ในปัจจุบันโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งเกิดความไม่แน่นอนและซับซ้อนมากขึ้น เช่น การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตทั่วโลก ใสนขณะที่ ระบบการศึกษาไทย ยังใช้หลักสูตรเดิมมาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งเน้นการวัดผลตามตัวชี้วัดจำนวนมาก เน้นความรู้เชิงท่องจำมากกว่าการนำไปใช้จริง ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาในระดับชาติและนานาชาติยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ไม่ทันการณ์
กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้พัฒนาหลักสูตรใหม่ เน้นการพัฒนาความสามารถของผู้เรียนให้เหมาะสมตามช่วงวัย ตั้งแต่ระดับปฐมวัยไปจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยปี 2568 จะเริ่มนำร่องเฉพาะเด็กอนุบาล จนถึงประถมศึกษาปีที่ 3 เพราะยังเป็นช่วงชั้นที่เรียนกันแบบบูรณาการได้ ตอนนี้เริ่มใช้แล้วใน 4,398 โรงเรียน (หรือเกือบ 15% ของโรงเรียน) ทั่วประเทศ ก่อนที่จะใช้จริงทุกโรงเรียนในปี 2569

The Active ชวนทำความเข้าใจ หลักสูตรใหม่ เด็กไทยกำลังเรียนอะไรอยู่ ? การศึกษากำลังคาดหวังเด็กไทยทำอะไรได้บ้าง ? และการปรับหลักสูตรเพียงอย่างเดียวเพียงพอต่อการพัฒนาให้เด็กไทยพร้อมเผชิญหน้ากับโลกอนาคตได้หรือไม่ ?
แล้วลองประเมินตัวเองดูว่า ถ้าหากต้องกลับไปนั่งเรียนในชั้น ป.3 ในหลักสูตรใหม่นี้จะผ่านหรือไม่ ? พร้อมวิเคราะห์เจตนาของหลักสูตรใหม่ไปกับ เฉลิมลาภ ทองอาจ นักการเรียนรู้และครูวิชาภาษาไทย โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยมฯ
ยกเลิก 8 กลุ่มสาระวิชา
เน้นความสามารถพื้นฐาน – การประยุกต์ใช้
หลักสูตรใหม่ วิชาเนื้อหาก็ใหม่ สำหรับในระดับประถมศึกษาตอนต้น (ป.1-3) จะยกเลิกการเรียนตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่ม โดยออกแบบใหม่ เน้นการพัฒนาความสามารถและทักษะ ดังนี้
1. ความรู้พื้นฐานสำหรับพัฒนาทักษะพื้นฐาน (Basic Literacy)
- การอ่าน (Reading Literacy): ความรู้และความเข้าใจหลักภาษาไทยและอังกฤษ เพื่ออ่านคำ ข้อความ เรื่องราว หรือเนื้อหาต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง
- การเขียน (Writing Literacy): ความเข้าใจหลักภาษาไทยและอังกฤษ เพื่อเขียนสะกดคำ วางประโยค และสื่อความหมายได้ถูกต้อง
- คณิตศาสตร์ (Numeracy): ความเข้าใจตัวเลขและแนวคิดพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ เช่น จำนวน การวัด รูปร่างเรขาคณิต พีชคณิตเบื้องต้น สถิติ และความน่าจะเป็น
2. ความรู้พื้นฐานสำหรับการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน (Functional Literacy)
- วิทยาศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี: เข้าใจปรากฏการณ์ธรรมชาติ กฎทางวิทยาศาสตร์ การดูแลสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน
- สังคมและความเป็นพลเมือง: เข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนในชุมชนและสังคม รวมถึงสิทธิและหน้าที่ของตนเองและผู้อื่น
