ผู้คนมากกว่า 10 ล้านคน อาศัยและเดินทางมาใช้ชีวิต แสวงหาโอกาส หางานทำ ลงหลัก ปักฐานอยู่ใน กรุงเทพมหานคร เมืองใหญ่ที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความเจริญ แต่ภายใต้สโลแกน “ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว” ของเมืองนี้ กลับดูตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ที่ต้องเผชิญหน้ากับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง หรือที่เรียกว่า ภาวะโลกรวน อย่างรุนแรง ในพื้นที่เมืองหลวงแห่งนี้
The Active และ Thai PBS ติดตามสถานการณ์อุณหภูมิที่สูงขึ้นของเมืองและผลกระทบของความร้อนที่คนกรุงต้องเผชิญมาโดยตลอด ทั้งอุณหภูมิพื้นผิวที่บางพื้นที่แตะเกือบ 50 องศาเซลเซียส รถยนต์ติดยาวจนไอร้อนพุ่งขึ้นจากเครื่องยนต์ มีตัวเลขผู้ป่วยจากความร้อน หรือภัยธรรมชาติ ฝนหนักกระหน่ำ น้ำท่วมขัง รอการระบาย จนผู้คนต้องเสียเวลาอยู่บนถนนนานหลายชั่วโมง
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเมือง ๆ นี้ กำลังบอกอะไรกับเราหรือเปล่า ?
“คือโลกเรากำลังฉิบหายจริง ๆ ค่ะ ทั้งเรื่องของสิ่งแวดล้อม เราเห็นทั่วโลก เรื่อง Democracy กำลังล้มเหลว มันมี Wars เยอะมากค่ะ”
มารีญา พูนเลิศลาภ ให้สัมภาษณ์ในรายการ The Face Thailand ซีซัน 6
คำพูดของอดีตตัวแทนประเทศไทยในเวทีประกวดนางงามจักรวาล เมื่อปี 2017 สะท้อนให้เห็นความรู้สึกของคนจำนวนไม่น้อยที่มีต่อโลกใบนี้
ถ้าโลกเรากำลัง ฉิบหาย แล้วหน่วยระดับเล็กลงมาอย่างประเทศและเมือง จะไม่ได้รับผลกระทบได้อย่างไร ? โดยเฉพาะในมิติด้านสิ่งแวดล้อม ที่ล้วนส่งผลต่อทุกคนไม่ว่าเราจะนิยามเป็นพลเมืองประเทศหรือพลเมืองโลกก็ตาม
The Active ชวนมองต้นตอ ปัญหา ผลกระทบ และทางออกของ ความรวน ในเขตเมืองหลวง อย่าง กรุงเทพมหานคร กันว่าทุกวันนี้น่าเป็นห่วงขนาดไหน
โลกกำลัง ‘ฉิบหาย’ – กรุงเทพฯ กำลัง ‘ป่วย’ ?
ตึกสำนักงานใจกลางกรุง โครงการห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ คอนโดสูงเสียดฟ้า ย่านท่องเที่ยวสุดชิค รถรามากมายบนท้องถนน อาจเป็นสิ่งที่เห็นได้ชินตาในมหานครแห่งนี้
เมืองฟ้าอมรที่ไม่เคยหลับใหล หากหยุดดูสักหน่อยจะพบว่า เมืองของเราไม่เหมือนเดิม
ข้อมูลชี้ให้เห็นว่า กรุงเทพมหานคร กำลัง ผิดปกติ หรือ ป่วย มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยมี ภาวะโลกรวน (Climate Change) เป็นต้นตอสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสรรพสิ่งที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้
ร้อนแค่ไหน ? ถามใจเธอ (คนกรุง) ดู

ผลกระทบจากโลกรวน ทำให้เราอาจรู้สึกว่ากรุงเทพฯ ปีหลัง ๆ เริ่มร้อนขึ้น ซึ่งถ้าเรารู้สึกแบบนั้นก็ไม่แปลก เพราะกรุงเทพฯ ร้อนขึ้นจริง ๆ และไม่ใช่แค่กรุงเทพฯ แต่รวมถึงประเทศไทย รวมถึงโลกของเราก็ร้อนขึ้นด้วย
ข้อมูลจากเว็บไซต์ #ShowYourStripes ซึ่งจัดทำ Warming Stripes หรือ แถบสีแสดงอุณหภูมิที่เปลี่ยนไป ในรูปกราฟิกที่เรียบง่าย สีฟ้าแสดงถึงอุณหภูมิที่ลดลง และในทางตรงกันข้าม สีแดงแสดงถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้น โดยแถบสีหนึ่งเส้นแทนอุณหภูมิเฉลี่ยในปีนั้น ๆ ตลอดทั้งปี ซึ่งจากรูปจะเห็นได้ว่า แถบสีไม่ว่าของเมืองกรุงเทพฯ ประเทศไทย หรือโลก ล้วนมีแนวโน้มไปในทางสีแดงที่เข้มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น และสูงขึ้นอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาไม่กี่ปี
