การเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 1 ก.พ. นี้ ถือเป็นวันสำคัญในการชี้ชะตาความเป็นอยู่ของประชาชนไปตลอดระยะเวลา 4 ปีข้างหน้า โดยเครื่องหมายกากบาทที่ถูกกาลงไปในบัตรเลือกตั้งนั้น จะมีผลโดยตรงต่อการบริหารและการพัฒนาท้องถิ่นในทุกด้าน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เห็นจนชินตาจากการเลือกตั้งไม่ว่าครั้งไหน ๆ ยังคงเป็นเรื่องของการคอร์รัปชันที่ไม่เพียงแค่การซื้อสิทธิ์ขายเสียงก่อนการเลือกตั้ง แต่ยังต่อเนื่องไปจนถึงการทำงานตลอด 4 ปี เมื่อผู้ถูกเลือกเข้าสู่กลไกการพัฒนาท้องถิ่นในสนาม อบจ. จนทำให้การพัฒนาท้องถิ่นไม่ได้เป็นไปตามที่ประชาชนคาดหวัง และเป็นสิ่งที่กัดกร่อนความเชื่อมั่นต่อการบริหารงานท้องถิ่น
The Active ชวนฟังเสียงประชาชนเมื่อต้องพูดถึง “การเลือกตั้ง อบจ.” ผ่านประสบการณ์และความชินตาบนโลกออนไลน์จากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ตั้งแต่เดือน พ.ย. 67 และผลจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการเลือกตั้งนายก อบจ. ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ตั้งแต่วันที่ 1-11 ต.ค. 67
“ผู้มีอิทธิพล”
“ซื้อตำแหน่ง”
“ตระกูลเดิม”
“ข้าราชการถือหาง”
“พรรคการเมืองหนุนหลัง”
“รอถอนทุนคืน”
ทั้งหมดนี้คือความรู้สึกของประชาชนเมื่อเห็นรายชื่อบนบอร์ดประกาศผู้สมัครรับการเลือกตั้งนายก อบจ. ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องชินตาของประชาชน เมื่อผู้สมัครฯ หลายคนเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ด้วยการใช้เงินเพื่อซื้ออำนาจ รวมไปถึงการหนุนหลังของพรรคการเมือง และการอยู่ในตระกูลใหญ่ โดยทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนให้ผู้มีอิทธิพลเหล่านั้นได้เข้ามาเป็นผู้บริหารงานท้องถิ่น และเป็นจุดเริ่มต้นของการคอร์รัปชันที่จะส่งผลต่อไปยังการโกงกินงบประมาณเพื่อถอนทุนคืนสำหรับเงินที่เสียไปจากการซื้อตำแหน่งเข้ามา ซึ่งทุก ๆ วาระที่ผลัดเปลี่ยนไปก็มักจะวนอยู่กับวงจรเช่นนี้อย่างไม่รู้จบ
องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) จึงกลายเป็นแหล่งธุรกิจการเมืองในสายตาประชาชนจนมองว่า อบจ. ไม่ได้เป็นกลไกในการพัฒนาท้องถิ่น และไม่ได้มองว่า อบจ. จะช่วยให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีได้ ซ้ำร้ายยังเป็นตัวการที่พรากความเจริญไปจากประชาชน ด้วยงบประมาณจำนวนมหาศาลที่ถูกผลาญไปกับนักการเมือง จนเกิดคำถามถึงความจำเป็นของการมีอยู่ของ อบจ. สำหรับประชาชน
“ยุบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเลย ทำไมไม่ถ่ายโอนอำนาจ งบฯ ไปส่วนอื่น ๆ ที่เข้าถึงความเดือดร้อนประชาชนมากกว่า และที่สำคัญลดงบประมาณการเลือกตั้ง อบจ. ได้ มากมายอีก”
นับเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่อาจแก้ไขได้ด้วยประชาชนเพียงหยิบมือเดียว เพราะอิทธิพลและอำนาจได้ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน จนเรียกได้ว่าประชาชนหลายคนเริ่ม “เคยชิน” กับวงจรคอร์รัปชัน และไม่เห็นความสำคัญของการเลือกตั้ง อบจ. อีกต่อไปแล้ว
“คนเดิม ๆ”
“โกงจนเบื่อ”
“ไม่เลือกตั้งแล้ว”
หรือนี่.. คือเสียงสะท้อนให้เห็นว่าความเคยชินของประชาชนที่รับรู้ว่ามีการคอร์รัปชันมาหลายต่อหลายสมัย กลับกลายมาเป็นความเบื่อหน่ายที่ทำให้การโกงกินอาจเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับได้หรือไม่? เพราะขณะนี้เริ่มมีความรู้สึกไม่อยากไปเลือกตั้งและตั้งใจไม่ประสงค์ลงคะแนน เพราะไม่เห็นถึงความสำคัญของการเลือกตั้ง รวมถึงมีความรู้สึกว่าเลือกแล้วก็ไม่ได้อะไร
