หนาวนี้…ฝุ่น PM2.5 มาแล้ว ‘กม.อากาศสะอาด’ มายัง ?

  • สถานการณ์ฝุ่นในกรุงเทพฯ เริ่มสูงขึ้นในระดับสีส้ม (ไม่ดีต่อสุขภาพของกลุ่มเสี่ยง)
  • ความหวังแก้ฝุ่นพิษที่ ร่าง กม.อากาศสะอาด ซึ่งอยู่ในขั้นพิจารณาของ กมธ.วุฒิสภา
  • ภาคประชาชน ชวนจับตาสาระสำคัญ ที่อาจถูกตัดทอน จี้ สว. เร่งพิจารณา ให้ทันยุบสภา

ฤดูหนาวของประเทศไทยมาถึงแล้ว นอกเหนือจากลมหนาวที่พัดมา อุณหภูมิที่ลดลงจนรู้สึกหนาว ยังเห็นภาพท้องฟ้าขมุกขมัว ตึกสูงที่ถูกบดบังด้วยฝุ่นควัน พ่วงกับอาการไอ คัดจมูก หายใจลำบาก ระคายเคืองตา เหล่านี้ล้วนเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากมลพิษทางอากาศ ในระดับที่ใหญ่ขึ้น มลพิษทางอากาศยังเป็นหนึ่งในสาเหตุการตายก่อนวัยอันควร โดยเฉพาะ PM2.5 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 70,000 คน/ปี หรือเฉลี่ย 192 คน/วัน

แม้ว่ากรุงเทพมหานคร จะประกาศ ขอความร่วมมือทำงานที่บ้าน (Work From Home) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเริ่มต้นในวันที่ 4 ธ.ค. 68 เป็นวันแรก เนื่องจากค่าฝุ่น PM2.5 อยู่ในระดับสีส้ม (เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ) เกิน 35 เขต รวมถึงเตือนให้ประชาชนใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากป้องกัน PM2.5 ทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร หรือจำกัดระยะเวลาในการทำกิจกรรมกลางแจ้ง อย่างไรก็ตาม การป้องกันดังกล่าวเป็นเพียงการแก้ปัญหาในระยะสั้นเท่านั้น

ภาคประชาชนบางส่วนจึงชวนจับตาและเร่งผลักดัน “พ.ร.บ.อากาศสะอาด” ให้ทันก่อนยุบสภา ด้วยความหวังที่จะแก้ปัญหามลพิษทางอากาศในระดับโครงสร้างและในหลากหลายมิติ เพราะสิทธิในอากาศสะอาด ถือเป็นสิทธิที่ประชาชนต้องได้รับ ให้บุคคลดำรงชีวิตด้วยอากาศสะอาดที่ไม่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพ ไม่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร และไม่ส่งผลเสียต่อการประกอบการอาชีพ ซึ่งรัฐมีหน้าที่คุ้มครองและทำให้สิทธิเหล่านี้เกิดขึ้นจริง

ในโอกาสฤดูฝุ่นวนเวียนกลับมาอีกครั้งในช่วงเดือนธันวาคม และโค้งสุดท้ายของกฎหมายอากาศสะอาด The Active ชวนมองสถานการณ์ฝุ่นของกรุงเทพฯ และกฎหมายอากาศสะอาด ภายใต้ข้อกังวลถึงการถูกตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงเขี้ยวเล็บและสาระสำคัญ รวมถึงการถ่วงระยะเวลาซึ่งอาจทำให้กฎหมายถูกตีตกไป หากวุฒิสภาลงมติไม่ทันยุบสภา ในปลายเดือนมกราคม 2569 นี้

ฤดูฝุ่นกรุงเทพฯ กลับมาแล้ว

สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 เริ่มกลับมาแล้วในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยเพจ กรุงเทพมหานคร เปิดเผยปัจจัยของสาเหตุฝุ่นในกรุงเทพฯ ว่ามาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ สภาพอากาศปิด, การเผาไหม้ของเครื่องยนต์ และการเผาชีวมวล

อีกหนึ่งพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 รุนแรงไม่แพ้กันคือภาคเหนือ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ แม้ในตอนนี้ค่าฝุ่นจะยังไม่สูงเท่าบริเวณพื้นที่กรุงเทพฯ แต่จากสถิติในอดีต สถานการณ์ฝุ่นในเชียงใหม่อาจรุนแรงมากกว่ากรุงเทพฯ ในช่วงต้นปี

