“กินเค็มมากๆ ระวังจะเป็นโรคไต” คำกล่าวคุ้นหูที่มักได้ยินกันในแคมเปญรณรงค์ต่างๆ แต่แท้จริงแล้วสาเหตุของโรคไตนั้นมากไปกว่าการกินเค็มอย่างเดียว ตัวอย่างเช่นเครื่องดื่มยอดนิยมอย่าง “ชานมไข่มุก” ก็อาจทำให้ไตวายได้เหมือนกัน เพราะมีน้ำตาลสูง และอันที่จริงแล้ว “ผู้ป่วยเบาหวานหลายคน ถ้าไม่เสียชีวิตไปก่อน ก็ต้องจบลงที่การฟอกไต” ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น The Active ชวนมาดูเส้นทางโรค …
ไตของเรา อวัยวะขนาดเท่ากำปั้นที่มีภารกิจสำคัญในการกรองของเสียออกจากเลือด ควบคุมสมดุลของน้ำและแร่ธาตุ ตลอดจนผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการควบคุมความดันเลือด กลายเป็นเหยื่อรายแรกเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง
ในแต่ละวัน ไตของเราต้องกรองเลือดประมาณ 180 ลิตร! ในผู้ป่วยเบาหวาน ไตต้องทำงานหนักเป็นพิเศษเพื่อกรองน้ำตาลส่วนเกิน และนี่คือจุดเริ่มต้นของปัญหา
เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง วงจรการทำลายไตจะเริ่มขึ้นอย่างเงียบๆ และค่อยๆ ลุกลามจนกระทั่งไตไม่สามารถฟื้นฟูได้อีกต่อไป
น้ำตาลที่มากเกิน ร่างกายก็เหมือนถูกเชื่อม ทำให้หลอดเลือดฝอยเล็กๆ ในไตอักเสบและเสียหาย แทนที่จะกรองของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลอดเลือดเหล่านี้กลับรั่วซึม
ไตพยายามทำงานหนักขึ้นเพื่อชดเชยความเสียหาย ทำให้ความดันภายในโกลเมอรูลัส (หน่วยกรองของไต) เพิ่มสูงขึ้น ยิ่งเพิ่มความเสียหายไปอีก
เมื่อหน่วยกรองเสียหาย โปรตีนในเลือดเริ่มรั่วออกมาในปัสสาวะ เป็นสัญญาณเตือนภัยแรกที่หลายคนมักมองข้าม แม้แพทย์จะตรวจพบได้จากการตรวจปัสสาวะประจำปี
หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา เนื้อเยื่อไตจะถูกแทนที่ด้วยพังผืดที่ไม่สามารถทำงานได้ ประสิทธิภาพการกรองลดลงเรื่อยๆ จนของเสียสะสมในร่างกาย
เมื่อไตสูญเสียความสามารถในการทำงานมากกว่า 85-90% ผู้ป่วยจะเข้าสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้าย ต้องพึ่งการฟอกไตหรือการปลูกถ่ายไตเพื่อมีชีวิตอยู่
กระบวนการนี้ใช้เวลานานกว่า 10 ปีหรือมากกว่านั้น ซึ่งเป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้าย—ข่าวร้ายคือความเสียหายเกิดขึ้นอย่างช้าๆ จนผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัว แต่ข่าวดีคือเรามีเวลาเพียงพอที่จะแทรกแซงและชะลอกระบวนการนี้หากตรวจพบเร็วพอ
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตไตวายอย่างหนัก ข้อมูล สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่า ในปีงบประมาณ 2567 มีคนไทยป่วยเป็นโรคไตเรื้อรัง 1.13 ล้านคน ขณะที่จำนวนผู้ป่วยไตวาย ระยะที่ 5 ซึ่งต้อง “ล้างไต” ก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ
• ปี 2564: 59,531 คน
• ปี 2565: 62,386 คน
• ปี 2566: 70,474 คน
• ปี 2567: 71,510 คน
นั่นเพราะสังคมไทยกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ดั้งเดิมแล้ว อาหารไทยเน้นผัก ปลา และข้าว แต่ในปัจจุบัน อาหารฟาสต์ฟู้ด เครื่องดื่มรสหวาน และขนมขบเคี้ยวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ชาวไทยบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยถึง 25.5 ช้อนชาต่อวัน มากกว่าที่องค์การอนามัยโลกแนะนำถึง 4 เท่า!
