กรณีผู้ต้องขังชาย วัย 37 ปี อาชีพดีเจ ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ “โควิด-19” เมื่อต้นเดือนกันยายน 2563 เป็นการพบผู้ติดเชื้อ ในประเทศ ครั้งแรกในรอบ 100 วัน
ทีมสอบสวนโรค จึงเร่งแกะรอยค้นหา “ต้นตอ” และพบจำนวนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงถึง 119 คนและผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ ถึงต่ำมาก 851 คน รวมตรวจหาเชื้อผู้เกี่ยวข้องทั้งสิ้น 970 คน ทั้งหมดให้ผลเป็นลบ ไม่พบสารพันธุกรรมของเชื้อโควิด-19
กระบวนการข้างต้น ใช้เวลาเพียง 5 วัน เป็นการค้นหาผู้เสี่ยงติดเชื้อเชิงรุก (Active finding) ที่ต้องเร่งทำให้เร็วที่สุด และหาคำตอบให้ไว ว่าการพบผู้ติดเชื้อเพียง 1 คน นำมาสู่การติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้ออีก 970 ได้อย่างไร?
แพทย์หญิงวลัยรัตน์ ไชยฟู ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินควบคุมโรคโควิด-19 ของ สธ. เปิดเผยถึงความท้าทายในการสอบสวนโรคผู้ป่วยเคสแรกที่มีการติดเชื้อภายในประเทศ ซึ่งไม่ทราบที่มา หลังจากประเทศไทยปลอดเชื้อมานานกว่า 100 วันว่า เมื่อพบการยืนยันผู้ติดเชื้อจะต้องแยกผู้สัมผัสใกล้ชิดออกเป็น 3 กลุ่ม เพื่อติดตามหาผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ รวมทั้งหาต้นตอของการระบาด
กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มเสี่ยงสูงที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ คือ ต้องเคยอยู่บ้านหลังเดียวกัน ทำงานด้วยกัน หรือพูดคุยกันโดยไม่ป้องกันเกิน 15 นาที
กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มเสี่ยงต่ำ คือ พบเจอกันแต่มีการใส่หน้ากากอนามัย (mask) ป้องกัน เช่น การนั่งเครื่องบินหากมีผู้ติดเชื้อ แต่ไม่มีใครพูดคุยกันแล้วสวมใส่หน้ากากตลอดเวลาก็จะถือว่าเสี่ยงต่ำ
กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มเสี่ยงต่ำมาก อาจจะอยู่ในสถานที่เดียวกัน แต่อาจจะไม่เจอกัน อย่างกรณีมีผู้ต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อที่ระยอง ที่มีคนไปตรวจเป็นพันคนส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่กลุ่มที่ 3
“หากในอนาคตจำนวนผู้ติดเชื้อมีเพิ่มมากขึ้น การตามหาผู้สัมผัสใกล้ชิด ก็จะเหลือแต่เพียงกลุ่มที่เสี่ยงสูงเท่านั้น”
แพทย์หญิงวลัยรัตน์ ไชยฟู ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา
แพทย์หญิงวลัยรัตน์ อธิบายนิยาม “กลุ่มเสี่ยงสูง” คือ ต้องมีลักษณะตามข้อใดข้อหนึ่ง
- ผู้อยู่อาศัยร่วมห้องพักหรือทำงานในห้องเดียวกัน หรือคลุกคลีกัน
- ผู้ที่สัมผัสหรือมีการพูดคุยกับผู้ป่วยในระยะ 1 เมตรนานกว่า 5 นาที หรือถูกไอจามจากผู้ป่วยโรคโดยไม่มีการป้องกัน เช่น ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า
- ผู้ที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ปิด ไม่มีอากาศถ่ายเท หรือห้องปรับอากาศร่วมกับผู้ป่วย และอยู่ห่างจากผู้ป่วยไม่เกิน 1 เมตร นานกว่า 15 นาที โดยไม่มีการป้องกัน จะถือว่าเป็นผู้มีความเสี่ยงสูง
กรณีอดีตดีเจ ที่ทีมสอบสวนโรครวบรวมผู้สัมผัสใกล้ชิดมาเป็นจำนวนมาก ผลตรวจออกมาครบระยะเวลา 14 วันที่เชื้อมีโอกาสแพร่กระจายได้ พบว่าไม่มีผู้ใดติดเชื้อ ก็หมายความว่า เขาอาจได้รับเชื้อจากผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการ จึงแพร่เชื้อได้น้อย แต่หากถามต่อว่า แล้วอดีตดีเจติดเชื้อมาจากไหน ก็อาจจะมาจากผู้ที่ไม่มีอาการเช่นกัน ซึ่งอาจจะต้องสัมผัสใกล้ชิดกันมาก
ใครบ้างที่ต้องถูกเก็บตัวอย่าง (swab) ส่งตรวจห้องปฏิบัติการในการสอบสวนโรค?