โดยมีสถานการณ์ค่าเฉลี่ยฝุ่น PM2.5 และค่าดัชนีคุณภาพอากาศของกรุงเทพฯ และ เชียงใหม่ ในช่วงวันที่ 29 พ.ย. – 4 ธ.ค. 2568 ดังนี้

วันที่ค่าเฉลี่ยฝุ่น PM2.5 เวลา 07:00 น. จาก ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศ กรุงเทพฯ (ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร)ค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) ของ กรุงเทพฯค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) ของเชียงใหม่
29 พ.ย. 256831.811880
30 พ.ย. 256842.713185
1 ธ.ค. 25684513682
2 ธ.ค. 256850.613788
3 ธ.ค. 256847.112781
4 ธ.ค. 256843.711079

ค่าเฉลี่ยฝุ่น PM2.5 ของกรุงเทพฯ มีค่ามาตรฐานอยู่ที่ 37.5 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร สามารถแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ดังนี้

  • สีฟ้า (0–15 มคก./ลบ.ม.) หมายถึง ดีมาก

  • สีเขียว (15.1–25 มคก./ลบ.ม.) หมายถึง ดี

  • สีเหลือง (25.1–37.5 มคก./ลบ.ม.) หมายถึง ปานกลาง

  • สีส้ม (37.6–75 มคก./ลบ.ม.) หมายถึง เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ

  • สีแดง (75.1 มคก./ลบ.ม. ขึ้นไป) หมายถึง มีผลกระทบต่อสุขภาพ

ในขณะที่ค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) เป็นการรายงานคุณภาพอากาศในภาพรวม ประกอบด้วยมลพิษทางอากาศ 6 ชนิด ได้แก่ O3, CO, NO2, SO2, PM2.5 และ PM10 แบ่งเกณฑ์ออกเป็น 6 ระดับ ได้แก่

  • สีเขียว (ค่า 0-50) หมายถึง คุณภาพอากาศดี (Good)

  • สีเหลือง (ค่า 51-100) หมายถึง คุณภาพอากาศปานกลาง (Moderate)

  • สีส้ม (ค่า 101-150) หมายถึง คุณภาพอากาศไม่ดีต่อสุขภาพของกลุ่มที่มีสัมผัสไวต่อมลพิษ (Unhealthy for Sensitive Groups)

  • สีแดง (ค่า 151 – 200) หมายถึง คุณภาพอากาศไม่ดีต่อสุขภาพ (Unhealthy)

  • สีม่วง (ค่า 201 – 300) หมายถึง คุณภาพอากาศไม่ดีต่อสุขภาพมาก (Very Unhealthy)

  • สีน้ำตาล (ค่า 300+) หมายถึง คุณภาพอากาศอันตราย (Hazardous)

หากย้อนดูในอดีตจะพบว่า คุณภาพอากาศในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ วันส่วนใหญ่มีค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) เป็นสีเหลืองหรือคุณภาพอากาศปานกลาง คิดเป็นประมาณ 50-60% ของจำนวนวันทั้งปี

หากดูค่าเฉลี่ยฝุ่นรายเดือนตั้งแต่ปี 2563 – 2568 จะพบว่า กรุงเทพฯ มีฤดูฝุ่นอยู่ที่ ช่วงเดือนธันวาคม – มีนาคม (คุณภาพอากาศเริ่มเป็นสีส้ม) และอาจขึ้นถึงสีแดง (ค่า 151 – 200) ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพ (Unhealthy) เช่น วันที่ 23 มี.ค. 2568 ที่มีค่าสูงที่สุดของปี 2568 ถึง 173

ในขณะที่ฤดูฝุ่นของเชียงใหม่จะอยู่ที่ช่วงเดือนมกราคม – เมษายน โดยบางปีเดือนเมษายนมีค่าเฉลี่ยระดับคุณภาพอากาศทั้งเดือนอยู่ที่สีแดง (ค่า 151 – 200) และบางวันอาจแตะถึงระดับสีม่วง (ค่า 201 – 300) ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพมาก (Very Unhealthy) เช่น วันที่ 6 เม.ย. 2567 ที่มีค่าสูงสุดของปี 2567 ถึง 227

คืบ ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด
กมธ. วุฒิสภา พิจารณา
เอกชนหวั่นกระทบเศรษฐกิจ ?

