ลมหนาวและสายหมอกยามเช้าที่ลอยต่ำเหนือหุบเขา คือภาพคุ้นตาของชาวบ้านใน “ชุมชนชาติพันธุ์ลาหู่ บ้านดอยแหลม” อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ แต่สำหรับกลุ่มนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เช้านี้อาจเป็นความรู้สึกใหม่ที่ไม่เคยสัมผัส
เพราะบทเรียนจากตำราในรายวิชา JC333 (การผลิตข่าวในสื่อดิจิทัล) อาจไม่พอจะเปิดโลกได้ทั้งหมด นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญให้พวกเขาได้ก้าวออกจากห้องเรียน มาสัมผัสความจริงของชีวิตที่หล่อหลอมวิถีของชุมชนชาติพันธุ์แห่งนี้
สำหรับเด็กเมืองหลายคน นี่คือครั้งแรกที่ได้ออกจากรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อตามหาประสบการณ์นอกตำรา และในเช้าวันนี้ สิ่งที่ต้อนรับพวกเขากลับเป็นรอยยิ้มใส ๆ ของเด็ก ๆ ลาหู่ ที่ดีใจเมื่อได้เจอพี่ ๆ จากต่างถิ่น ความสนิทสนมที่เกิดขึ้นในชั่วอึดใจ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดโลกระหว่าง “คนเมืองรุ่นใหม่” กับวิถีผู้คนบนที่สูง ที่แม้เคยดูไกล แต่กลับใกล้ขึ้นอย่างน่าแปลกใจ
ไม่นานนักศึกษามีนัดกับ “พ่อหลวงวีร์” ผู้ใหญ่บ้าน ที่อาสาพาไปสัมผัสวิถีการทำกินแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า “นามะอื้น” นาข้าวบนดอยสูง กว่า 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งเป็นความสูงอันดับต้น ๆ บนเนื้อที่กว้างใหญ่กว่า 400 ไร่บริเวณนี้ อาจหลงเหลืออยู่น้อยเต็มทีในเมืองไทย และโชคดีที่ชาวลาหู่ที่นี่ยังคงสืบสานการปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมืองด้วยภูมิปัญญา ไม่พึ่งพาสารเคมี
การเดินทางจากหมู่บ้านไปสู่นามะอื้น ต้องอาศัยรถกระบะพาไต่เขา ลัดเลาะไปตามแนวตะเข็บชายแดนไทย–เมียนมา ผ่านเส้นทางที่แทบไม่เคยได้รับการปรับปรุง ถนนลาดยางถูกแทนที่ด้วยดินที่ถูกกัดเซาะจนบางช่วงแทบไม่เหลือเค้าโครงของถนน ระยะทางเพียง 20 กว่ากิโลเมตร แต่ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง ก็น่าจะบอกได้ดีถึงความยากลำบากในการไปถึงแหล่งทำกินของชาวบ้าน
“นามะอื้น” คือพื้นที่ทำกินที่ถูกกันออกจากเขตอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก เป็นนาบนที่ราบระหว่างร่องเขา ที่คนจาก 2 หมู่บ้าน คือ “บ้านดอยแหลม” และ “บ้านนามะอื้น” รับช่วงต่อกันมาจากบรรพบุรุษ ใช้น้ำฝนและสายน้ำจาก “ห้วยแม่กึม” เป็นหัวใจสำคัญของการปลูกข้าว ชาวบ้านจะเริ่มเตรียมแปลง หว่านข้าวในช่วงก่อนสงกรานต์ (มีนาคม–เมษายน) และช่วงปลายปีแบบนี้ (พฤศจิกายน) ก็เป็นเวลาของการเก็บเกี่ยว