หลักการคัดกรอง แนวทางการปฏิบัติสำหรับผู้สัมผัสใกล้ชิด แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ คนที่มีอาการกับไม่มีอาการ
หากมีอาการ ตามนิยาม “กลุ่มผู้สงสัยติดเชื้อที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค” (Patient Under Investigation : PUI) จะต้องเข้าสู่กระบวนการสอบสวน และเก็บตัวอย่างไปตรวจ แต่หากไม่มีอาการ แต่เข้าเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งไม่ว่าจะเป็น สมาชิกร่วมบ้าน หรือเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสโดยไม่ได้สวมใส่ “อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล” (Personal Protective Equipment, PPE) ที่เหมาะสม หรือเป็นผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยอย่างชัดเจนโดยไม่สวมหน้ากากป้องกัน ถ้าใช่ ก็ต้องเก็บตัวอย่างส่งตรวจแล็ปหาเชื้อเช่นกัน แต่ถ้าไม่ใช่ ก็เพียงแต่กันอยู่ในบ้านที่พักอาศัยอย่างเคร่งครัดจนครบ 14 วัน หลังการสัมผัสผู้ป่วยครั้งสุดท้าย
ความท้าทายในการสืบสวนโรคให้เร็วที่สุด
สำหรับกรมควบคุมโรค ได้ส่ง “ทีมสอบสวนโรค” ทันทีหลังจากที่พบผู้ป่วยยืนยันในการสอบสวน วิธีการตามหาผู้สัมผัสใกล้ชิดจะเริ่มจากการสอบถามจากผู้ติดเชื้อว่าอยู่ใกล้ชิดใครมากที่สุด ไปไหนมาบ้าง แกะรอยไปตามระยะเวลาย้อนหลัง 14 วัน
“ทีมสอบสวนโรค” ก็จะเริ่มสรุปและขีดวงเพื่อแยกแยะว่าใครเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดที่มีความเสี่ยงสูงหรือต่ำ หลังจากนั้นก็จะสอบถามต่อไปยังผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูง ว่าไปติดต่อกับใครบ้างและยืนยันข้อมูล ว่าผู้ติดเชื้อได้ไปอยู่ที่ไหนมาบ้าง อย่างสุดท้ายคือดูกล้องวงจรปิดของทุกหน่วยงานที่อยู่ในบริเวณที่ผู้ป่วยระบุ ว่ามีใครได้เดินผ่านสัมผัส กับผู้ติดเชื้อเพื่อติดตามมาตรวจดูอาการ
กทม. ยืนยันมีผู้ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ
นายแพทย์เมธิพจน์ ชาตะเมธีกุล ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคติดต่อ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า การพบผู้ติดเชื้อภายในประเทศที่เป็นอดีตดีเจ สะท้อนว่าภายในประเทศไทยโดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ยังมีผู้ติดเชื้อแบบไม่มีอาการหลงเหลืออยู่ เพราะฉะนั้น อาจพบกรณีแบบนี้ได้อีก ประชาชนโดยทั่วไปจึงยังต้องตระหนักถึงมาตรการป้องกันโรค โดยเฉพาะการใส่หน้ากากอนามัยและล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ ไม่อยู่ที่คนหนาแน่นมากนัก
‘ทีมสอบสวนโรค’ ต้องสร้างความเชื่อใจ
นายแพทย์เมธิพจน์ เล่าว่า ความท้าทายในการสอบสวนโรคก็คือการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ เพราะบางส่วนก็เกรงว่าการเปิดเผยข้อมูลที่แท้จริงจะทำให้เกิดผลกระทบทางธุรกิจ หรือผลกระทบต่อตัวบุคคลที่อาจส่งผลถูกสังคมรังเกียจ อุปสรรคหลัก ๆ ก็คือพี่น้องสื่อมวลชนที่ลงพื้นที่ไปทำข่าวจะสร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้ที่สัมผัสติดเชื้อใกล้ชิด ทำให้เขาไม่กล้าพูดความจริงออกมา จึงอยากจะขอร้องพี่น้องสื่อมวลชนให้พบกันครึ่งทางในการทำข่าว เปิดทางให้ ‘ทีมสอบสวนโรค’ ได้ทำงานอย่างเต็มที่
ข้อกังวล: คนไทยการ์ดตก ไม่เช็กอิน ไทยชนะ
ประโยชน์ของการบอกข้อเท็จจริงจะนำมาสู่การหาผู้ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ได้ตรงเป้ามากกว่า ที่จะหาแบบกระจัดกระจาย ซึ่งแอปพลิเคชัน ไทยชนะ ที่มีใช้กันอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันประชาชนใช้น้อยลงมาก อยากวอนให้กลับมาใช้ เพราะจะเป็นการสำรวจติดตามและแจ้งเตือนเร็วตรงจุดมากกว่า สำหรับกรณีอดีตดีเจ ถ้าทุกคนใช้ไทยชนะ ก็จะไม่ต้องควานหาผู้สัมผัสใกล้ชิดในจำนวนมาก จะหาเฉพาะผู้ที่จำเป็นต้องตรวจหรือว่าเข้าหลักเกณฑ์ที่ต้องตรวจเท่านั้น
โดยอนาคตหากมีจำนวนผู้ติดเชื้อภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเช็กอินไทยชนะ ที่ปัจจุบันเป็นการขอความร่วมมือ ก็จะเสนอให้ใช้เป็นมาตรการบังคับ เพื่อป้องกันและควบคุมโรคและช่วยทีมสอบสวนโรคในการติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ ได้อย่างวงจำกัดและตรงจุดมากขึ้น
ดูเพิ่ม
โควิด-19 ทำให้เห็นอะไรในระบบสุขภาพไทย ?
รู้หรือไม่? ประเทศไทยไม่ได้มี “แพทย์นักสืบโรค” ครบทุกจังหวัด