นอกจากการแก้ปัญหาในระดับปัจเจกอย่างการใส่แมสก์หรือติดตั้งเครื่องฟอกอากาศภายในห้องแล้ว หนึ่งในความหวังที่จะแก้ปัญหาฝุ่นพิษได้ระยะยาวในระดับโครงสร้างและต้นตอคือ ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า พ.ร.บ.อากาศสะอาด จุดเริ่มต้นจากการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนนอกสภาฯ ตั้งแต่ปี 2561 นำมาสู่การขยับในสภาฯ ในช่วงต้นปี 2567

วันที่ 17 ม.ค. 2567 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิที่จะหายใจในสภาฯ เมื่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเอกฉันท์ 443 เสียง รับหลักการร่างกฎหมายอากาศสะอาดทั้ง 7 ฉบับ ได้แก่ ฉบับรัฐบาล (ครม.), ฉบับพรรคพลังประชารัฐ, ฉบับพรรคภูมิใจไทย, ฉบับพรรคเพื่อไทย, ฉบับพรรคก้าวไกล (เดิม), ฉบับเครือข่ายอากาศสะอาด (ภาคประชาชน) และฉบับพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมตั้งคณะกรรมธิการวิสามัญ (กมธ.วิสามัญ) 39 คน เพื่อทำการพิจารณาแก้ไขรายมาตรา ก่อนเสนอให้ที่ประชุมสภาฯ พิจารณาต่อในวาระ 2 และ 3

หลังจากนั้น กมธ. พิจารณาและหลอมรวมร่างทั้ง 7 ฉบับเป็นฉบับเดียว โดยใช้ระยะเวลากว่า 1 ปี 4 เดือน แล้วเสร็จในวันที่ 19 พ.ค. 2568 และเปิดรับฟังความเห็นของประชาชนผ่านเว็บไซต์รัฐสภา ระยะเวลา 15 วัน เมื่อวันที่ 25 ก.ค. – 8 ส.ค. 2568

นำมาสู่การโหวต พ.ร.บ. ดังกล่าวในวาระ 2 และ 3 ช่วงวันที่ 24 ก.ย. – 21 ต.ค. 2568 ภายในระยะเวลาดังกล่าวมีกระแสการพูดถึงจำนวนมาก เนื่องจากที่ประชุมมีเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งในวันที่ 25 ก.ย. 2568 ส่งผลให้ต้องปิดประชุม หลากภาคส่วนเรียกร้องให้ สส. ปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยการเข้าประชุม หรือข้อถกเถียงในบางมาตราส่งผลให้เสียงผลโหวตของสภาฯ แตกออกเป็น 2 ฝั่ง

แม้จะมีความไม่ลงรอยในหลายด้าน แต่ร่างดังกล่าวก็ยังคงเขี้ยวเล็บและสาระสำคัญไว้ได้ เช่น กองทุนอากาศสะอาด ซึ่งสะท้อนหลักการ “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” (หรือ Polluter Pays Principle) หรือการให้ นายก อบจ. เป็นประธานกรรมการอากาศสะอาดจังหวัด ตามหลักการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น

ร่างดังกล่าว รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม สมาคมเครือข่ายอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพ และ รองประธานคณะกรรมาธิการฯ คนที่ 1 เปิดเผยว่าเนื้อหาใจความสำคัญมีแนวคิดที่นำมาปรับใช้จากฉบับของประชาชนมากถึง 90 %

ท้ายที่สุด สภาผู้แทนราษฎร ก็ได้มีมติเอกฉันท์ 309 เสียง เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2568 ส่งไม้ต่อให้วุฒิสภาพิจารณาต่อ และหลังจากนั้นไม่ถึง 1 สัปดาห์ ในวันที่ 27 ต.ค. 2568 วุฒิสภารับหลักการในวาระ 1 เห็นชอบ 149 เสียง พร้อมให้ตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณา 27 คน มาจาก สว., ครม. และ ประชาชน

แม้ร่างกฎหมายดังกล่าวจะเป็นฉันทามติจากพรรคการเมืองและประชาชน แต่ก็ใช่ว่าทุกภาคส่วนจะเห็นด้วย โดยเฉพาะภาคเอกชนและผู้ประกอบการ เช่น เมื่อวันที่ 5 และ 12 พ.ย. 2568 คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย แถลงจุดยืนต่อร่างกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน, พ.ร.บ.โรงงาน รวมถึง พ.ร.บ.อากาศสะอาด

กกร. มีจุดยืนเห็นด้วยในหลักการและบางมาตรการ อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายทั้ง 3 ฉบับ อาจส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่จะต้องเผชิญกับภาระต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากข้อกำหนดทางกฎหมายใหม่ รวมถึง บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ และลดความน่าสนใจของประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนใหม่

