ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญด้านโครงสร้างประชากร โดยตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป ประเทศเข้าสู่สังคมสูงอายุเต็มตัว เมื่อประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มีสัดส่วนถึง 1 ใน 5 ของทั้งประเทศ ขณะเดียวกัน จำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงต่อเนื่อง ต่ำกว่า 5 แสนคนเป็นครั้งแรกในรอบ 75 ปี
แนวโน้มในปี 2568 ยิ่งตอกย้ำปัญหา ครึ่งปีแรกมีเด็กเกิดเพียง 201,175 คน ลดลง 9.4% จากปีก่อน แม้จำนวนผู้เสียชีวิตจะลดลงเล็กน้อย แต่ยังสูงกว่า ทำให้คาดว่าในปี 2568 จำนวนเกิดรวมจะเหลือราว 4 แสนกว่าคน
โครงสร้างประชากรที่หดตัวนี้ส่งผลให้หลายโรงเรียนในประเทศไทยต้องลดขนาดหรือปิดตัวลง โดยเฉพาะโรงเรียนที่สังกัด สพฐ. ที่กว่าครึ่งหนึ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ไกลตัวเมือง ทำให้เด็กในพื้นที่ชนบทเสี่ยงเผชิญกับวิกฤตโรงเรียนขาดแคลนนักเรียน ซึ่งนำไปสู่การขาดแคลนครู ขาดแคลนงบประมาณ และสุดท้ายต้องปิดตัวลง
การศึกษาที่เคยเข้าถึงยากอยู่แล้วจึงยิ่งเข้าถึงยากขึ้นสำหรับเด็กในพื้นที่ห่างไกลที่มีทางเลือกจำกัด
ในทางตรงข้าม พื้นที่เมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ กลับมีความต้องการทางการศึกษาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยค่านิยมการส่งบุตรหลานเรียนในโรงเรียนใหญ่ โรงเรียนดัง เพื่อหวังโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพ และเข้าถึงทรัพยากรที่มากกว่า ทำให้การแข่งขันในเมืองใหญ่ยังสูงต่อเนื่อง เด็กหลายพันคนต้องรวมตัวกันในโรงเรียนขนาดใหญ่ และครูต้องรับภาระการสอนนักเรียนจำนวนมากในแต่ละชั้น การศึกษาไทยในโลกสองใบยิ่งสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรทรัพยากรมากขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่เว้นแม้แต่โรงเรียนเอกชน ที่กำลังเผชิญวิกฤตต้องปิดตัวลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 เป็นต้นมา
ประชากรที่ลดลงทุกวันกลายเป็นระเบิดเวลาสำหรับภาคการศึกษาไทย The Active ชวนสำรวจข้อมูลและหาทางออกเพื่อรับมือกับวิกฤตเด็กเกิดน้อยในทุกมิติ ทั้งการจัดสรรครู บุคลากร สถานศึกษา รวมถึงงบประมาณ ที่จำเป็นต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยไม่ทิ้งเด็กไว้ข้างหลัง เพราะในวันหน้า เยาวชนเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ขณะที่จำนวนวัยแรงงานลดลงเรื่อย ๆ

กว่า 99% ของโรงเรียนที่ปิดตัวลงคือโรงเรียนขนาดเล็ก