ยังไม่นับสถิติคนไทยกินโซเดียมจากอาหารที่บริโภคเฉลี่ย 3,636 มก./วัน ซึ่งมากกว่าคำแนะนำของ องค์การอนามัยโลก (WHO) ที่แนะนำให้ประชาชนบริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มก./วัน
ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวร่างกายลดลง งานนั่งโต๊ะเพิ่มขึ้น การใช้รถยนต์แทนการเดิน ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราการเป็นเบาหวานและโรคอ้วนพุ่งสูงขึ้น
การตรวจคัดกรองประจำยังไม่เป็นวัฒนธรรมที่แพร่หลายในสังคมไทย และแม้ผู้ป่วยจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน หลายคนก็ไม่ได้รับการติดตามการทำงานของไตอย่างสม่ำเสมอ
ขณะที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูงต่อโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคไต
รวมถึงพฤติกรรมการใช้ยาอย่างไม่เหมาะสม เช่นการซื้อยารับประทานเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ยังคงเป็นเรื่องปกติในสังคมไทย ยาแก้ปวดบางประเภท เช่น NSAIDs เมื่อใช้เป็นเวลานานอาจเป็นอันตรายต่อไต โดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว
แน่นอนว่าหากเรายังปล่อยให้สถานการณ์โรคไตในประเทศไทยมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในระบบสาธารณสุขก็จะเพิ่มขึ้นตาม เพราะเมื่อผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย ที่ต้องเข้าสู่การล้างไต ก็จะมีต้นทุนในการล้างไตมหาศาลเลย ทีเดียวซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในบทความชิ้นนี้

เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์นี้มากขึ้น เมื่อช่วยปลายปี 2567 The Active ได้ลงพื้นที่ไปยัง หน่วยไตเทียม โรงพยาบาลศูนย์ชัยภูมิ ซึ่งภาพที่เห็นก็พอทำให้เชื่อว่า บรรยากาศที่นี่คงไม่ต่างจากหน่วยไตเทียมในโรงพยาบาลศูนย์อื่น ๆ ทั่วประเทศ เพราะมีผู้ป่วยที่เข้าสู่ภาวะไตวาย ระยะที่ 5 ถูกส่งตัวมาอย่างต่อเนื่องทุกวัน ทุกคนล้วนจำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการ ล้างไต
‘ล้างไต’ วิธีการ และ ทางเลือกที่ผู้ป่วยโรคไต(รายใหม่) ต้องตัดสินใจ
ผู้ป่วยไตวาย ที่จำเป็นต้องเข้าสู่การล้างไต แพทย์จะเสนอทางเลือกการล้างไตให้ผู้ป่วยได้ตัดสินใจอย่างกรณีของ ดาวทอง วงษ์คำภา วัย 70 ปี ที่ไตสามารถทำงานได้เองเพียง 8% เขาจึงถูกส่งต่อมาที่ หน่วยไตเทียม โรงพยาบาลศูนย์ชัยภูมิ ขั้นตอนสำคัญ คือ การพบกับพยาบาลประจำหน่วยฯ ที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับทางเลือกต่างในการล้างไต ได้แก่
- การล้างไตผ่านช่องท้อง (Peritoneal Dialysis – PD)
- การล้างไตผ่านช่องท้องด้วยเครื่อง (Automated Peritoneal Dialysis – APD)
- การฟอกเลือดผ่านเครื่อง (Hemodialysis – HD)