- เศรษฐกิจและการเงิน: เรียนรู้การวางแผนการเงิน การออม การใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล การบริหารรายได้ส่วนตัวและครอบครัว รวมถึงการเตรียมตัวด้านการเงินในอนาคต
- สุขภาพและร่างกาย: เข้าใจการดูแลสุขภาพ การป้องกันโรค การออกกำลังกาย การพักผ่อนที่เหมาะสม และการรักษาความสะอาดส่วนบุคคล
- อารมณ์และความรู้สึก: เรียนรู้การเข้าใจและจัดการอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในสังคม

ครูเฉลิมลาภ ชี้ว่า หลักสูตรใหม่มีหลายเรื่องที่น่ากังวล โดยเฉพาะการประเมินผล ซึ่งใช้เกณฑ์ Rubrics เป็นเครื่องมือหลักในการวัดผล สมรรถนะอย่างเช่น การคิดวิเคราะห์ หรือ การประยุกต์ใช้ความรู้ในชีวิตจริง เป็นเรื่องซับซ้อน ต้องดูทั้งกระบวนการคิด วิธีสื่อสาร ผลงาน ความร่วมมือกับเพื่อน ฯลฯ การประเมินจึงต้องสังเกตพฤติกรรมอย่างรอบด้าน ซึ่งในทางปฏิบัติ ครูแต่ละคนอาจตีความเกณฑ์ต่างกันไป ทำให้ผลประเมินไม่คงที่ และอาจเกิดความลำเอียงโดยไม่รู้ตัว
การประเมินลักษณะนี้อาศัยแรงของครูอย่างมาก แต่ทุกวันนี้ครูในไทยยังต้องรับผิดชอบภาระงานจำนวนมาก จนยากที่จะมีเวลาสังเกตและให้ข้อเสนอแนะรายบุคคลอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในห้องเรียนที่มีนักเรียนจำนวนมาก จึงยิ่งยากที่จะประเมินสมรรถนะของเด็กทุกคนอย่างละเอียดและต่อเนื่อง
ขณะที่ตัวอย่างเกณฑ์ Rubrics จากส่วนกลาง ก็มีเพียงกรอบกว้าง ๆ ทำให้แต่ละโรงเรียนอาจตีความไม่เหมือนกัน ส่งผลให้การประเมินขาดมาตรฐานเดียวกัน และเสี่ยงต่อความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียน
เมื่อลงรายละเอียดที่เนื้อหา แม้หลักสูตรใหม่จะยกเลิกโครงสร้าง 8 กลุ่มสาระเดิม แต่ชุดองค์ความรู้ยังคงมีครบ เพียงแต่ไม่ได้ระบุโดยละเอียด เปิดโอกาสให้ครูออกแบบเนื้อหาเองภายใต้กรอบกว้าง ๆ ซึ่งอาจทำให้บางหัวข้อสำคัญถูกมองข้ามไป โดยเฉพาะเรื่องที่ควรเน้นอย่าง การรักการอ่าน-เขียน กลับไม่มีปรากฏในหลักสูตร ทั้งที่ควรปลูกฝังให้เด็กรู้สึกสนุกและมีความสุขกับการอ่านและเขียนตั้งแต่ช่วงประถมต้น
ครูเฉลิมลาภ ยังตั้งคำถามกับเกณฑ์ประเมินในบางด้าน เช่น ความสามารถด้านสุขภาพ ที่ควรเห็นผลในพฤติกรรมจริงของเด็ก เช่น รักการออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่ดี หรือสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ แต่กลับไปเน้นให้เด็กอ่านบทความสุขภาพ และเขียนบทวิเคราะห์แทน ทั้งที่ควรฝึกปฏิบัติกันจริง ๆ มากกว่าเน้นการอ่าน-เขียนเพียงอย่างเดียว
ขณะเดียวกัน ในด้านศิลปะที่ควรได้ลงมือทำจริง ๆ เช่น ร้อง เล่น เต้น วาด หรือเขียนนิทาน แต่กลับไปเน้นให้อ่านบทความและเขียนวิเคราะห์ศิลปะแทน ซึ่งสวนทางกับพัฒนาการเด็กในวัยนี้
พร้อมทั้งยกตัวอย่างเกณฑ์บางข้อของหลักสูตรใหม่ดูจะตั้งความคาดหวังกับเด็ก ป.3 สูงเกินจริง เช่น หวังให้เด็กเขียนบทวิเคราะห์การลงทุน ทั้งที่วัยนี้บางคนเพิ่งหัดเขียนประโยคพื้นฐานได้
