ต้องทำงานหาเงินเพื่อส่งไปให้ลูกที่อยู่ห่างไกล เป็นความเจ็บปวดในฐานะแม่คนหนึ่งที่มีเวลาดูแลลูกคนอื่นตลอด 24 ชั่วโมง แต่กลับไม่มีโอกาสได้มองหน้าลูกของตนเองอย่างเต็มที่
“อาชีพของเรา ถูกกดทับด้วยการที่เราไม่สามารถที่จะออกไปมีครอบครัว หรือมีลูก เราต้องคิดแล้วว่าเราจะคุยกับนายจ้างยังไง เราจะต้องตกงานไหม รัฐบาลก็ต้องมองเห็นว่ากลุ่มสตรีกลุ่มนี้นี่แหละที่คุณมองข้ามมาตลอด ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำไมถึงอัตราการเกิดมันลดลงเรื่อย ๆ”
มาลี สอบเหล็ก
ชีวิตของลูกจ้างทำงานบ้านหลายคนถูกกำหนดโดยความเมตตาของนายจ้าง เพราะพวกเธอเป็นแรงงานนอกระบบที่ไม่ได้รับสิทธิเทียบเท่ากับแรงงานในระบบ แม้ล่าสุดกฎกระทรวง ฉบับที่ 15 (พ.ศ.2567) จะเพิ่มความคุ้มครองลูกจ้างทำงานบ้านที่ไม่อยู่ในรูปแบบธุรกิจถึง 11 เรื่อง เช่น การทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน, สิทธิการลาคลอด 98 วัน และห้ามเลิกจ้างเพราะเหตุมีครรภ์ แต่ในความเป็นจริง ลูกจ้างหลายคนยังคงเจอปัญหาในการเข้าถึงสิทธิดังกล่าว
มาลี ยังเล่าว่า เธอเคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 แต่เมื่อเลิกสัญญากับนายจ้างเดิมกลับเสียสิทธิ และไม่ทันได้ส่งมาตรา 39 ทำให้เธอไม่มีหลักประกันทางสังคม แม้จะสามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ได้ แต่เธอกลับเลือกที่จะไม่ทำ เพราะเธอต้องการเห็นแรงงานทำงานบ้านถูกรวมอยู่ในมาตรา 33 เช่นเดียวกับแรงงานในระบบ
ความจำเป็นในการรวมกลุ่มของแรงงานทำงานบ้านเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการทำงานที่แยกกันตามบ้านนายจ้างต่างๆ ทำให้การรวมตัวและการแสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อมีการรวมกลุ่มก็ทำให้พวกเขาได้ปรึกษาและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ทำให้เห็นว่าปัญหาที่พบเจอนั้นมีความคล้ายคลึงกัน เช่น การขาดการดูแลด้านสุขภาพ การไม่มีสิทธิ์ลาคลอด หรือการไม่ได้รับค่าจ้างขณะเจ็บป่วย
แม้อายุของมาลีจะเกิน 50 ปี แต่เธอยังคงเดินหน้าสร้างระบบสิทธิแรงงานที่เข้มแข็ง เพื่อส่งต่อให้แรงงานรุ่นหลังที่ต้องเผชิญกับสังคมสูงวัย โลกที่ซับซ้อน และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เธอเรียกร้องให้รัฐมองเห็นว่าลูกจ้างทำงานบ้านก็คือแรงงาน และพวกเธอก็คือมนุษย์ที่ควรได้รับสิทธิมนุษยชน พร้อมส่งกำลังใจให้เพื่อนแรงงานสตรี เชื่อมั่นในพลังของตัวเอง และบทบาทของแม่ที่สร้างชาติ และสร้างคนของชาติด้วยหยาดเหงื่อและแรงงาน
บทส่งท้าย : จากบัลลังก์ผู้พิพากษา สู่ ‘หัตถาครองพิภพ’
บทบาทของสตรีในยุคใหม่ ยังควบคู่อยู่กับบทบาทของความเป็นแม่ ถึงกระนั้น สังคมก็ไม่อาจกำหนดให้ผู้หญิงต้องมีบทบาทเฉพาะในทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นมือที่ไกวเปลไสว หรือมือที่ถือค้อนพิพากษา ทุกคนต่างพยายามทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ เพื่อปกป้องคนที่รักและสังคมที่พวกเธอเติบโตขึ้นมา
คำถามที่สำคัญคือในวันที่สตรีกำลังพยายามอย่างหนัก ภาครัฐหรือภาคเอกชนได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนและยืนหยัดเคียงข้างพวกเธออย่างไรบ้าง เพื่อให้ความพยายามเหล่านั้นไม่สูญเปล่า ไม่ว่าจะเป็นผ่านนโยบายรัฐสวัสดิการ การรณรงค์เพื่อสิทธิสตรี หรือการให้เกียรติแก่สตรีในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง
คงไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัวว่าบทบาทของสตรีในโลกยุคใหม่ควรเป็นอย่างไร เพราะพวกเธอมีสิทธิและอำนาจในการเลือกชีวิตที่ต้องการ รวมทั้งสิทธิในการเข้ามามีส่วนร่วมในองค์กรทางการเมือง เช่น ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายตุลาการ และการเปิดพื้นที่ให้สตรีได้มีบทบาทยังคงเดินหน้าต่อไป เพราะเรื่องสิทธิสตรีไม่ใช่เรื่องที่พูดเพียงครั้งเดียวแล้วจบ แต่ต้องตรวจสอบและทักท้วง ไปตลอดกระบวนการแห่งประชาธิปไตยที่ไม่มีวันจบสิ้น