- การปลูกถ่ายเปลี่ยนไตใหม่ (ซึ่งต้องได้รับการบริจาคไตที่เข้ากันได้ ส่วนใหญ่จะปลูกถ่ายในผู้ป่วยที่อายุไม่มาก)

เดิมที ลุงดาวทอง ตั้งใจเลือกการฟอกเลือดผ่านเครื่อง เพราะคิดว่าการล้างช่องท้องยุ่งยาก และใช้เวลามาก แต่เมื่อพยาบาลแนะนำว่า ปัจจุบันมีทางเลือกที่เรียกว่า APD (Automated Peritoneal Dialysis) ซึ่งเป็นการล้างไตผ่านช่องท้องด้วยเครื่องในตอนกลางคืนเพียงวันละครั้ง แต่ต้องเข้าเงื่อนไขว่า ต้องเป็นผู้ป่วยที่ยังไม่ติดบ้าน เพราะเครื่อง APD มีจำกัด ซึ่งลุงดาวทอง ในฐานะ ประธาน อสม. ถือว่าเข้าเงื่อนไข เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้วิธีนี้
“ผมอยากลองใช้เครื่องล้างทางช่องท้องแบบอัตโนมัติดู เพราะดูแล้วทันสมัย น่าจะสะดวกกว่า ก็ตัดสินใจตามที่หมอว่า อายุน่าจะอยู่ยาวนานไปเรื่อย ๆ”
ดาวทอง วงษ์คำภา
กรณีของลุงดาวทอง สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ป่วยล้างไตส่วนใหญ่ มักมองว่า การล้างไตผ่านช่องท้องเป็นเรื่องยุ่งยากและน่ากลัว เพราะต้องทำเองหลายขั้นตอน จึงเลือกฟอกเลือดผ่านเครื่องที่คลินิก หรือศูนย์ล้างไตใกล้บ้าน แม้จะต้องเดินทางมาฟอกเลือดสัปดาห์ละ 3 ครั้งก็ตาม
ที่นี่เรายังได้พบกับผู้ป่วยที่ไม่เลือกล้างไตด้วยวิธีใดเลย แต่เลือกการรักษาแบบประคับประคอง อย่างเช่น คุณยาย วัย 80 ปี ซึ่งเป็นแม่ของ มณีรัตน์ มีชัย คุณยายมักบอกเสมอว่า ชีวิตที่ผ่านมาเพียงพอแล้ว ขออยู่โดยไม่ต้องมีสายระโยงระยางใด ๆ

ช่วงหนึ่งของการพูดคุยระหว่างคุณยาย กับพยาบาลหน่วยไตเทียม เมื่อถูกถามว่า “คุณยายอยากเฮ็ดช่องท้องบ่ อยากเฮ็ดฟอกเลือดบ่” คุณยายตอบว่า “บ่เฮ็ดแล้วเฒ่าแล้ว บ่เฮ็ดดอก” พยาบาลจึงบอกว่า “คุณหมอก็จะให้ยาไปเรื่อย ๆ เด้อ แล้วก็สิมีทีมลงไปดูแลคุณยายต่อ อยู่บ้านต่อเด้อ”
บรรยากาศตอนนั้นจึงเต็มไปด้วยความอิ่มเอม และความเศร้าในคราวเดียวกัน นี่เป็นมุมหนึ่งที่หลายคนอาจไม่เคยเห็น แต่ทุกการตัดสินใจของผู้ป่วยและครอบครัว ล้วนสะท้อนถึงความหวัง ความกลัว และการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด เพราะการล้างไตถือเป็นสิ่งที่ต้องทำไปตลอดชีวิต จนกว่าจะสามารถหาไตใหม่มาเปลี่ยนทดแทนได้
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ใน ปี 2565 สปสช. เปิดให้ผู้ป่วยเลือกวิธีล้างไตได้อย่างอิสระ ซึ่งทำให้อัตราการฟอกเลือดด้วยเครื่องพุ่งสูงขึ้น แต่กลับพบว่า อัตราการเสียชีวิตก็มากขึ้นเช่นกัน ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 นโยบาย PD First หรือ การล้างไตผ่านช่องท้องก่อนถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง แต่ในทางปฏิบัติยังต้องสอบถามความสมัครใจของผู้ป่วยและญาติอยู่ดี
ย้อนไทม์ไลน์นโยบายล้างไต สปสช.
