เราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม
เรามีอาหารเพียงพอ แต่กระจายไม่ทั่วถึง
บางครั้ง “ความไม่มั่นคงทางอาหาร” ก็เกิดจากการ “ใช้ชีวิต”
คือ เสียงสะท้อนในเวทีสาธารณะ “ความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงของมนุษย์” ส่วนหนึ่งของงานสมัชชาพลเมืองอีสาน “ตุ้มโฮมฮักแพงแบ่งปันไทยอีสานหนึ่งเดียว”
พร้อมประกาศดัน “ตลาดชุมชน” ทุกตำบล เป็นกลไกเสริม ความมั่นคงทางอาหาร
อุบล อยู่หว้า เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน บอกว่า การเข้าไม่ถึงทรัพยากร การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศขนาดใหญ่ และ แบบแผนการผลิตที่ไม่ยั่งยืน พึ่งพาการใช้สารเคมี เป็นปัจจัยคุกคามความมั่นคงทางอาหารของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 สะท้อนให้เห็นชัดว่าชุมชนเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่โอบอ้อมทุกชีวิต มีแรงงานกลับบ้านเพราะโรงงานในเมืองปิด หรือได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ชุมชนยังคงมีความอ่อนตัวด้วยความมั่นคงทางอาหาร คือ 1. มีทรัพยากรให้พึ่งพาอาศัย 2. มีการผลิตอาหารที่หลากหลาย เลี้ยงตัวเองได้ และ 3. ยังเป็นสังคมของการมีน้ำใจเอื้ออารี มีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่น
จากจุดแข็งเหล่านี้ นำมาสู่ข้อเสนอว่าควรมีการเปิดตลาดเพื่อเชื่อมโยงอาหารที่หลากหลาย ที่ผ่านมาในช่วงเกิดวิกฤตหลายชุมชนก็มีการเปิดกลุ่ม LINE เพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า
“สิ่งสำคัญคือการสร้างสายพานอาหารในชุมชน ซึ่งที่ผ่านมาถูกเบียดบังด้วยสายพานอาหารขนาดใหญ่จากบริษัทอาหารขนาดใหญ่”
ด้าน สุภา ใยเมือง ผู้อำนวยการมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน มองว่า ชนบทยังมีที่ดิน แต่คนจนเมืองไม่มีที่ดิน และบางคนมีรายได้อยู่เพียงแค่ 3 วัน เครือข่ายที่ลุกขึ้นมาช่วยเหลือกัน ทำเรื่องเกี่ยวกับการแบ่งปันอาหาร ซื้ออาหารทางเลือก เช่น ข้าวอินทรีย์ ไปทำอาหารบริจาคคนจนกลุ่มนีี้
อีกความมั่นคงทางอาหาร ส่วนหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือ พื้นที่สวนผักคนเมือง ซึ่งใช้พื้นที่ไม่มากแต่สามารถผลิตอาหารเกื้อกูลกับคนในชุมชน ปัจจุบันผู้คนตื่นตัวเรื่องนี้มากขึ้น เห็นได้จากการเปิดอบรมสวนผักคนเมืองก็จะมีผู้คนเข้ามาสมัครเต็มตลอด
แต่เห็นเหมือนกันว่า สิ่งที่คุกคามความมั่นคงทางอาหารคือ 1. ระบบนิเวศที่เสื่อมโทรมลง 2. พื้นที่เกษรตรเชิงเดี่ยวจะมีปัญหามากกว่าพื้นที่เกษตรหลากหลาย และ 3. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีข้อสังเกตว่าพื้นที่เกษตรหลากหลายสามารถเก็บความชุ่มชื้นในดินได้มากกว่า เรื่องเหล่านี้จึงต้องการความรู้และนวัตกรรมมาช่วยส่งเสริม
“โจทย์ท้าทายก็คือนอกจากการเข้าถึงทรัพยากรแล้ว เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะมีการรับมืออย่างไร”
เมื่อดูสัดส่วนความมั่นคงทางอาหารของภาคชนบทพบว่าหลัก ๆ คือ 1. ปลูกกินเอง 2. เอามาจากในป่า รองลงมา 3. ซื้อ และ 4. แบ่งปันกันก็ยังมีให้เห็น นโยบายที่ท้องถิ่นควรจะมีเพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร คือ เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหารในชุมชนว่าปลูกอะไรบ้าง กี่ไร่ และ เฝ้าระวังวิกฤตที่จะเกิดขึ้น