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งมีโรงเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย พบว่าจำนวนนักเรียนสังกัด สพฐ. ลดลงประมาณ 10% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากประมาณ 7 ล้านคน เหลือราว 6.2 ล้านคน โรงเรียนที่เคยมีประมาณ 30,000 แห่ง ลดลงเหลือราว 28,000 แห่ง แนวโน้มการลดลงนี้ส่งผลกระทบหนักที่สุดกับโรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็ก โรงเรียนราว ๆ 1 ใน 4 หดขนาดจากใหญ่เป็นกลาง หรือจากกลางเป็นเล็ก ขณะที่มีเพียง 7.5% เท่านั้นที่มีจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้น และที่น่ากังวลมากที่สุดคือ ในบรรดาโรงเรียนหายไปจากฐานข้อมูลอย่างน้อย 1,918 โรง เป็นโรงเรียนขนาดเล็กถึง 99%

โรงเรียนขนาดเล็กเป็นจุดเปราะบางเพราะมีทรัพยากรจำกัดและเสี่ยงถูกควบรวมหรือยุบ คำถามต่อมาคือ แล้วภาครัฐมีการคำนวณหรือวางแผนไว้อย่างไรว่าควรเหลือโรงเรียนจำนวนเท่าใด หรือมีแนวรับต่อปัญหานี้อย่างไร
ทัฬหวิชญ์ ฐิติรัตน์สกุล นักวิจัยด้านนโยบายการปฏิรูปการศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย TDRI อธิบายว่า ด้วยทรัพยากรที่มีจำกัดของโรงเรียนขนาดเล็ก ทำให้ต้องเผชิญความยากลำบาก แม้มีจำนวนนักเรียนลดลง แต่จำนวนห้องเรียนไม่ลดลงตาม เพราะจำเป็นต้องจัดชั้นเรียนตั้งแต่ ป.1-ป.6 ทำให้ต้องใช้ครูหลายคน อัตราส่วนนักเรียนต่อครูในโรงเรียนขนาดเล็กจึงต่ำมาก ครูหนึ่งคนดูแลเด็กไม่กี่คน แต่กลับทำให้ระบบต้องใช้ครูจำนวนมากโดยรวม ซึ่งเติมให้ครบได้ยาก
ตามเกณฑ์ของ ก.ค.ศ. หรือ คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โรงเรียนที่มีเด็ก 10-40 คน ต้องมีครูอย่างน้อย 4 คน เด็ก 81-120 คน ต้องมีครู 8 คน เป็นต้น แต่หลายโรงเรียนขนาดเล็กมีถึง 6 ชั้นเรียน แต่ได้จัดสรรครูเพียง 4 คน จึงไม่เพียงพออย่างชัดเจน ทำให้ครูต้องสอนควบชั้นเรียน ผลตามที่มา คือ พัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กก็ยิ่งถดถอยตามไป โดยเฉพาะนักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กซึ่งมีจำนวนกว่า 50% ของประเทศ
ทัฬหวิชญ์ เผยข้อมูลจากผลสอบระดับนานาชาติอย่าง PISA สะท้อนว่าโรงเรียนที่มีปัญหาขาดครูจะมีผลการเรียนรู้ที่ต่ำกว่า ดังแผนภาพด้านล่าง

ปัญหาการจัดสรรบุคลากร จนนำไปสู่การขาดแคลนครูในหลายโรงเรียนยังส่งผลกระทบอีกหลายมิติ ได้แก่
- สอนรวมชั้น เด็กตามไม่ทัน
การแบ่งชั้นเรียน การประเมิน และระบบบริหารต่าง ๆ ออกแบบมาสำหรับโรงเรียนใหญ่ที่มีทรัพยากรพร้อม โรงเรียนขนาดเล็กที่ต้องสอนรวมชั้นจึงทำงานยากมาก และเด็กแต่ละคนอาจไม่ได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพ
- ครูงานล้นมือ
ทำให้เด็กไม่ได้รับการติดตามและดูแลอย่างใกล้ชิด ครูเองแม้ตั้งใจเต็มที่ แต่เมื่อมีงานส่วนอื่น เช่น ประชุมหรือภารกิจเพิ่มเติม ก็ทำให้เกิดภาวะขาดคนทันที
- เงินอุดหนุนรายหัวไม่เพียงพอ
โรงเรียนขนาดใหญ่ได้เงินมากกว่าเพราะมีเด็กมากกว่า ส่วนโรงเรียนเล็กมีเงินน้อยตามจำนวนเด็ก ทำให้การพัฒนาจำกัด