● ปี 2551
สปสช. ได้เริ่มใช้นโยบาย PD-First สำหรับการล้างไตทางช่องท้อง โดยผู้ป่วยสามารถล้างไตทางช่องท้องได้โดยไม่ต้องจ่ายเอง ขณะที่ การล้างไตแบบฟอกเลือด (Hemodialysis – HD) ยังต้องจ่ายเอง ซึ่งในช่วงเวลานี้ งบประมาณที่ใช้ในการดูแลผู้ป่วยล้างไตยังอยู่ในระดับต่ำ โดยมีการใช้งบประมาณต่อปีน้อยกว่า 10,000 ล้านบาท
● ปี 2565 (1 กุมภาพันธ์)
สปสช. ได้ปรับนโยบายใหม่เป็น Free Choice ที่เปิดให้ผู้ป่วยสามารถเลือกล้างไตได้ทั้งทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis – PD) หรือแบบฟอกเลือด (HD) โดยไม่ต้องจ่ายเอง ส่งผลให้งบประมาณในการดูแลผู้ป่วยล้างไตเพิ่มขึ้น โดยในปี 2567 คาดการณ์ว่า จะมีงบประมาณที่ใช้ถึง 16,000 ล้านบาทต่อปี จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ จำนวนผู้ป่วยที่เลือกล้างไตแบบฟอกเลือดเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 124% จาก 24,405 คนในปี 2565 เป็น 54,554 คนในปี 2567
ขณะที่ จำนวนผู้ป่วยที่เลือกล้างไตทางช่องท้องลดลง 34% จาก 26,073 คนในปี 2565 เป็น 16,956 คนในปี 2567 อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าผู้ป่วยที่เลือกล้างไตแบบฟอกเลือดมีอัตราการเสียชีวิตสะสมสูงถึง 5,500 คนภายในระยะเวลา 2 ปี
● ปี 2567 (1 พฤศจิกายน)
สปสช. ได้ประกาศนโยบายใหม่ที่กลับมาเน้นการล้างไตทางช่องท้อง (PD-First) อีกครั้ง หลังมี อัตราการเสียชีวิตสะสมสูงจากการฟอกเลือก โดยผู้ป่วยสามารถเลือกล้างไตทางช่องท้องได้ทั้งแบบ PD-First และแบบ Automated Peritoneal Dialysis (APD) โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับการล้างไตแบบฟอกเลือด (HD) ก็ยังไม่ประกาศเงื่อนไขเพิ่มเติมว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ หรือไม่
จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายในแต่ละช่วงเวลา พบว่ามีผลกระทบต่อจำนวนผู้ป่วยในแต่ละรูปแบบการล้างไต รวมถึงผลลัพธ์ทางสุขภาพของผู้ป่วย โดยเฉพาะในแง่ของอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ป่วยที่เลือกล้างไตแบบฟอกเลือด

ทำไม ? วิธี ‘ฟอกเลือด’ จึงมีอัตราการเสียชีวิตสูงขึ้น
จากรายงานที่พบว่า ผู้ป่วยที่เลือกล้างไตแบบฟอกเลือด มีอัตราการเสียชีวิตสะสมสูงถึง 5,500 คนภายในระยะเวลา 2 ปี นั้น นพ.สัจจะ ตติยานุพันธ์วงศ์ อายุรแพทย์หน่วยไตเทียม โรงพยาบาลศูนย์ชัยภูมิ บอกว่า เรื่องนี้อธิบายได้จาก 2 ปัจจัยหลัก
- เดิมทีคนไข้จำนวนมากเลือกการรักษาแบบประคับประคอง แต่พอเข้าสู่ภาวะไตวายระยะสุดท้าย และได้รับสิทธิ์เลือกฟอกเลือดได้ หลายคนจึงเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้ายมาเลือกฟอกเลือดแทน อัตราการเสียชีวิตย่อมสูงกว่าคนไข้ทั่วไป