“ถ้ายึดหลักสูตรนี้อย่างจริงจัง
เฉลิมลาภ ทองอาจ
เด็กประถมอาจต้องตั้งบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์กันตั้งแต่ยังเล็ก”
ไม่มีระบบเกรด ไม่มีติดศูนย์
ให้คะแนนเป็นระดับ เริ่มต้น – พัฒนา – ชำนาญ – ขั้นสูง
ที่ผ่านมา หลักสูตรประถมต้น (ตามหลักสูตรแกนกลางฯ ปี 2551 แก้ไขเพิ่มปี 2560) เด็กต้องเรียน 8 กลุ่มสาระวิชา เน้นเนื้อหาวิชาการค่อนข้างหนักตามที่กระทรวงกำหนดกว่า 840 ชั่วโมงต่อปี บวกกับกิจกรรมของโรงเรียนอีก 40 ชั่วโมง และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เช่น แนะแนว ลูกเสือ อีก 120 ชั่วโมง รวมแล้วเด็กไทยเรียนอย่างน้อย 1,000 ชั่วโมงต่อปี โดยเด็กประถมศึกษาตอนต้นต้องเรียนรู้ตามตัวชี้วัดมากถึง 771 ตัวชี้วัด (ซึ่งลดลงจากเดิม 2,000 ตัวชี้วัด)

ในหลักสูตรใหม่ มีการปรับลดชั่วโมงเรียนเหลือประมาณ 800 ชั่วโมงต่อปี โดยชั้น ป.1 จะเน้นปูพื้นฐานด้านการอ่าน เขียน และคำนวณ ส่วนชั้น ป.3 จะเริ่มเน้นการประยุกต์ใช้ความรู้มากขึ้น ด้านการประเมินผลมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ จากเดิมที่ใช้เกรดตัวเลข เปลี่ยนเป็นการประเมินตามระดับพฤติกรรม ได้แก่ เริ่มต้น – พัฒนา – ชำนาญ – ขั้นสูง
ยกตัวอย่าง ในวิชาการอ่าน ถ้าผู้เรียนสามารถอ่านประโยคสั้น ๆ ได้บางส่วน โดยมีความเข้าใจความหมายของคําและประโยคง่าย ๆ ที่ใช้ในชีวิตประจําวัน จะได้รับการประเมินที่ระดับ เริ่มต้น หากสามารถอ่านได้ซับซ้อน วิเคราะห์ และใช้วิจารณญาณ ก็จะได้รับการประเมินที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ วิธีการนี้จะคล้ายกับแนวทางการประเมินของ PISA
สุดท้าย นักเรียนจะจบ ป.3 ได้ต่อเมื่อวิชาพื้นฐานต้องอยู่ในระดับ ชำนาญ ขึ้นไป และในวิชาประยุกต์ต้องถึงระดับ พัฒนา ขึ้นไป ทั้งนี้ โรงเรียนจะติดตามพัฒนาการของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง หากพบว่ายังไม่ถึงเกณฑ์ก็ต้องจัดชั้นเรียนเสริม เพื่อช่วยให้นักเรียนมีทักษะที่พร้อมสำหรับการเรียนในระดับถัดไป
“ถ้าเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ มันจะยากสำหรับพวกเขามากสำหรับการเรียนในชั้นปีที่สูงขึ้น ซึ่งอาศัยทักษะการอ่านและเขียนอย่างมาก”
เฉลิมลาภ ทองอาจ
หลักสูตรใหม่ ในค่านิยมเดิม
ครูเฉลิมลาภ ยังตั้งข้อสังเกตต่อหลักสูตรปัจจุบัน ที่แม้จะมีแนวทางส่งเสริมให้ใช้วิธีการประเมินที่หลากหลาย เช่น การประเมินระหว่างเรียน การสังเกตพฤติกรรม แต่ในความเป็นจริง โดยเฉพาะในโรงเรียนเมืองที่มีนักเรียนมากถึง 50 คนต่อห้อง และเวลาสอนจำกัดเพียงชั่วโมงละช่วง ทำให้การประเมินเชิงสมรรถนะอย่างแท้จริงทำได้ยาก
หัวใจสำคัญของการประเมินสมรรถนะ คือ ต้องให้นักเรียนได้ลงมือทำงานจริง มีโอกาสสะท้อนกระบวนการคิดของตัวเอง เช่น การทำโครงงานเล็ก ๆ หรือเขียนผลงานสักชิ้น ซึ่งครูต้องมีเวลาเพียงพอในการพูดคุย ซักถาม ให้คำแนะนำ และสะท้อนกลับ (Feedback & Reflection) เพื่อตรวจสอบทั้งผลลัพธ์และกระบวนการคิดของนักเรียน ไม่ใช่เพียงการอ่านเนื้อหาแล้วส่งงานแบบเดิม ซึ่งระบบนี้จะทำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในห้องเรียนที่มีนักเรียนน้อย เช่น 20 คนต่อห้อง