ในเชิงตัวเลข จาก งานวิจัยของ ผศ.ดารารัตน์ คำเชียงตา และ ศ.ชิบฮาการ์ ดาคาล พบว่า มหานครแห่งนี้ร้อนขึ้นจริง โดยในช่วง 25 ปี มานี้ (ปี 1991 – 2016) กรุงเทพฯ มีอุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น 5.26 องศาเซลเซียส และแน่นอนว่ามีแนวโน้มจะร้อนขึ้นอีกในอนาคต
อีกหนึ่งสาเหตุนอกจากโลกรวนที่ทำให้ กทม. ร้อนจนเกือบสุกเช่นนี้ คงมาจาก ความเป็นเมือง ที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์เกาะความร้อน (Urban Heat Island) โดยเฉพาะบริเวณใจกลางเมือง เช่น เขตปทุมวัน, บางรัก, ราชเทวี และพญาไท เนื่องจากมีอาคารคอนกรีตสูงกระจุกตัวหนาแน่น ซึ่งดูดซับและสะสมความร้อนได้ดี แต่กลับระบายความร้อนออกได้ช้า
ความเป็นเมืองนี้เอง ยังทำให้เมืองกรุงร้อนกว่าชนบท ไม่ว่าจะในฤดูไหน ๆ โดยเฉพาะในฤดูหนาว ซึ่งเมืองหลวงแห่งนี้มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่าชนบทถึง 2.8 องศาเซลเซียส ในขณะที่ฤดูมรสุม และฤดูร้อน มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่า 2.0 และ 1.1 องศาเซลเซียสตามลำดับ
ไม่ใช่แค่ร้อนขึ้น แต่ยังมีความป่วยไข้อื่นที่ส่งผลกระทบตามมา ก็คือ อาการรวน ภัยธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อคนและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ใน กทม. ทั้งแบบช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป และรุนแรงฉับพลัน
ภาวะโลกรวนส่งผลให้เกิด ฝนตกหนัก รวมถึงระเบิดฝน หรือ Rain Bomb ซึ่งคือฝนตกกระหน่ำในช่วงเวลาสั้น ๆ โดย TDRI คำนวณว่า ฝนที่ตก (10 มม./ชม.) ในช่วงเวลาเร่งด่วน (16:00 – 18:00 น.) สร้างความล่าช้าจากการเดินทางบริเวณ 16 แยกในเขตกรุงเทพฯ ได้กว่า 2,000 ชั่วโมงต่อวัน
ผลพวงจากธรรมชาติและการระบายน้ำในพื้นที่ ทำให้เกิด น้ำท่วม ฉับพลันตามมา ยกตัวอย่างเช่น ฝั่งธนบุรี มีขีดความสามารถในการระบายน้ำท่วมน้อยกว่าฝั่งพระนคร 2.71 เท่า (ที่ 749.02 และ 2,033.34 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ตามลำดับ)
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมมากที่สุด คือ โซนกรุงเทพใต้ (ได้แก่ เขตบางรัก, ปทุมวัน, ยานนาวา, พระโขนง, สาทร, บางคอแหลม, คลองเตย, สวนหลวง, วัฒนา และบางนา) ทั้งจำนวนครั้ง จำนวนจุด และระดับน้ำท่วม
ภาวะโลกรวนยังส่งผลให้ น้ำทะเลหนุนสูง กัดเซาะพื้นที่ติดทะเลโดยตรง อย่างเขตบางขุนเทียนก็ สูญเสียพื้นที่ไปกว่า 2,735 ไร่ ภายในระยะเวลาเกือบ 40 ปี (ปี 1975 – 2013)
‘ก๊าซเรือนกระจก’ ต้นตอที่มองไม่เห็น แต่ทุกคนผลิตอยู่ตลอดเวลา
ก๊าซเรือนกระจก น่าจะเป็นคำที่ทุกคนเคยได้ยินตั้งแต่สมัยเรียน ความเป็นจริงแล้วก๊าซเรือนกระจกประกอบจากก๊าซหลายชนิดรวมกัน โดยหลัก ๆ มาจาก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ถึงกว่า 70.27% รองลงมาคือ ก๊าซมีเทน (CH4) ที่ 23.07% และก๊าซอื่น ๆ ที่ 6.66%