- การเตรียมตัวของผู้ป่วยยังไม่ดีพอ การฟอกเลือดต้องเตรียมเส้นฟอกเลือดล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อให้เส้นแข็งแรงและใช้งานได้ดี แต่ในความเป็นจริง ผู้ป่วยจำนวนมากไม่ได้เตรียมเส้นจริงไว้ ทำให้ต้องใช้สายเทียมแทน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ที่ขาดศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จึงต้องส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลใหญ่เพื่อเปิดเส้น

ปัจจัยสำคัญ คือ บุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะพยาบาลที่ได้รับการอบรมเฉพาะทางเกี่ยวกับการฟอกไต ซึ่งมีจำนวนน้อยเกินไป ในคลินิกฟอกเลือดบางแห่ง อาจมีกรณีลดเวลาฟอกไตเพื่อให้รับผู้ป่วยได้มากขึ้นจริง
“ผมเชื่อว่าไม่ใช่เจตนาหลักที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต ปัจจัยหลักยังคงเป็นเรื่องการเตรียมตัวของผู้ป่วย และการเลือกฟอกเลือดในช่วงท้ายของโรคโดยไม่ได้เตรียมเส้นฟอกที่เหมาะสม”
นพ.สัจจะ ตติยานุพันธ์วงศ์
ทำไม ? การ ‘ล้างไตทางช่องท้อง’ จึงควรเป็นทางเลือกแรก
The Active ยังเดินทางไปที่ ศูนย์ล้างไตทางช่องท้องบ้านแพ้ว-เจริญกรุง กทม. พบว่า ทุก ๆ เช้า จะมีการสอนวิธีล้างไตทางช่องท้องให้กับผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย ซึ่งไม่สามารถพึ่งพาการทำงานของไตได้อีกต่อไป

พยาบาลจะเริ่มต้นจากการสอนล้างมือ ก่อนเข้าสู่กระบวนการล้างไต ผู้ป่วยต้องเตรียมน้ำยาล้างไตในถุงที่อยู่สูงกว่าร่างกาย แล้วต่อสายเข้าสู่ช่องท้อง ขั้นแรกคือการระบายของเสียหรือน้ำยาล้างไตที่ใช้แล้วออกจนหมด จากนั้นน้ำยาล้างไตใหม่ จึงจะไหลเข้าสู่ร่างกาย ตามแรงโน้มถ่วง
ขั้นตอนสำคัญ คือ การสังเกตน้ำเสีย หากมีสีขุ่นอาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อ และต้องชั่งน้ำหนักน้ำเสีย เพื่อเปรียบเทียบกับน้ำยาล้างไต 2 ลิตรที่ใส่เข้าไป การล้างไตทางช่องท้องต้องทำวันละ 4 ครั้ง เว้นระยะห่างประมาณ 6 ชั่วโมงต่อรอบ
พญ.ปิยะธิดา จึงสมาน หัวหน้าศูนย์ล้างไตทางช่องท้องบ้านแพ้ว-เจริญกรุง บอกว่า การล้างไตทางช่องท้องมีความปลอดภัยไม่ต่างจากการฟอกเลือด หากทำอย่างถูกวิธีและรักษาความสะอาด อีกทั้งยังเหมาะสมกับผู้ป่วยทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด
หลังการเปลี่ยนนโยบายของ สปสช. ที่ให้ผู้ป่วยเลือกล้างไตทางช่องท้องเป็นทางเลือกแรก อาจยังคงสร้างความสับสน เพราะไม่มีเกณฑ์ชัดเจนในการพิจารณาว่าผู้ป่วยคนใดควรได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่อง

“ตัวเราเชียร์ PD First อยู่แล้ว เพราะมองในภาพรวมว่า การล้างไตทางช่องท้องช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้ง่ายขึ้น ลดค่าเดินทาง และลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์ เนื่องจากการฟอกเลือดต้องใช้พยาบาลเฉพาะทางมากกว่า”
พญ.ปิยะธิดา จึงสมาน
แต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หัวหน้าศูนย์ล้างไตทางช่องท้องบ้านแพ้ว-เจริญกรุง ระบุว่า ผู้ป่วยที่เข้ามาหาศูนย์ล้างไตทางช่องท้องฯ มี 2 กลุ่มหลัก ๆ