ด้วยเหตุนี้จึงนำไปสู่ข้อเสนอการการควบรวมโรงเรียน เช่น โรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ใกล้กันอาจจัดสรรหน้าที่กันใหม่ เช่น โรงเรียนหนึ่งรับเด็ก ป.1-ป.3 อีกโรงรับ ป.4-ป.6 เป็นต้น แต่แนวทางเช่นนี้ยังไม่ปรากฏเป็นนโยบายที่ชัดเจนจากกระทรวง มีเพียงการมอบให้เขตพื้นที่การศึกษาไปจัดการเอง ซึ่งเขตเองก็มีข้อจำกัด ทั้งอำนาจไม่มาก และต้องเผชิญความกังวลของชุมชนที่ไม่อยากให้โรงเรียนหายไปจากพื้นที่ แม้จะมีบางโรงเรียนยินยอมควบรวม แต่การดำเนินการจริงก็ยังยากลำบาก กระทรวงจึงแทบไม่ได้ลงมาช่วยในเชิงนโยบายที่ชัดเจน

ด้วยความซับซ้อนของปัญหา ทัฬหวิชญ์ ย้ำว่า การแก้ไขควรเริ่มจากส่วนกลางและพื้นที่ท้องถิ่นควบคู่กัน เพราะพื้นที่มีความเข้าใจบริบทดีที่สุด และได้เริ่มลงมือปรับตัวในขอบเขตที่ทำได้ เช่น การพูดคุยกับชุมชนหรือวางแผนควบรวม แต่ส่วนกลางสามารถช่วยได้อย่างน้อย 2 เรื่องสำคัญ ได้แก่
- การให้หลักประกันต่อชุมชน
ว่าหากโรงเรียนถูกควบรวมหรือยุบ พื้นที่เดิมจะถูกใช้ทำอะไรต่อ เพราะหลายพื้นที่กังวลว่าที่ดินของโรงเรียนคือทรัพย์สินของชุมชน หากไม่มีคำชี้แจงที่ชัดเจนก็จะเกิดแรงต้าน ต่างจากบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ที่มีแนวนโยบายชัดเจน เช่น นำพื้นที่โรงเรียนที่ปิดไปทำพิพิธภัณฑ์ แหล่งเรียนรู้ หรือศูนย์ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น เป็นต้น - การสื่อสารเรื่องแผนควบรวมให้ชัดเจน
เช่น การจัดทำแผนที่โรงเรียนขนาดเล็กใกล้เคียงกันแบบที่ธนาคารโลกเคยทำ เพื่อให้ส่วนกลางประกาศอย่างเป็นทางการว่าโรงเรียนใดมีแนวโน้มจะถูกจัดสรรใหม่ โรงเรียนใดอยู่ห่างไกลจนไม่ควรถูกแตะต้อง ปัจจุบันบางเขตทำเอง แต่กระทรวงยังไม่มีแผนกลางที่ชัดเจน
อีกเรื่องหนึ่งที่ส่วนกลางช่วยได้คือ การบริหารบุคลากรครู ปัจจุบันการย้ายครูขึ้นอยู่กับความสมัครใจเท่านั้น แต่ในหลายพื้นที่โรงเรียนมีเด็กต้องการเรียนแต่ไม่มีครู และไม่สามารถบังคับให้ครูย้ายได้ อาจต้องมีมาตรการจูงใจ เช่น เบี้ยกันดาร สิทธิเลื่อนวิทยฐานะ หรือแรงจูงใจรูปแบบอื่นในพื้นที่ยากลำบาก
ทัฬหวิชญ์ เสริมว่า อีกเรื่องที่ขาดมาก คือ ระบบผลิตครู เพราะครึ่งหนึ่งของโรงเรียนทั้งประเทศเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ผลิตครูใหม่จำนวนมากก็ต้องไปบรรจุในโรงเรียนขนาดเล็ก แต่ทรัพยากรไม่เพียงพอและมีแนวโน้มต้องสอนแบบคละชั้น จึงควรปรับหลักสูตรผลิตครูให้สอดคล้อง เช่น การอบรมการสอนคละชั้น และการจัดการเรียนรู้ในพื้นที่ห่างไกล
ส่วนแนวคิดการโอนโรงเรียนไปอยู่ภายใต้สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ อบจ. ซึ่งหลายคนเห็นว่าอาจช่วยลดภาระของส่วนกลางได้ ทัฬหวิชญ์ มองว่า แนวคิดนี้มีการพูดถึงมานาน และปัจจุบันก็มีกรอบให้โรงเรียนย้ายสังกัดไป อบจ. ได้ เหตุผลสำคัญที่เคยพูดกัน คือ การกระจายอำนาจ ให้ท้องถิ่นบริหารทรัพยากรและทรัพย์สินได้เอง ซึ่งยืดหยุ่นกว่า เช่น การใช้พื้นที่อาคารตามต้องการ โดยไม่ต้องผ่านระเบียบของส่วนกลาง แต่ประเด็นเรื่องจำนวนครูหรือทรัพยากรบุคคลยังไม่น่าจะแก้ได้มาก แต่แนวโน้มล่าสุดคือโรงเรียนไม่ค่อยสนใจย้ายแล้ว
เมืองกรุงฯ จุดมุ่งหมายสุดท้ายทางการศึกษา?
ในวันที่ประชากรเมืองหลวงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง และนโยบายการจัดสรรพื้นที่และกฎหมายผังเมืองมุ่งให้กรุงเทพฯ เติบโตในแนวตั้งผ่านการเพิ่มความหนาแน่นของอาคาร คนกรุงเทพฯ อาจต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางตึกสูงตั้งแต่เกิดจนโต แม้กระทั่งช่วงวัยเรียน ส่งผลให้รูปแบบสถานศึกษาเริ่มเปลี่ยนจากโรงเรียนแนวราบที่คุ้นเคย มาเป็น ‘โรงเรียนแนวตั้ง’ ที่แทรกตัวอยู่กลางมหานคร นำไปสู่ข้อกังวลว่า เด็กอาจสูญเสียพื้นที่ทำกิจกรรมทางกาย และกระทบพัฒนาการหลายด้านตามมา
ขณะที่หลายโรงเรียนดังในกรุงเทพมหานคร มีแนวโน้มการแข่งขันเพื่อเข้าเรียนที่สูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามปัจจัยค่านิยมของผู้ปกครองที่จะส่งบุตรหลานเข้าเรียนในสถานศึกษาที่มีคุณภาพหรือมีชื่อเสียงมากกว่าการส่งลูกเรียนโรงเรียนใกล้บ้าน ทำให้เรามักพบเห็นตึกอาคารเรียนเพื่อขยายพื้นที่การเรียนรู้ให้เพียงพอต่อจำนวนนักเรียน ให้การใช้สอยพื้นที่เกิดอรรถประโยชน์สูงสุดดังตัวอย่างสถานศึกษาในแผนภาพกราฟิกด้านล่างนี้

โรงเรียนแนวตั้งถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับข้อจำกัดด้านที่ดินในเมืองใหญ่ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ที่มีพื้นที่ว่างลดลงทุกวัน แต่ความต้องการด้านการศึกษายังสูงอยู่ การสร้างโรงเรียนสูงขึ้นในลักษณะอาคารหลายชั้นจึงเป็นทางออกเพื่อให้สถานศึกษากระจายตัวได้มากขึ้น และลดภาระการเดินทางของนักเรียนให้ใกล้เคียงแนวคิด ’15-minute city’ ซึ่งทุกคนควรเข้าถึงบริการจำเป็นในรัศมี 15 นาทีอย่างไรก็ตาม นักเรียนจำนวนมากในกรุงเทพฯ ต้องใช้เวลาเดินทางไกลเพื่อเข้าเรียนโรงเรียนที่เชื่อว่ามีคุณภาพกว่า เด็กมัธยมในกรุงเทพฯ กว่า 46.2% มีคุณภาพการนอนหลับไม่ดี ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากภาระการเดินทางที่ยืดเยื้อ
ทัฬหวิชญ์ ระบุว่า แม้ข้อมูลช่วง 10 ปี จะไม่พบว่าจำนวนนักเรียนในโรงเรียนใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่การแข่งขันกลับสูงขึ้นตามค่านิยมผู้ปกครองที่มุ่งส่งบุตรหลานเข้าโรงเรียนคุณภาพ ส่งผลให้โรงเรียนดังต้องสร้างอาคารเรียนเพิ่มเพื่อรองรับความต้องการ ขณะที่โรงเรียนขนาดเล็กกลับค่อย ๆ เลือนหาย โดยไม่ได้รับการบริหารจัดการหรือสนับสนุนที่เหมาะสม เขาย้ำว่าโรงเรียนเล็กไม่ควรถูกปล่อยให้หายไปตามกลไกประชากร แต่ควรมีกระบวนการควบรวมอย่างมีแผนเพื่อให้คุณภาพการศึกษาไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ธัชธรรม สีมาเอกรัตน์ สถาปนิกเจ้าของสถาปัตยนิพนธ์ ‘โรงเรียนทางตั้ง’ มองว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่เด็กเข้าถึงการศึกษาได้ยาก การกระจายโรงเรียนผ่านอาคารแนวตั้งจึงเป็นทางออกที่สอดคล้องกับแนวโน้มการเพิ่มความหนาแน่นของเมือง โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้าที่อนุญาตให้สร้างอาคารสูงมากขึ้นตามเกณฑ์ค่า FAR เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ กทม. ไม่ใช่เมืองหนาแน่น หากแต่เป็น ‘เมืองแออัด’ เพราะสัดส่วนการใช้พื้นที่ผิดสมดุล พื้นที่ออฟฟิศกระจุกในเมืองชั้นใน ทำให้ผู้คนต้องเดินทางไกล จึงจำเป็นต้องทำให้ทุกส่วนของเมืองพัฒนาใกล้เคียงกัน รวมถึงสถานศึกษา