โดยเฉลี่ยแล้ว คนไทยแต่ละคนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 4.10 tCO2 ต่อปี (ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี) หรือเฉลี่ย 11.23 kgCO2 ต่อวัน รวม ๆ แล้วในหนึ่งปีเราปล่อยก๊าซ CO2 นี้เฉลี่ยหนักประมาณช้าง 1 เชือก
ที่เราปล่อยก๊าซ CO2 กันขนาดนี้ เพราะกิจกรรมหลาย ๆ อย่างของมนุษย์ล้วนก่อให้เกิดก๊าซ CO2 ทั้งสิ้น ยกตัวอย่างจาก คำนวณ Carbon Footprint โดย กทม. เช่น
- ขับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน 10 กม./วัน ปล่อยก๊าซ CO2 1.5 ตัน/ปี
- บินเครื่องบิน (ไป-กลับ) ปล่อยก๊าซ CO2 0.5 – 6.87 ตัน/ปี ขึ้นอยู่กับว่าบินไกลแค่ไหน และอาจปล่อยมากกว่านี้หากเป็นเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว
- กินเนื้อวัว 2 มื้อ/สัปดาห์ ปล่อยก๊าซ CO2 1.0 ตัน/ปี
- ใช้ไฟฟ้า โดยค่าไฟ 500 บาท/เดือน ปล่อยก๊าซ CO2 1.15 ตัน/ปี
- ทิ้งขยะแบบวันเว้นวัน (ถังเล็กขนาด 18 x 20) ปล่อยก๊าซ CO2 0.5 ตัน/ปี
- รวมถึงการซื้อเสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่ ก็ล้วนแต่ปล่อยก๊าซ CO2 เช่นกัน
ในขณะที่ภาพใหญ่ ประเทศไทยของเราปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวม 385.94 ล้าน tCO2eq (ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) โดยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มาจาก 4 ภาคส่วน
- ส่วนใหญ่ 65.89% มาจากภาคพลังงาน (เช่น อุตสาหกรรมพลังงาน, ขนส่ง, อุตสาหกรรมการผลิตและก่อสร้าง)
- รองลงมาคือ 17.86% จากภาคเกษตร (เช่น การปลูกข้าว, การหมักในระบบย่อยอาหารสัตว์)
- ตามมาด้วย 10.50% จากภาคกระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ (เช่น อุตสาหกรรมอโลหะ, อุตสาหกรรมเคมี)
- ท้ายที่สุดที่ 5.75% จากภาคของเสีย (เช่น การบำบัดน้ำเสียและการระบายทิ้ง, การกำจัดขยะมูลฝอย)
เมืองป่วย กระทบผู้คน
ผลกระทบจากความป่วยไข้ของเมือง ส่งผลกระทบต่อคนเมืองในหลายมิติ แต่สามารถแบ่งย่อยเป็น 6 มิติ ซึ่งตามแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ หรือ National Adaptation Plan (NAP) ของ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กรมลดโลกร้อน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่
- การจัดการทรัพยากรน้ำ : น้ำท่วม น้ำแล้ง คุณภาพน้ำแย่ลง ส่งผลกระทบต่อรายได้่และคุณภาพชีวิต และอาจสร้างความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน โครงสร้างพื้นฐาน
- การเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร : ผลผลิตทางการเกษตรลดลง เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตและรายได้ที่น้อยลง ผู้บริโภคจ่ายราคาสินค้าแพงขึ้น และความมั่นคงทางอาหารลดลง
- การท่องเที่ยว : นักท่องเที่ยวลดลง รายได้จากภาคการท่องเที่ยวลดตาม แหล่งท่องเที่ยวเสื่อมโทรม กระทบต่อการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ-วัฒนธรรม และภาพลักษณ์ของประเทศ
- สาธารณสุข : คนป่วยมากขึ้น ภาคระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของประชาชน-รัฐเพิ่มสูงขึ้น คุณภาพชีวิตและผลิตภาพของแรงงานลดลง
- การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ : หากเกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติ จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อฟื้นฟูที่สูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณ
- การตั้งถิ่นฐานและความมั่นคงมนุษย์ : สูญเสียที่อยู่อาศัย ผู้คนต้องอพยพย้ายถิ่นฐานจากสภาพภูมิอากาศ
ป่วยได้ ก็หายได้ : เมื่อยารักษาเมือง คือการเปลี่ยนแปลง
หากมีคนเจ็บไข้ได้ป่วย มีหรือเราจะไม่หาทางรักษา เช่นเดียวกันกับเมืองของเราที่กำลังป่วยไข้ ที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมเพื่อลดผลกระทบของโลกรวนที่ส่งผลต่อกรุงเทพฯ ได้ ผ่านการดำเนินงานเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Action) ในหลาย ๆ กิจกรรม แต่สามารถแบ่งได้เป็น 3 มิติหลัก คือ
- การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) เช่น การแยกขยะ การซ่อมก่อนซื้อใหม่ หรือการลดการนั่งรถใช้น้ำมัน
- การสนับสนุนการปรับของสภาพภูมิอากาศ (Adaptation) เช่น การทำความเข้าใจทรัพยากรน้ำและภัยทางน้ำ การช่วยเหลือเพื่อบรรเทาภัยธรรมชาติ หรือการอยู่ร่วมกับความหลากหลายทางชีวภาพ
- การเสริมสร้างศักยภาพและขีดจำกัด (Capacity Development) เช่น การสนับสนุนงานวิจัยเพื่อโลก การสนับสนุนระบบการจัดการอาหารส่วนเกิน หรือการท่องเที่ยวกระจายรายได้สู่ชุมชน
สิ่งเหล่านี้เป็นการดำเนินการที่อาจเริ่มต้นได้ทันที อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เป็นเพียงการเริ่มต้นในระดับบุคคลเท่านั้น และคงเป็นไปได้ยาก หากผลักการแก้ไขปัญหาโลกรวนซึ่งมีที่มาที่ไปจากหลายภาคส่วน ถูกผลักให้คนในฐานะปัจเจกชนรับผิดชอบอยู่เพียงฝ่ายเดียว
หากมองให้กว้างขึ้นจะพบว่า พฤติกรรมของบุคคลที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก มีที่มาจากวัฒนธรรมการบริโภคสินค้า ที่มีการผลิตและการบริโภคสินค้าที่เกินความจำเป็น และก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกตลอดกระบวนการ ตั้งแต่การผลิต ขนส่ง ใช้งาน และทิ้ง ยกตัวอย่าง เช่น อุตสาหกรรม Fast Fashion
การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงเป็นเรื่องใหญ่ ที่ต้องอาศัยการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน เช่น ภาครัฐและภาคนโยบาย ผ่านการเรียกร้องรัฐบาล พรรคการเมือง สมาชิกสภาฯ ผู้แทนประชาชน ให้เห็นถึงความสำคัญเร่งด่วนในการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศมากขึ้น
รวมถึง ภาคเอกชน ผู้ผลิต ที่ต้องมีความรับผิดรับชอบต่อการกระทำ ซึ่งอาจผลักดันได้ด้วยประชาชน ผ่านนโยบายที่ควบคุมและกำกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทานทั้งการผลิตและการจำหน่าย
ภายใต้ความท้าทาย ยังมีความเป็นไปได้ใหม่ที่กำลังจะเกิดการดำเนินงานที่เป็นเรื่องเป็นราว ผ่านงาน Bangkok Climate Action Week 2025 ธีม ‘โลกร้อน เราลุก โลกลุก เราเปลี่ยน’
ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกของกรุงเทพมหานครและของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นความร่วมมือของกทม.และ Just Transition Incubator จัดกิจกรรมกว่า 230 งานทั่วพื้นที่กรุงเทพมหานครใน 1 สัปดาห์ เป็นการแสดงพลังและความหวังของการลงมือทำเพื่อสภาพภูมิอากาศที่หลากหลายและจากหน่วยงานภาคีมากมาย
อ้างอิง