เช่นเดียวกับ ผลจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการเลือกตั้งนายก อบจ. ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่ามีประชาชนถึง 95.4% รับรู้ว่าประเทศไทยมีการทุจริตงบประมาณท้องถิ่นเป็นมูลค่ามหาศาล ทั้งยังรับรู้ว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีการซื้อเสียงถึง 68% แต่พร้อมที่จะเลือกผู้สมัครฯที่เคยมีประวัติการทุจริตถึง 41% รวมถึงยังเลือกผู้สมัครที่ไม่มีนโยบายต่อต้านการคอร์รัปชัน 85% มากไปกว่านั้นมีประชาชนที่รับได้กับการทุจริตแต่ต้องแลกผลงานและการทำประโยชน์กับการทุจริตถึง 40.4% และเลือกที่จะเลือกผู้สมัครฯที่ให้เงินจำนวน 2,784 บาท เข้ามาบริหาร
ผลสำรวจดังกล่าว เป็นที่น่าเป็นห่วงหรือไม่? หากประชาชนเคยชินกับการคอร์รัปชันจนปล่อยให้ผู้มีอิทธิพลสามารถโกงกินได้โดยไม่ถูกจับตา อาจเป็นเหมือนปุ๋ยที่เสริมให้รากร้ายที่ฝังความเจริญไว้ให้แข็งแรงขึ้นจนไม่สามารถทลายการโกงกินออกไปจากสังคมไทยได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้การคอร์รัปชันเกิดขึ้นมานานในสนามการเลือกตั้ง อบจ. ไม่ใช่เพียงเพราะผู้มีอิทธิพลสมัครเป็นแคนดิเดต หรือประชาชนเคยชินจนไม่เห็นความสำคัญของการเลือกคนเข้ามาทำงานในระดับท้องถิ่น หากแต่การตรวจสอบการซื้อสิทธิ์ หรือการทำให้การเลือกตั้ง “สุจริต โปร่งใส และเที่ยงธรรม” ตามคำขวัญของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วย(หรือไม่?) ให้การคอร์รัปชันเป็นไปได้ยากมากขึ้น
“สืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัย คือ การสืบสวนหรือไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาด สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ นับคะแนนใหม่ รวมทั้งการสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ผู้สมัครและสมาชิกสภา ที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง”
แต่ไม่ใช่สำหรับประชาชนบางส่วนที่มองว่า กกต. ทำหน้าที่ตามประกาศไว้ได้อย่างดีพอ จนเกิดคำถามและการเสียดสีอยู่บ่อยครั้งว่า “กกต.มีไว้ทำไม” เพราะหลายเหตุการณ์ กกต. ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าหน่วยงานที่ต้องสืบสวน ไต่สวน และวินิจฉัย พิรุธที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้ง นิ่งเฉยกับการร้องเรียนของประชาชนเรื่องความเหมาะสมของผู้สมัครฯ หรือการทุจริตในการเลือกตั้ง จึงทำให้ กกต. ขาดความน่าเชื่อถือและไม่ช่วยอะไรเลยเมื่อมีการคอร์รัปชันขึ้นมาในการเลือกตั้ง
ทั้งหมดนี้ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า การคอร์รัปชันเป็น “ความจริง” ของการเมืองที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งผู้สมัครที่มีอำนาจและเงินทุนจนสามารถครองพื้นที่ทางการเมืองได้ และทางเลือกที่ไม่มากนักสำหรับประชนชน แม้ว่าจะมีข้อครหาเรื่องการทุจริตและไม่พอใจกับการกระทำดังกล่าว แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธอิทธิพลของอำนาจและเงินที่แทรกซึมอยู่ในระบบ เพราะระบบการเมืองและการเลือกตั้งในท้องถิ่นไม่ได้เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างโปร่งใสมากพอ การเลือกผู้สมัครที่มีทรัพยากรเพียงพอจึงกลายเป็น “ทางเลือกที่ดีที่สุด” ในสถานการณ์ที่ไม่สมบูรณ์นี้
ต้องทำยังไง?