- ผู้ป่วยที่ไม่สามารถฟอกเลือดได้ – ส่วนใหญ่ถูกส่งต่อมาเพราะมีข้อจำกัดทางการแพทย์ ทำให้ไม่สามารถใช้ไตเทียมได้
- ผู้ป่วยที่ศึกษาข้อมูลเอง – มีความสนใจในวิธีล้างไตทางช่องท้องจากการหาข้อมูลออนไลน์ หรือปรึกษาแพทย์อื่นเพื่อขอ Second Opinion
“ตั้งแต่มีการเปลี่ยนนโยบายเป็น Free Choice ในปี 2565-2567 เราสังเกตว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเลือกฟอกเลือดมากกว่าล้างไตทางช่องท้อง เรื่องนี้เป็น Non-Medical Issue มากกว่าประเด็นทางการแพทย์ค่ะ”
พญ.ปิยะธิดา จึงสมาน
พญ.ปิยะธิดา ยังมองว่า การตัดสินใจของผู้ป่วยขึ้นอยู่กับโครงสร้างของระบบสุขภาพ เช่น…
- บริการฟอกเลือดมีมากกว่า – ธุรกิจฟอกเลือดมีการขยายตัวเยอะ
- การเรียนการสอนในโรงเรียนแพทย์ – ระบบการศึกษาเน้นเรื่องฟอกเลือดมากกว่าล้างไตทางช่องท้อง
- ความคุ้นเคยของบุคลากรทางการแพทย์ – แพทย์และพยาบาลส่วนใหญ่เชี่ยวชาญด้านฟอกเลือดมากกว่า ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับข้อมูลที่เอียงไปทางฟอกเลือด
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ทั้งในไทยและต่างประเทศเกิดแนวโน้มที่ผู้ป่วยเลือกฟอกเลือดมากขึ้น ซึ่งตามหลักสากล หากผู้ป่วย มีเยื่อบุช่องท้องที่ดี มีบ้านที่สะอาด และสามารถดูแลตัวเองได้ ก็ถือว่าเหมาะกับการล้างไตทางช่องท้อง
ส่วนผู้ที่จำเป็นต้องฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ได้แก่…
- ผู้ที่ช่องท้องมีปัญหา ไม่สามารถใช้งานได้
- ผู้ที่ไม่มีบ้าน หรือมีสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมกับการทำ Home Dialysis
- ผู้ที่มีภาวะทางการแพทย์ ที่จำเป็นต้องฟอกเลือดโดยตรง
The Active ยังได้พูดคุยกับ พิศิษฐ์ จงสถิตย์วัฒนา CEO แบรนด์รองเท้าสตรีชื่อดัง เขาเป็นหนึ่งในผู้ป่วยที่เลือกเรียนรู้วิธีล้างไตทางช่องท้องจากศูนย์ล้างไตทางช่องท้องบ้านแพ้ว-เจริญกรุง และสามารถกลับไปทำเองที่บ้าน
พิศิษฐ์ บอกว่า ประสบการณ์การสูญเสียภรรยาจากการฟอกเลือดด้วยเครื่อง ทำให้เขาตัดสินใจเลือกล้างไตทางช่องท้อง แม้ต้องทำวันละ 4 ครั้ง แต่พบว่าไม่เป็นอุปสรรคต่อชีวิตประจำวัน

เขาสามารถล้างไตไปพร้อมกับทำงานบนคอมพิวเตอร์ ใช้เวลาเพียง 15 นาทีต่อรอบ มันก็เหมือนการเข้าห้องน้ำวันละ 3 – 4 ครั้ง ไม่ได้ลำบากอะไรเลย แถมยังช่วยให้ร่างกายสะอาด และสมดุลตลอดเวลา ต่างจากการฟอกเลือดที่ต้องรอหลายวันกว่าจะทำครั้งถัดไป
“เอาเป็นว่าผมไม่รู้สึกว่าการล้างไตทางช่องท้องแบบนี้เป็นภาระ แล้วผมก็แปลกใจว่าทำไมคนส่วนใหญ่ ไม่นิยมการล้างไตทางช่องท้อง ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่อง Mindset และ Misconcept คือ ผมคิดว่าหมอส่วนใหญ่เนี่ย กังวลแทนคนไข ว่าคนไข้จะไม่รู้เรื่อง กังวลแทนว่าคนไข้จะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ดีพอ กลัวคนไข้จะติดเชื้อ กลัว ๆๆ เดี๋ยวหมอจัดการให้ดีกว่า แล้ว Mindset คนไทยก็ชอบแบบนี้ด้วย ว่าดีนะไม่ต้องทำเองให้โรงพยาบาลเขาทำดีกว่า”