ในเมืองหลวงต่างประเทศที่มีพื้นที่จำกัดอย่างเช่นเมืองสิงคโปร์ มีการสร้างอาคารเรียนแนวตั้ง ซึ่งออกแบบให้รับลมธรรมชาติ มีช่องเปิดให้มองเห็นภายนอก และสร้างพื้นที่สีเขียวมากถึง 140% ของพื้นที่ดินทั้งหมด ตรงกันข้ามกับหลายโรงเรียนในไทยที่เน้นสร้างตึกก่อน แล้วค่อยแทรกโรงเรียนเข้าไป จนไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน
ธัชธรรม เน้นย้ำว่า อาคารเรียนแนวตั้งที่ไม่ได้ออกแบบดีพออาจสร้างปัญหา เช่น ไม่มีพื้นที่ให้เด็กวิ่งเล่น เสี่ยงด้านความปลอดภัย เด็กขาดการรับรู้ธรรมชาติภายนอก ระบบอากาศหมุนเวียนไม่ดีหากไม่ได้รับการดูแลรักษา และที่สำคัญคือเด็กจะขาดโอกาสสัมผัสแสงธรรมชาติ ส่งผลต่อนาฬิกาชีวิตของพวกเขา
แม้ไทยจะมีกฎหมายกำหนดเกณฑ์ด้านสิ่งก่อสร้างโรงเรียน เช่น จำนวนห้องเรียน พื้นที่กิจกรรม อาคารกีฬา และอัตราพื้นที่ต่อจำนวนนักเรียน แต่ ธัชธรรม ระบุว่าการบังคับใช้ยังไม่จริงจัง ทำให้โรงเรียนจำนวนมากยังคงแออัดและขาดพื้นที่สีเขียว ขณะที่ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตั้งเป้าว่าโรงเรียนทั่วไปควรมีพื้นที่สีเขียวอย่างน้อย 30% ของแปลงที่ดิน แต่ที่ผ่านมา โรงเรียนจำนวนมากยังไม่มีการวิเคราะห์ความสอดคล้องกับแผนนี้อย่างเป็นระบบ
ท้ายที่สุด ธัชธรรม มองว่า หน้าตาของโรงเรียนไทยในอนาคตขึ้นอยู่กับหลักสูตรการเรียนรู้ หากการศึกษายังมุ่งเน้นผลิตแรงงานด้วยปริมาณ การออกแบบพื้นที่ในโรงเรียนก็จะถูกจัดสรรเพื่อสร้างแรงงานให้ได้คราวละมาก ๆ โรงเรียนแนวตั้งก็อาจเป็นเพียงอาคารสูงที่วางฟังก์ชันแบบเดิม ไม่ได้ตอบโจทย์อนาคตของเด็กไทย
ท่ามกลางการขยายตัวของเมืองและการแข่งขันทางการศึกษา แนวคิดโรงเรียนแนวตั้งอาจเป็นคำตอบหนึ่งของสังคมเมือง แต่ก็เป็นคำถามใหญ่เช่นกันว่า เมืองที่กำลังเร่งแข่งสร้างตึกให้สูงเทียมฟ้าจะมีพื้นที่ให้เด็กทุกคนเติบโตอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่

กี่รัฐมนตรีศึกษาฯ
แก้ปัญหา รร. ขนาดเล็กไม่จบสิ้น
แม้หลายรัฐบาลและหลายรัฐมนตรีจะพยายามออกมาตรการแก้ไข ทั้งการรวมโรงเรียน การสนับสนุนโรงเรียนแม่เหล็กเพื่อดึงดูดนักเรียน การจัดสรรอัตราครูใหม่ และการสร้างแพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์ให้เด็กเข้าถึงแหล่งเรียนรู้คุณภาพอย่างเท่าเทียมกัน ความพยายามเหล่านี้กลับยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง ส่งผลให้ในปี 2568 โรงเรียนขนาดเล็กหลายแห่งยังคงประสบปัญหาครูไม่ครบชั้น นักเรียนลดลง และความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาทวีความรุนแรงมากขึ้น ชวนย้อนดูแนวทางการแก้ไขปัญหาของ 5 รัฐมนตรีศึกษาธิการต่อปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก
“โรงเรียนขนาดเล็กเรามีมาก หลายที่เขาก็อยากจะยุบ หลายที่เราก็พยามยามชวนให้เขายุบมารวมกันดีไหม ดังนั้นเราต้องสร้างโรงเรียนดีใกล้บ้าน ไม่ใช่หลอก ๆ ทำกันไป”
นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พ.ศ. 2559–2562)
นายแพทย์ธีระเกียรติ กล่าวถึงการปฏิรูปการศึกษาในรายการ “คนเคาะข่าว” โดยเน้นการปรับปรุงคุณภาพครูและการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพใกล้บ้าน โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กที่มีแนวโน้มถูกยุบรวม เขาย้ำว่าการสร้างโรงเรียนแม่เหล็ก ซึ่งเริ่มโดย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ศธ. คนก่อนหน้า เป็นแนวทางสำคัญในการขยายโอกาสทางการศึกษาให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ นอกจากนี้ รัฐมนตรียังชี้ว่าโครงการนี้ต้องมาพร้อมกับงบประมาณสนับสนุนและการกำกับติดตามอย่างจริงจัง เพื่อให้โรงเรียนใกล้บ้านมีคุณภาพ
“กระทรวงศึกษาธิการมีเรื่องเร่งรัดที่ต้องทำอีกหลายเรื่อง มากกว่าการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก”
ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พ.ศ. 2562–2563)
ในช่วงอภิปรายงบประมาณรายจ่ายของกระทรวงศึกษาธิการ สส. พรรคเพื่อไทยได้ลุกขึ้นวิพากษ์นโยบายยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กทั่วประเทศ โดยชี้ว่าคำสั่งของ คสช. และการปรับโครงสร้าง ศธ. สร้างความเสียหายต่อผู้ปกครองและนักเรียน โรงเรียนขนาดเล็กกว่า 15,000 แห่งได้รับผลกระทบจากการไม่บรรจุครูและการยุบโรงเรียนตามพื้นที่โดยไม่ฟังเสียงชุมชน
ต่อมา ณัฏฐพล ได้ชี้แจงต่อข้อกังวลของ สส. กรณีโรงเรียนขนาดเล็กว่า กระทรวงศึกษาธิการจะให้การสนับสนุนเฉพาะพื้นที่ชายขอบ ชายแดน ที่ต้องการความช่วยเหลือจริง ส่วนโรงเรียนที่อยู่บนพื้นราบและไม่สามารถควบรวมได้จะพิจารณาตามบริบทพื้นที่แต่ละจังหวัด รัฐมนตรียังระบุว่า การควบรวมโรงเรียนไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนที่สุด กระทรวงมีโครงการสำคัญอื่นที่ต้องเร่งดำเนินการ พร้อมยืนยันว่าจะใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ และรับข้อเสนอแนะจาก ส.ส.เพื่อปรับปรุงการพัฒนาการศึกษาให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่
“การแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กนั้น สามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ โดยใช้แนวทางโรงเรียนคุณภาพ คือ มีการนำนักเรียนมาเรียนรวม มีการจัดแผนงานร่วมกับโรงเรียนเครือข่ายในการใช้ทรัพยากรใช้ร่วมกัน”