กกร. เสนอให้ยึดหลัก ไม่ซ้ำซ้อนกฎหมายเดิม ไม่เพิ่มภาระ และสร้างสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อมกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงจำเป็นที่จะต้องจัดทำการประเมินผลกระทบของกฎหมาย (RIA) ตามมาตรฐานสากล ที่สามารถวัดผลได้ สำหรับกฎหมายที่จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ โดยหน่วยงานกลางที่มีความเป็นอิสระและน่าเชื่อถือ

ภายหลังการแถลงดังกล่าว ประชาชนและเครือข่ายหลายภาคส่วน มีความเห็นไปในทิศทางตรงข้าม โดยมองว่า “อากาศสะอาดเป็นเรื่องเร่งด่วน” “กกร. มีข้อกังวลที่เกิดจากการไม่เข้าใจในเนื้อหาของกฎหมาย ซึ่งหากอ่านร่างกฎหมายดี ๆ มั่นใจว่า กกร. จะไม่ออกแถลงการณ์” มีการตั้งคำถามว่า “เป็นการใช้ คนตัวเล็ก, SMEs หรือเกษตรกร เป็นโล่กำบัง เพื่อปกป้องทุนใหญ่หรือไม่” รวมถึงเน้นย้ำว่า “เศรษฐกิจยั่งยืนต้องเริ่มจากอากาศที่คนหายใจได้”

จับตาร่างกฎหมาย
ระวังถูกตัดทอน-ตีตก

ปัจจุบันร่างกฎหมาย อยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้น กมธ. ของวุฒิสภา แม้จะมีกระบวนการที่คล้ายคลึงกับชั้นสภาผู้แทนราษฎร แต่ รศ.คนึงนิจ มองว่า การพิจารณาชั้นวุฒิสภามีบรรยากาศที่แตกต่างจากชั้นสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจาก สส. มีความยึดโยงกับประชาชน ในการพิจารณากฎหมายจะต้องตอบคำถามประชาชนให้ได้ถึงการตัดสินใจลงความเห็น ขณะที่ สว. ไม่มีประชาชนที่จะเข้าไปตั้งคำถามต่อการพิจารณาหรือตัดสินใจ

การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด โดย กมธ.วิสามัญฯ วุฒิสภา (4 ธ.ค. 68)

ร่างกฎหมายดังกล่าวยังน่าเป็นห่วงว่าจะ ถูกเปลี่ยนแปลง – ตัดทอนเขี้ยวเล็บในบางประการ จากการสงวนคำแปรญัตติในชั้น กมธ. ซึ่งจะต้องมาโหวตในการประชุมวุฒิสภาอีกที เช่น

กองทุนอากาศสะอาด ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย และเพื่อให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อม

หรือ ประธานคณะกรรมการจังหวัด ที่มีการถกเถียงว่าจะเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ ผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งอาจส่งผลให้แนวคิดดั้งเดิมและใจความสำคัญของกฎหมายเปลี่ยนแปลงไป

นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลถึงการนิยาม กลุ่มเปราะบาง ที่อาจไม่รวมถึงแรงงานกลางแจ้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากฝุ่นพิษโดยตรงและมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งหากตัดออกจากกลุ่มเปราะบาง อาจทำให้สิทธิและสวัสดิการบางส่วนตกไป

อีกหนึ่งความกังวลใหญ่คือ กฎหมายดังกล่าวจะ ถูกตีตกไปจากเงื่อนไขการยุบสภา ของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล โดยภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด จาก 60 องค์กร ร่วมแถลงการณ์เรียกร้องให้วุฒิสภาเร่งพิจารณากฎหมาย ในวาระ 2 และ 3 ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด และอย่าปล่อยให้ร่างกฎหมายต้องตกไปเพราะการยุบสภา

ข้อมูลจาก iLaw ระบุว่า หาก อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ยุบสภาฯ เร็วขึ้น ในวันที่ 12 ธ.ค. 2568 ซึ่งเป็นวันเปิดสมัยประชุมสภาฯ และวันแรกที่ฝ่ายค้านสามารถยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ (จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะยุบสภาฯ ช่วงสิ้นเดือนมกราคม 2569) จะทำให้ร่างกฎหมายกว่า 106 ฉบับ อาจตกไปในทันที ซึ่งหนึ่งในนั้นรวมถึง ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ด้วย


เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Author

Alternative Text
AUTHOR

ธนธร จิรรุจิเรข

สงสัยว่าตัวเองอยากเป็นนักวิเคราะห์ data ที่เขียนได้นิดหน่อย หรือนักเขียนที่วิเคราะห์ data ได้นิดหน่อยกันแน่