พิศิษฐ์ จงสถิตย์วัฒนา
พิศิษฐ์ เลือกการล้างไตทางช่องท้องมาแล้วกว่า 1 ปี เขาติดเชื้อเพียงครั้งเดียวในปีที่ผ่านมา และรักษาหายได้อย่างรวดเร็ว เพราะไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยระหว่างล้างไต แต่หากดูแลความสะอาดและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล เขาอยากให้เรื่องราวนี้เป็นประโยชน์กับคนที่กำลังสับสนว่าล้างไตแบบไหนจึงจะตอบโจทย์มากที่สุด

เปิดต้นทุน ล้างไตช่องท้อง VS ฟอกเลือด
ในแง่ของต้นทุน การล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis: PD) กับ การฟอกเลือด (Hemodialysis: HD) ทั้ง 2 วิธีมีต้นทุนที่แตกต่างกัน โดยสามารถเปรียบเทียบได้ดังนี้
1. การล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis: PD)
การล้างไตทางช่องท้องเป็นวิธีที่ผู้ป่วยสามารถทำเองที่บ้านได้ โดยใช้น้ำยาล้างไตผ่านทางช่องท้อง ซึ่งมีสองรูปแบบ ได้แก่
PD ล้างทางช่องท้องแบบธรรมดา
- ค่าน้ำยาล้างไต ถุงละ 125 บาท
- ใช้วันละ 4 ถุง คิดเป็นค่าใช้จ่ายวันละ 500 บาท
- รวมค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณ 15,000 บาทต่อคน
- น้ำยาล้างไตสามารถจัดส่งถึงบ้านทางไปรษณีย์
APD ล้างทางช่องท้องแบบใช้เครื่องอัตโนมัติ (Automated Peritoneal Dialysis: APD)
- ใช้น้ำยาวันละ 2 ถุง (ถุงละ 300 บาท)
- ค่าใช้จ่ายต่อวันอยู่ที่ 600 บาท หรือเดือนละ 18,000 บาทต่อคน
- จำเป็นต้องใช้เครื่องล้างไตอัตโนมัติ ซึ่งมีราคาสูงถึง 650,000 บาท
- น้ำยาล้างไตสามารถจัดส่งถึงบ้านทางไปรษณีย์
2. การฟอกเลือด (Hemodialysis: HD)
การฟอกเลือดเป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาที่ต้องทำในสถานพยาบาล/คลินิกฟอกไต โดยมีค่าใช้จ่ายดังนี้
- ค่าฟอกเลือดครั้งละ 1,500 บาทต่อคน (ส่วนใหญ่เป็นค่าแรง)
- ต้องฟอกเลือด สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ทำให้มีค่าใช้จ่ายสัปดาห์ละ 4,500 บาท
- คิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณ 18,000 บาทต่อคน
- ค่าใช้จ่ายนี้ ยังไม่รวมต้นทุนการเดินทางของผู้ป่วย ซึ่งอาจเป็นภาระเพิ่มเติม
ถึงตรงนี้หากมองจากมุมของหน่วยงานที่จ่ายเงินค่ารักษา การฟอกเลือด มีต้นทุนสูงกว่าการล้างไตทางช่องท้อง และถ้ามองจากมุมของผู้ป่วยเอง ก็เห็นว่า การล้างไตทางช่องท้องมีค่าใช้จ่ายแฝงที่น้อยกว่า เพราะไม่ต้องเดินทางไปศูนย์ฟอกเลือดทุกสัปดาห์ อาจจะไปโรงพยาบาลแค่ทุก 2 – 3 เดือนเพื่อตรวจร่างกายและรับยา
นอกจากนี้ การที่ผู้ป่วยต้องเดินทางไปศูนย์ฟอกเลือดทุกสัปดาห์ ยังทำให้ต้องพึ่งพาหน่วยงานท้องถิ่นในการจัดหารถรับส่ง ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นในเชิงต้นทุนโดยรวมแล้วอาจชี้ให้เห็นว่า การล้างไตทางช่องท้องยังถือว่าคุ้มค่ากว่า

นโยบายล้างไตเอาไงต่อ ?