ตรีนุช เทียนทอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พ.ศ. 2563–2565)
ตรีนุชระบุว่าการจัดสรรอัตรากำลังครูตามมติ ครม. จะช่วยแก้ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนต่ำกว่า 120 คน โดยเฉพาะโรงเรียน 7,969 แห่งที่มีนักเรียน 61–119 คน ซึ่งในจำนวนนี้ 1,760 โรงเรียนยังไม่มีผู้อำนวยการ จึงมอบหมายให้ สพฐ. และ ก.ค.ศ. ดำเนินการจัดหาผู้อำนวยการโรงเรียนอย่างเร่งด่วน ขณะเดียวกัน ศธ. จะนำมติ ครม.นี้ มาปฏิบัติเพื่อให้การกำกับดูแล การควบคุมขนาดกำลังคนและภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมตามเป้าหมายของ คปร. และนโยบายของรัฐบาล
“ศธ.ได้ขับเคลื่อนโครงการ “สุขาดีมีความสุข” โดยเบื้องต้นได้ดำเนินการสนับสนุนโรงเรียนขนาดเล็กไปก่อน รวมทั้งดำเนินแนวทางนโยบายการยกเว้นหรือผ่อนผันการแต่งเครื่องแบบนักเรียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำไปพลางก่อน “
พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พ.ศ. 2565)
ในสมัย พล.ต.อ. เพิ่มพูน ไม่ได้มีข้อปฏิบัติต่อในการแก้ไขปัญหา รร. ขนาดเล็กเท่าที่ควร ปรากฎเพียงแนวทางการนำร่องโครงการ ‘สุขาดี มีความสุข’ ที่จะจัดสรรงบปรับปรุงสุขานักเรียนในโรงเรียนขนาดเล็กก่อน และสนับสนุนมาตรการยกเว้นหรือผ่อนผันการแต่งเครื่องแบบนักเรียน พร้อมจัดทำแพลตฟอร์มและคอนเทนต์ออนไลน์ เพื่อให้ครูและนักเรียนสามารถเรียนกับครูผู้เชี่ยวชาญจากโรงเรียนอื่น ๆ ได้
ศธ. ยังเชื่อมั่นว่ากลไกการเรียนรู้ตามนโยบาย Anywhere Anytime จะช่วยแก้ปัญหาครูไม่ครบชั้นหรือครูไม่ครบวิชาในโรงเรียนขนาดเล็ก ทำให้นักเรียนได้รับโอกาสเรียนกับครูเก่ง ๆ เช่นเดียวกับเด็กในโรงเรียนใหญ่ และสร้างความเท่าเทียมทางการศึกษาได้มากขึ้น
“แนวทางนี้ [เกลี่ยอัตราครูเกินใน รร. ขนาดเล็กไปทำหน้าที่ธุรการ] ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่มหรือบรรจุข้าราชการใหม่ ถือเป็นการบริหารจัดการอัตรากำลังที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มอัตราการเกิดที่ลดลง”
ศ.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พ.ศ. 2566–ปัจจุบัน)
ศ.นฤมล เปิดเผยว่ากระทรวงกำลังบรรเทาภาระงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอนของครู เช่น งานพัสดุ การเงิน และธุรการ โดยมอบหมายให้ ก.ค.ศ. และ สพฐ. เกลี่ยอัตราครูที่เกินไปเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษา ตามมาตรา 38 ค. (2) เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยไม่ใช้งบประมาณเพิ่ม นอกจากนี้ รัฐมนตรียังเน้นความยืดหยุ่นในการจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก เช่น การรวมกลุ่มใช้ธุรการร่วมกัน แต่ยังคงให้โรงเรียนที่ต้องการธุรการประจำสามารถดำเนินงานได้ พร้อมยืนยันว่าผู้ได้รับการจัดสรรอัตราครูยังคงสิทธิและสถานะเท่าเดิมตามกฎหมาย