ยังมีเด็กขาดสารอาหาร ทั้งที่เป็นประเทศส่งออกอาหาร
ดร.สัมพันธ์ เตชะอธิก นายกสมาคมพัฒนาชุมชนท้องถิ่นและสังคม กล่าวว่าย้อนไปปี 2526 เริ่มมีพืชเชิงเดี่ยวเข้ามาในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่ว่าจะเป็นไร่อ้อย หรือไร่ยูคาลิปตัส ต่อมาปี 2536 - 2540 แรงงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มสนใจไปทำงานในต่างประเทศเพื่อนำเงินก้อนกลับมาที่บ้าน
แต่อย่างไรก็ตามในภาพรวมก็ยังมีพื้นที่ทำการเกษตรมากถึง 40% มีความสามารถในการปลูกข้าวได้ถึง 22 ล้านตัน จำนวนนี้บริโภคในประเทศเพียง 11 ล้านตัน ที่เหลือส่งออกขณะที่ไข่ไก่ก็ผลิตได้มากถึง 24 ล้านฟอง แต่บริโภคในประเทศเพียง 13 ล้านฟอง จะพบว่าผลผลิตที่มาก ไม่ได้หมายความว่ามีอาหารพอเพียง สวนทางกับไอคิวของเด็กในจังหวัดมหาสารคามที่ต่ำลง มีเด็กโตไม่สมส่วนถึง 50% มีคนที่อยู่ในเส้นต่ำกว่าความยากจน 9 - 10 ล้านคน ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ก็ทำให้มีคนจนเพิ่มขึ้นอีก 10 ล้านคน สะท้อนให้เห็นว่าการทำเกษตรเชิงเดี่ยวไม่ตอบโจทย์ความมั่นคงทางอาหาร
เพื่อแก้ปัญหาความยากจนอย่างเร่งด่วน เสนอให้ร่าง พ.ร.บ.แก้จน ที่ต้องแก้ในระดับครัวเรือนพุ่งเป้าไปที่ 80,000 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 20 หลังคาเรือน ใช้งบประมาณ 80,000 ล้านบาท ฟื้นฟูครอบครัวแก้ปัญหาหนี้สินและส่งเสริมการปลูกเกษตรทฤษฎีใหม่
ด้าน วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) กล่าวว่าเด็กบริโภคอาหารไม่สมดุล รวมกับค่าใช้จ่ายด้านอาหารที่มีมากถึงครึ่งหนึ่งของรายรับครัวเรือน เป็นผลมาจากการผลิตอาหารเชิงเดี่ยว ความมั่นคงทางอาหารจึงไม่ใช่ว่าประเทศไทยมีบริษัทอาหารขนาดใหญ่แต่เมื่อเกิดวิกฤตก็ต้องไปต่อแถวรอรับอาหาร
วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ชนบทกลายเป็นหลังพิงให้กับแรงงาน แต่ความมั่นคงทางอาหารก็ยังไม่ถูกส่งเสริมให้เข้มแข็ง วิกฤตโควิดปีนี้ จึงสะท้อนภาพชัดว่าต้องเร่งส่งเสริมความเข้มแข็งชุมชนท้องถิ่น เน้นที่การมีความมั่นคงทางอาหาร
แต่ก็ต้องแก้ปัญหาหลายอย่าง เช่น นโยบายรัฐ ที่มุ่งผลิตสินค้าเชิงเดี่ยวเพื่อการส่งออก แต่ไม่ได้ส่งเสริมเกษตรหลากหลาย เห็นได้ชัดเจนการจัดสรรงบประมาณ 70,000 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ในขณะที่งบประมาณส่วนนี้เพียง 0.3% สนับสนุนเกษตรหลากหลาย
อีกตัวเลขสำคัญที่สะท้อนเห็นได้ชัดถึงความล้มเหลว คือตัวเลขจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงเกษตรฯ ที่คำนวณรายได้ แบบประกันราคา ไร่อ้อยได้กำไร 1,000 บาทต่อไร่ ขณะที่ไร่ข้าวโพดได้กำไรเพียง 300 บาทต่อไร่ แต่สำหรับพื้นที่ปลูกเกษตรหลากหลายจะมีรายได้ถึง 7,000 บาทต่อไร่
“เพื่อส่งเสริมเกษตรหลากหลายที่มีรายได้มากกว่าการปลูกพืชเชิงเดี่ยวรัฐบาลควรจัดระบบ ตลาดรองรับเช่นให้มีตลาดชุมชน มากกว่าร้านสะดวกซื้อแบรนด์เดียว”
รัฐกระจายอำนาจจัดการเกษตรลงท้องถิ่นแล้ว!
รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล ที่ปรึกษาประจำสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ที่ผ่านมา มีการประชุมคณะกรรมการกระจายอำนาจ ฉบับที่ 3 เห็นชอบการถ่ายโอนอำนาจการจัดการด้านการเกษตรไปสู่ท้องถิ่น โดยภายในปีนี้ก็จะมีการเลือกตั้งท้องถิ่น ใครที่ต้องการเป็นนายก อบต. แต่ไม่มีนโยบายความมั่นคงทางอาหาร ก็อย่าไปเลือก ขณะเดียวกันก็กำลังร่าง พ.ร.บ.ถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่น ซึ่งหากไม่ทำตามนโยบายที่ส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารก็ประชาชนก็สามารถยื่นชื่อถอดถอนได้
สช. พร้อมดันตลาดชุมชนเข้าบอร์ด เสนอ ครม.
สุทธิพงษ์ วสุโสภาพล รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า หากต้องการขับเคลื่อนให้เกิดตลาดชุมชน สภาองค์กรชุมชนก็สามารถที่จะลงมติ เข้าไปยังที่ประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติในวันที่ 16-17 ธ.ค. นี้ หากเห็นตรงกันในการสร้างตลาดชุมชน เพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร ก็จะเสนอเข้าไปในคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เพื่อให้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม) เพื่อให้มีแนวทางมอบหมายให้หน่วยงานดำเนินการได้
“ตลาดชุมชนสามารถพัฒนาเป็นข้อเสนอนโยบายสาธารณะได้ สช. เห็นด้วยในหลักการ 3 ข้อ หนึ่ง ส่งเสริมสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร สอง ยอมรับว่าชุมชนเป็นหน่วยย่อยของความมั่นคงทางอาหาร ต้องทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างผลผลิตกับผู้บริโภค และสาม หลักประกัน ด้านการตลาด”
ขณะที่ ดร.สมพันธ์ บอกว่าหากใช้กระบวนการ สช. ต้องใช้เวลา ปัจจุบันก็สามารถทำได้เลย ในการเสนอโครงการเข้าไปในเงินกู้ 4 แสนล้าน ซึ่งปัจจุบันในโครงการเงินกู้ 4 แสนล้านมีโครงการเกี่ยวกับตลาดชุมชน ตลาดเขียวอยู่น้อยมาก
เล็งแก้ พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน ร่วมวางแผนพัฒนาจังหวัด
รศ.ดร.ธนพร กล่าวว่าการทำแผนพัฒนาจังหวัดไม่เคยเห็นสภาพัฒนาองค์กรชุมชนเข้าไปในอยู่ในขั้นตอนของการร่างแผน ถ้ามีการปรับปรุง พ.ร.บ.สภาพัฒนาองค์กรชุมชน ก็ควรจะต้องระบุส่วนบทบัญญัติบทบาทในการร่วมพัฒนาร่างแผนพัฒนาจังหวัดไปให้ชัด เพราะสภาองค์กรชุมชนก็คือการมีส่วนร่วมประชาธิปไตยทางตรง แบบไม่ต้องพึ่งสถาบันการเมือง เพราะฉะนั้น เมื่อจะต้องมีการแก้กฎหมายของสภาองค์กรชุมชน ควรจะสร้างความเชื่อมโยงกับหน่วยงานท้องถิ่น ให้ชัดเจน