วันนี้นักศึกษาจึงได้ลอง “เกี่ยวข้าว” เป็นครั้งแรกในชีวิต แทบทุกคนไม่เคยจับเคียว ชาวบ้านจึงต้องคอยแนะนำทีละขั้นตอน การได้สัมผัสวิถีนาบนที่สูง ทำให้เด็กต่างจังหวัดบางคนย้อนนึกถึงอาชีพดั้งเดิมของคนรุ่นปู่ย่าตายาย แม้ในรุ่นของพวกเขาแทบจะไม่เคยได้ร่วมทำนาแล้ว ส่วนบางคนก็ไม่เคยแม้แต่เดินบนคันนา การได้มาเกี่ยวข้าววันนี้ จึงกลายเป็นประสบการณ์ตรง ที่ไม่มีอยู่ในหนังสือเล่มไหน
“พ่อหลวงวีร์” - เจตกรวีร์ จิรารัชตพงค์ ผู้ใหญ่บ้านบ้านดอยแหลม เล่าว่า นามะอื้นคือแหล่งผลิตข้าวสำคัญเพียงแห่งเดียวของชุมชน ข้าวพันธุ์พื้นถิ่นที่เก็บเกี่ยวมาได้ ชาวบ้านจะเก็บไว้กินเองในครัวเรือน ถึงแม้ปัจจุบันจะมีข้าวให้ซื้อหลายยี่ห้อ และมีต้นทุนราคาถูกกว่า ไม่ต้องลำบากเดินทางไปทำนา แต่ชาวบ้านก็ยอมรับว่า “กินที่ไหนก็ไม่อร่อย รสชาติดีเท่ากับข้าวที่ปลูกเอง”
“ลุงจักรี” ชาวนาบนที่สูง ให้คำตอบเมื่อถามว่า "ข้าวที่นี่พิเศษยังไง ?" เขาย้ำว่า "แค่พี่น้องลูกหลานมาช่วยเกี่ยวข้าวร่วมกัน กินข้าวร่วมกันก็พิเศษแล้ว" เขายังบอกด้วยว่า "เราไม่รู้ว่าวันไหนข้าวจะแพง ถ้าแพงเราไม่มีเงินซื้อข้าวกิน การพึ่งพาตัวเองดีสุด"
นี่คือบทเรียนที่ทำให้เห็นว่า “ข้าวหนึ่งเม็ดมีเรื่องราวยาวไกลกว่าอาหารบนจาน” ที่บ้านดอยแหลม เด็กเมืองจึงไม่ได้เป็นเพียง “ผู้มาเยือน” แต่เป็นผู้ที่ได้เห็นว่าเบื้องหลังวิถีเรียบง่ายบนดอยนั้นเต็มไปด้วยภูมิปัญญา ความรู้ ความอดทน และความงดงามที่ไม่ค่อยมีให้เห็นในเมืองใหญ่
และบางที… การได้ใช้เวลาอยู่กับชุมชนชาติพันธุ์ อาจสอนให้พวกเขาเข้าใจ “โลกอีกใบ” ของคนบนที่สูงได้มากกว่าตำราใด ๆ ในมหาวิทยาลัย
เพราะบทเรียนจากตำราในรายวิชา JC333 (การผลิตข่าวในสื่อดิจิทัล) อาจไม่พอจะเปิดโลกได้ทั้งหมด นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญให้พวกเขาได้ก้าวออกจากห้องเรียน มาสัมผัสความจริงของชีวิตที่หล่อหลอมวิถีของชุมชนชาติพันธุ์แห่งนี้
สำหรับเด็กเมืองหลายคน นี่คือครั้งแรกที่ได้ออกจากรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อตามหาประสบการณ์นอกตำรา และในเช้าวันนี้ สิ่งที่ต้อนรับพวกเขากลับเป็นรอยยิ้มใส ๆ ของเด็ก ๆ ลาหู่ ที่ดีใจเมื่อได้เจอพี่ ๆ จากต่างถิ่น ความสนิทสนมที่เกิดขึ้นในชั่วอึดใจ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดโลกระหว่าง “คนเมืองรุ่นใหม่” กับวิถีผู้คนบนที่สูง ที่แม้เคยดูไกล แต่กลับใกล้ขึ้นอย่างน่าแปลกใจ
ไม่นานนักศึกษามีนัดกับ “พ่อหลวงวีร์” ผู้ใหญ่บ้าน ที่อาสาพาไปสัมผัสวิถีการทำกินแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า “นามะอื้น” นาข้าวบนดอยสูง กว่า 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซึ่งเป็นความสูงอันดับต้น ๆ บนเนื้อที่กว้างใหญ่กว่า 400 ไร่บริเวณนี้ อาจหลงเหลืออยู่น้อยเต็มทีในเมืองไทย และโชคดีที่ชาวลาหู่ที่นี่ยังคงสืบสานการปลูกข้าวพันธุ์พื้นเมืองด้วยภูมิปัญญา ไม่พึ่งพาสารเคมี