นโยบาย PD First ได้รับการอนุมัติจากบอร์ด สปสช. แล้วตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2567 แต่ในทางปฏิบัติยังอยู่ระหว่างการร่างรายละเอียดเพื่อประกาศใช้ ซึ่งต้องมีการหารือร่วมกันระหว่างฝ่ายปฏิบัติของ สปสช. และฝ่ายวิชาการ
ในมุมของผู้ปฏิบัติงาน พญ.ปิยะธิดา ก็ยังไม่สามารถตอบได้แน่ชัดว่านโยบายจะออกมาในรูปแบบไหน จึงต้องแจ้งให้ผู้ป่วยทราบว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายจากปีก่อน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแนวปฏิบัติที่ชัดเจนยังไม่ออกมา ถ้าผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องล้างไตตอนนี้ ก็ยังสามารถดำเนินการตามแนวทางเดิมจนกว่าจะมีประกาศใหม่
ขณะที่ นพ.สัจจะ ก็คิดว่าแนวทาง PD First เป็นแนวทางที่ถูกต้องสำหรับบริบทของประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่การเดินทางเป็นอุปสรรค และสำหรับผู้ป่วยที่ยังไม่พร้อมในการเตรียมเส้นฟอกเลือด อย่างไรก็ตาม PD First ไม่ได้หมายความว่าบังคับให้ทุกคนต้องล้างไตทางช่องท้อง ถ้าผู้ป่วยมีข้อจำกัดจริง ๆ ก็ยังสามารถเลือกฟอกไตด้วยเครื่องได้
ส่วนการล้างไตด้วยเครื่องอัตโนมัติ (APD) นพ.สัจจะ ยอมรับว่า ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ทางคลินิกที่แตกต่างจากการล้างไตด้วยมือแบบดั้งเดิม แต่มีข้อดีตรงที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับบางกลุ่ม เช่น ผู้ป่วยที่ยังต้องทำงาน หรือผู้ป่วยเด็กที่อาจต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
แต่คำถามสำคัญ คือ ทรัพยากรเพียงพอหรือไม่ ? ทั้งในแง่อุปกรณ์ บุคลากร และงบประมาณ เพราะหากขยายบริการโดยไม่มีทรัพยากรที่เหมาะสม ก็อาจเกิดปัญหาด้านคุณภาพการรักษาตามมา
สอดคล้องกับ พญ.ปิยะธิดา ที่ชี้ให้เห็นว่า ในหลายประเทศ เช่น ฮ่องกง ซึ่งใช้นโยบาย PD First ตั้งแต่ปี 1974 โดยผู้ป่วยต้องล้างไตทางช่องท้อง เว้นแต่มีข้อห้ามทางการแพทย์หรือสังคมถึงจะสามารถฟอกเลือดได้
ส่วนประเทศอื่น ๆ ส่วนใหญ่ยังไม่ถึงขั้นบังคับ แต่มีการส่งเสริม เช่น ให้ PD Prefer หรือ Home Dialysis Prefer โดยให้แรงจูงใจทางการเงินแก่โรงพยาบาลและบุคลากรที่สนับสนุนการล้างไตที่บ้าน
สำหรับประเทศไทย ถ้าเรา ไม่ทำอะไรเลย ระบบสุขภาพอาจถูกผลักดันโดยภาคธุรกิจ เพราะ 80% ของการฟอกเลือดอยู่ในมือเอกชน ดังนั้น หากไม่มีการกำกับดูแลที่ดี ผู้ป่วยอาจถูกชี้นำไปสู่การฟอกเลือดมากกว่าทางเลือกอื่น
ในระยะยาว จึงมีข้อเสนอให้มี Home Dialysis Prefer (การฟอกไตที่บ้าน) และให้บุคลากรทางการแพทย์เป็นผู้ให้ข้อมูลที่สมดุลแก่ผู้ป่วย ไม่ใช่ปล่อยให้ตลาดกำหนดเอง
ทั่วโลกกำลังมุ่งไปที่ Home Dialysis เพราะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการเดินทาง และสามารถต่อรองราคาน้ำยาล้างไตได้ดีกว่า ปัจจุบันหลายประเทศกำลังพัฒนาแนวทาง Home Therapy ที่ผสมผสานระหว่าง
- ล้างไตทางช่องท้องด้วยมือ
- ล้างไตทางช่องท้องด้วยเครื่อง
- ฟอกเลือดที่บ้าน
ถ้าไทยจะเดินหน้าไปทางนี้ คงต้องเริ่มจากการสร้าง Ecosystem ให้เอื้อต่อการล้างไตที่บ้านมากขึ้น และให้บุคลากรทางการแพทย์ได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม ในการให้บริการล้างไตที่บ้าน
แต่ทางที่ดีที่สุด คงอาจต้องย้อนกลับไปที่ย่อหน้าแรก เพราะถึงยังไงถ้าคนไทยลดความเสี่ยงจากปัจจัยด้านอาหาร ปรับพฤติกรรมการกิน ก็น่าเป็นวิธีปกป้องร่างกายจากความเสี่ยงจากโรค NCDs โดยเฉพาะโรคไต โรคเบาหวาน ได้ดีที่สุด