ห่วงปัญหาที่ดิน - สารเคมี - เขื่อนแม่น้ำโขง ฉุดความมั่นคงทางอาหารอีสาน
ระหว่างการจัดเวทีสาธารณะดังกล่าว มีตัวแทนของสภาองค์กรชุมชนในตำบลต่าง ๆ ลุกขึ้นสอบถามประเด็นเกี่ยวกับนโยบายอาหารปลอดภัยที่พยายามผลักดัน แต่ก็มีความพยายามเอาสารเคมีที่ถูกแบนกลับมาใช้ใหม่ หรือแม้กระทั่งต้องการจะส่งเสริมการปลูกเกษตรที่หลากหลาย แต่ก็มีโรงงานน้ำตาลในพื้นที่ ทำให้ชาวบ้านปลูกอ้อยมากขึ้น รุกเข้าไปในที่นาของชาวบ้านคนอื่น สร้างความขัดแย้ง นอกจากนี้ ก็ยังมีปัญหาที่ดิน ที่ยังมีข้อพิพาทประกาศเขตอุทยาน ป่าไม้ต่าง ๆ ทับที่ทำกิน รวมไปถึงแม่น้ำโขงที่ได้รับผลกระทบจากโครงการพัฒนาของประเทศเพื่อนบ้าน และปัญหาการพัฒนาแหล่งน้ำและป่าชุมชน
รศ.ดร.ธนพร ที่ปรึกษาประจำสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่ากรณีแม่น้ำโขง ปัจจุบันมีการเจรจาระดับทวิภาคีไทย-ลาว แต่ก็ต้องยอมรับว่าโครงการพัฒนาในประเทศเพื่อนบ้านมีบริษัทไทยเข้าไปลงทุน เมื่อก่อให้เกิดผลกระทบในแม่น้ำโขงก็ยังส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร
ขณะที่เรื่องที่ดิน เมื่อวันที่ 11 ส.ค. ที่ผ่านมา ก็มีการพูดคุยกันในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ถึง 8 ประเด็นปัญหาการพิสูจน์สิทธิที่ทำกิน เช่น ความต่อเนื่องในการใช้ประโยชน์ที่ดิน, การใช้ข้อมูลในการสำรวจรอบปัจจุบัน, เกณฑ์การพิจารณาสถานะผู้ยากไร้, การจัดการแปลงที่ดินที่มีคดี รวมไปถึงขอให้ประชาชนรักษาสิทธิในการพิสูจน์สิทธิที่ดินทำกินในระหว่างที่มีการขับเคลื่อน พ.ร.บ.โฉนดชุมชน หรือกฎหมายที่ดินฉบับอื่นควบคู่ไป
หมายเหตุ
องค์กรร่วมจัดกิจกรรม “จากมือถึงมือ” ครั้งที่ 4 “ความมั่นคงทางอาหาร ความมั่นคงของมนุษย์”
• สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน – CODI
• เครือข่ายสภาองค์กรชุมชนตำบลภาคอีสาน และองค์กรภาคี
• สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
• ไทยพีบีเอส ชุมชนสัมพันธ์ สำนักสื่อสารและภาคีสัมพันธ์
• ศูนย์สื่อสารวาระทางสังคมและนโยบายสาธารณะ ไทยพีบีเอส
• Thai PBS
อ่านเพิ่มเติม
จากมือถึงมือ ครั้งที่ 2 : การแบ่งปันทางสังคม สู่นโยบายจ้างงานคนไร้บ้าน