นอกจากนี้ กระบวนการประเมินสมรรถนะจึงควรมีผู้ประเมินหลายฝ่ายร่วมด้วย ทั้งครูผู้สอนหลายคน เพื่อนนักเรียน หรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องในกิจกรรม ขณะเดียวกัน ครูเองก็ต้องมีทักษะในการออกแบบสถานการณ์และเครื่องมือประเมินให้เหมาะสม หากครูขาดประสบการณ์ อาจกลับไปใช้วิธีเดิมคือออกข้อสอบหรือแบบประเมินเดี่ยว แล้วนำคะแนนมาเทียบกับเกณฑ์ Rubric ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ตอบโจทย์หัวใจของการประเมินสมรรถนะ
“ตราบใดที่สังคมยังให้คุณค่ากับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย มากกว่าสอนให้เด็กเรียนรู้
เฉลิมลาภ ทองอาจ
…หลักสูตรจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ไม่สำคัญ
เพราะการออกไปติวพิเศษข้างนอก ก็สำคัญกว่าอยู่ดีในมุมผู้ปกครอง”
อีกประเด็นสำคัญที่น่ากังวล คือ ค่านิยมเดิมของสังคมไทยที่ยังผูกติดกับการเรียนเพื่อการสอบแข่งขัน หลายคนจึงมองว่าหลักสูตรใหม่ที่เน้นกิจกรรมอาจไม่ตอบโจทย์การเตรียมตัวสอบ จึงเกิดความท้าทายในการออกแบบวิธีการวัดและประเมินสมรรถนะให้สามารถวัดผลได้จริงในสภาพความเป็นจริงของโรงเรียนแต่ละแห่ง

สังคมไทยยังยึดติดกับค่านิยมการเรียนเพื่อสอบแข่งขันเข้าสถาบันอุดมศึกษา ผู้ปกครองจำนวนมากไม่สนใจว่าลูกเรียนรู้อะไรในห้องเรียน แต่ให้ความสำคัญกับผลสอบและสถาบันที่ลูกจะเข้าเรียนต่อ เป็นผลให้ระบบกวดวิชายังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การเรียนรู้ที่มีความหมายต่อชีวิต เช่น การเรียนรู้ตลอดชีวิต การค้นพบความถนัดตนเอง หรือการเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมในสังคม กลับถูกให้ความสำคัญน้อยมาก
ปัญหาเหล่านี้ มากจากการที่ระบบการศึกษายังขาดความเชื่อมโยงระหว่างแต่ละช่วงชั้น ตั้งแต่ปฐมวัย ประถม มัธยม อาชีวะ อุดมศึกษา ไปจนถึงการศึกษานอกระบบและการศึกษาตลอดชีวิต หน่วยงานต่าง ๆ ยังทำงานแยกส่วนของตนเอง ขาดแนวทางร่วมในการออกแบบระบบการศึกษาทั้งระบบ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว การศึกษาแต่ละช่วงควรเป็นเส้นทางที่เชื่อมโยงกันได้อย่างยืดหยุ่น เพื่อให้ผู้เรียนสามารถปรับเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของตนเองได้ตลอดเวลา
ปัจจุบันเริ่มมีแนวคิดใหม่อย่างระบบ เครดิตแบงก์ หรือการสะสมหน่วยกิตจากหลากหลายช่องทางการเรียนรู้ ทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย เพื่อนำมาเทียบโอนและรับวุฒิการศึกษา ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ยังจำเป็นต้องมีการพูดคุยและออกแบบระบบร่วมกันมากกว่านี้ เพื่อให้สังคมไทยมองว่าความสำเร็จทางการศึกษามีความหลากหลาย ไม่จำกัดอยู่แค่การเรียนในระบบปกติหรือสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพียงอย่างเดียว