เมื่อกลับใจคนโกงไม่ได้
จากที่กล่าวไปข้างต้นว่า ประชาชนเพียงหยิบมือเดียวไม่อาจสามารถแก้ปัญหาใหญ่ระดับชาติได้ และผลสำรวจบางส่วนยังเป็นที่น่าเป็นห่วงว่าประชาชนเริ่มยอมรับกับการทุจริต แต่ยังมีประชาชนบางส่วนอยากมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในระดับท้องถิ่นถึง 93.6% แม้จะมีการรับเงินจากผู้สมัครฯ ก็ตาม แต่ส่วนใหญ่จะรับเงินแต่ไม่เลือกผู้สมัครฯคนนั้น และยังมีความเชื่อมั่นในระบบการเลือกตั้งท้องถิ่นปัจจุบันว่าจะได้คนดี มีความสามารถในระดับปานกลางถึง 66.3%
ประกอบกับความเห็นที่สะท้อนออกมาผ่าน Social Media ขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ทำให้เห็นว่าเพียงแค่จำนวนหยิบเดียวที่ส่งเสียงของตัวเองออกมาและมองเห็นปัญหาเหล่านี้ และต้องการการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปในระบบการเมือง เป็นเหมือนความหวังเล็ก ๆ ที่เราอาจเห็นสังคมไทยไปถึงระบบการเมืองที่โปร่งใสและยุติธรรมได้ โดยมีข้อเสนอจากประชาชน ดังนี้
ป้องกันไว้ก่อน
- จำกัดสิทธิ์ทางการเมือง โดยจำกัดไม่เกิน 2 วาระ โดยนับกรณีลาออกด้วย และวาระละ 4 ปี เมื่อครบวาระต้องเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต เพื่อป้องกันการสร้างอิทธิพลในพื้นที่
- กกต. ต้องคัดผู้สมัครฯ อย่างละเอียดและทำงานเชิงรุก ตั้งแต่คณะกรรมการพิจารณาคัดสรร ไปจนถึงเกณฑ์การรับสมัครที่จะต้องมีมาตรฐานสูง
- กระบวนการ Confirmation Hearing เช่นเดียวกับต่างประเทศ โดยวางโครงสร้างและกระบวนการที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกกฎหมาย การกำหนวดตำแหน่งที่ต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ การออกแบบกระบวนการ การใช้เทคโนโลยี การพัฒนาบุคลากร และการสร้างวัฒนธรรมธรรมาภิบาล ซึ่งเสนอให้ทดลองกับตำแหน่งสำคัญก่อน โดยกระบวนการนี้จะช่วยให้ลดการแทรกแซงทางการเมือง และสร้างความไว้วางใจจากประชาชนต่อระบบการบริหารรัฐ
ถ้าป้องกันไม่ได้
- ปฏิวัติกฎหมายโดยให้มีการลงโทษอย่างหนัก และให้เป็นคดีร้ายแรง
- ให้สังคมลงโทษแทน โดยทำให้เรื่องการทุจริตเป็นเรื่องที่รับไม่ได้สำหรับสังคมไทย
ท้ายที่สุด จะเห็นว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยรู้สึกผิดหวังและหมดหวังต่อกระบวนการที่ดูเหมือนจะเอื้อให้ผู้สมัครที่มีอำนาจและเงินทุนครองตำแหน่งได้ แม้จะมีข้อครหาเรื่องความโปร่งใส และจำนนต่อสถานการณ์จนทำให้หลายคนเลือกสนับสนุนผู้สมัครที่มีทรัพยากรมากที่สุด ในบริบทที่มีข้อจำกัด อย่างไรก็ตาม เสียงเรียกร้องถึงการปฏิรูปยังคงปรากฏชัด ซึ่งประชาชนหลายกลุ่มต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ช่วยให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างโปร่งใส มีการแข่งขันที่ยุติธรรม และลดบทบาทของอำนาจและเงินในกระบวนการทางการเมืองในอนาคต