การเดินทางจากหมู่บ้านไปสู่นามะอื้น ต้องอาศัยรถกระบะพาไต่เขา ลัดเลาะไปตามแนวตะเข็บชายแดนไทย–เมียนมา ผ่านเส้นทางที่แทบไม่เคยได้รับการปรับปรุง ถนนลาดยางถูกแทนที่ด้วยดินที่ถูกกัดเซาะจนบางช่วงแทบไม่เหลือเค้าโครงของถนน ระยะทางเพียง 20 กว่ากิโลเมตร แต่ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง ก็น่าจะบอกได้ดีถึงความยากลำบากในการไปถึงแหล่งทำกินของชาวบ้าน
“นามะอื้น” คือพื้นที่ทำกินที่ถูกกันออกจากเขตอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก เป็นนาบนที่ราบระหว่างร่องเขา ที่คนจาก 2 หมู่บ้าน คือ “บ้านดอยแหลม” และ “บ้านนามะอื้น” รับช่วงต่อกันมาจากบรรพบุรุษ ใช้น้ำฝนและสายน้ำจาก “ห้วยแม่กึม” เป็นหัวใจสำคัญของการปลูกข้าว ชาวบ้านจะเริ่มเตรียมแปลง หว่านข้าวในช่วงก่อนสงกรานต์ (มีนาคม–เมษายน) และช่วงปลายปีแบบนี้ (พฤศจิกายน) ก็เป็นเวลาของการเก็บเกี่ยว
วันนี้นักศึกษาจึงได้ลอง “เกี่ยวข้าว” เป็นครั้งแรกในชีวิต แทบทุกคนไม่เคยจับเคียว ชาวบ้านจึงต้องคอยแนะนำทีละขั้นตอน การได้สัมผัสวิถีนาบนที่สูง ทำให้เด็กต่างจังหวัดบางคนย้อนนึกถึงอาชีพดั้งเดิมของคนรุ่นปู่ย่าตายาย แม้ในรุ่นของพวกเขาแทบจะไม่เคยได้ร่วมทำนาแล้ว ส่วนบางคนก็ไม่เคยแม้แต่เดินบนคันนา การได้มาเกี่ยวข้าววันนี้ จึงกลายเป็นประสบการณ์ตรง ที่ไม่มีอยู่ในหนังสือเล่มไหน
“พ่อหลวงวีร์” - เจตกรวีร์ จิรารัชตพงค์ ผู้ใหญ่บ้านบ้านดอยแหลม เล่าว่า นามะอื้นคือแหล่งผลิตข้าวสำคัญเพียงแห่งเดียวของชุมชน ข้าวพันธุ์พื้นถิ่นที่เก็บเกี่ยวมาได้ ชาวบ้านจะเก็บไว้กินเองในครัวเรือน ถึงแม้ปัจจุบันจะมีข้าวให้ซื้อหลายยี่ห้อ และมีต้นทุนราคาถูกกว่า ไม่ต้องลำบากเดินทางไปทำนา แต่ชาวบ้านก็ยอมรับว่า “กินที่ไหนก็ไม่อร่อย รสชาติดีเท่ากับข้าวที่ปลูกเอง”
“ลุงจักรี” ชาวนาบนที่สูง ให้คำตอบเมื่อถามว่า "ข้าวที่นี่พิเศษยังไง ?" เขาย้ำว่า "แค่พี่น้องลูกหลานมาช่วยเกี่ยวข้าวร่วมกัน กินข้าวร่วมกันก็พิเศษแล้ว" เขายังบอกด้วยว่า "เราไม่รู้ว่าวันไหนข้าวจะแพง ถ้าแพงเราไม่มีเงินซื้อข้าวกิน การพึ่งพาตัวเองดีสุด"
นี่คือบทเรียนที่ทำให้เห็นว่า “ข้าวหนึ่งเม็ดมีเรื่องราวยาวไกลกว่าอาหารบนจาน” ที่บ้านดอยแหลม เด็กเมืองจึงไม่ได้เป็นเพียง “ผู้มาเยือน” แต่เป็นผู้ที่ได้เห็นว่าเบื้องหลังวิถีเรียบง่ายบนดอยนั้นเต็มไปด้วยภูมิปัญญา ความรู้ ความอดทน และความงดงามที่ไม่ค่อยมีให้เห็นในเมืองใหญ่
และบางที… การได้ใช้เวลาอยู่กับชุมชนชาติพันธุ์ อาจสอนให้พวกเขาเข้าใจ “โลกอีกใบ” ของคนบนที่สูงได้มากกว่าตำราใด ๆ ในมหาวิทยาลัย
























