จากวันเสียงปืนแตกที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี 28 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์ตึงเครียดพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พัฒนากลายเป็นเหตุปะทะ เรื่อยมาตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม จนมาถึงเที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม ทันทีที่ข้อตกลงหยุดยิงเริ่มทำงาน เหตุการณ์ต่าง ๆ จึงค่อย ๆ ลดระดับลง
สังคมไทยในช่วงเวลานั้น อบอวลไปด้วยกระแสชาตินิยม ความรักชาติ ผู้คนในโลกโซเซียลแสดงออกถึงคำขอบคุณ ให้กำลังใจ นักรบแนวหน้า พร้อมแสดงความอาลัย และเชิดชูเกียรติเหล่าทหารกล้า ที่เสียสละชีวิตปกป้องอธิปไตยของประเทศ
สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ คงไม่เกินจริงกับกรณีนี้ ส่งผลให้บทบาทของทหารเด่นชัดขึ้น และถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในเชิงบวก คนหนึ่งที่สปอร์ตไลท์ส่องมากที่สุด หนีไม่พ้น พล.ท. บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้บังคับบัญชาภารกิจตรงแนวหน้าชายแดน ภายใต้บุคลิกที่เงียบขรึม พูดน้อย แต่เอาจริงเอาจังกับบทบาทหน้าที่ของตัวเอง

เมื่อเสียงปืน เหตุปะทะ เริ่มคลี่คลาย ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาสังคมจึงได้เห็นภาพของ พล.ท. บุญสิน เดินสายปรากฎตัวหลายพื้นที่ โดยเฉพาะสถานศึกษาทั้งโรงเรียน และมหาวิทยาลัย ตลอดเกือบ 4 เดือนมานี้ แม่ทัพภาคที่ 2 ออกเดินสายบรรยายในหลายโอกาส ทั้งในพื้นที่ภาคอีสาน กรุงเทพฯ ล่าสุดที่ลงไปถึงจังหวัดชายแดนใต้
“จะไม่มีการรัฐประหารแน่นอน” เป็นคำยืนยันอีกครั้งจากปาก พล.ท. บุญสิน บนเวทีบรรยายที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อไม่นานมานี้ พร้อมชี้ว่าการเดินสายบอกเล่าเรื่องราวการทำงานที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อโน้มน้าวใจใคร แต่เพื่อให้ข้อมูลข้อเท็จจริงกับสังคม
ในช่วงเวลาก่อนสิ้นสุดชีวิตราชการ สิ้นเดือนกันยายนนี้ The Active ชวนย้อนดูโค้งสุดท้ายของเส้นทางการเดินสายไปยังที่ต่าง ๆ ของแม่ทัพภาคที่ 2 พร้อมวิเคราะห์บทบาทของทหารในพื้นที่สถานศึกษา ผ่านมุมมองของ ผศ.ศิวพล ชมภูพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

กางไทม์ไลน์ ‘แม่ทัพภาคที่ 2’ ออนทัวร์
- 28 พ.ค. 2568 – วันเสียงปืนแตก
เกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชาบริเวณสามเหลี่ยมมรกต หลังทหารกัมพูชาเคลื่อนกำลังพลเข้ามาในเขตแดนไทยและถูกทหารไทยเข้าตรวจสอบ ทำให้เกิดการยิงตอบโต้ เป็นจุดเริ่มต้นของกรณีพิพาทชายแดนที่ยกระดับความรุนแรงขึ้น - 14 มิ.ย. 2568 – นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) ปี 5
บรรยายครั้งแรกหลังเหตุปะทะช่องบก ย้ำไม่ยอมขึ้นศาลโลก ประกาศ “แผ่นดินกู อยู่ตรงนี้มานานแล้ว ถ้าจะเอาก็ดวลกัน ก็จบ ไม่เห็นจะยากอะไร” - 1 ก.ค. 2568 – รร.บ้านดุงวิทยา จ.อุดรธานี
กลับไปยังโรงเรียนเก่า มอบสิ่งของและกำลังใจแก่ครู นักเรียน และทหารชายแดน
- 17 ก.ค. 2568 – รร.ราชสีมาวิทยาลัย จ.นครราชสีมา
บรรยายในหัวข้อ “สร้างคนดีด้วยประวัติศาสตร์ สร้างชาติด้วยอุดมการณ์”
- 14 ส.ค. 2568 – รร.สาธิต ม.เกษตรศาสตร์
บรรยายในหัวข้อ “เรื่องเล่าจากแนวหน้า” ถ่ายทอดเหตุปะทะชายแดน พร้อมอธิบายกลยุทธ์สงครามลูกผสมที่ศัตรูใช้ทั้งการทหารและการสื่อสาร สร้างความสับสนในสังคมไทย พร้อมชวนเยาวชนรวมใจปกป้องธงชาติสามสี
การบรรยายนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “สาธิตเกษตรรวมใจสู่แนวหน้า ปลูกต้นกล้าแทนคุณแผ่นดิน” ของโรงเรียน จัดขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้เรื่องหน้าที่และความเป็นพลเมืองไทยตื่นรู้ที่มีสำนึกรักชาติ เพื่อนำมาสู่การปฏิบัติจริงในฐานะแนวหลังที่มีส่วนในการสนับสนุนกองทัพจากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
- 23 ส.ค. 2568 – ศาลเยาวชนและครอบครัว จ.นครราชสีมา
สร้างแรงจูงใจและปลุกจิตสำนึกรักชาติ ให้กับเยาวชนในกระบวนการยุติธรรมของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครราชสีมา และทหารกองประจำการ ของหน่วยในพื้นที่ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ รวมกว่า 200 คน
- 25 ส.ค. 2568 – ม.เกษตรศาสตร์ บางเขน
เสวนา “เรื่องจริงจากชายแดน” ตอบคำถาม “มีทหารไว้ทำไม” มุ่งอธิบายบทบาทกองทัพและเหตุผลว่าทำไมประเทศจำเป็นต้องมีทหาร รวมถึงการสร้างความเข้าใจต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
ในวันเดียวกัน เพจกลุ่มเสรีเกษตรศาสตร์ ได้เคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ โดยติดโปสเตอร์รูปการ์ตูน “กุ้ง” สวมชุดทหาร พร้อมข้อความ “ลูกน้องเจ็บตายคาชายแดน แม่ทัพโชว์แมนหาแสงส่อง” บริเวณทางเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อแสดงจุดยืนวิจารณ์การบรรยายดังกล่าว กลุ่มยังระบุว่าสถาบันการศึกษาเป็นพื้นที่ที่สร้างขึ้นจากภาษีประชาชน และย้ำว่าไม่สนับสนุนการรัฐประหาร

- 29 ส.ค. 2568 – มทร.อีสาน สุรินทร์
- 2 ก.ย. 2568 – ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
เสวนา “วิสัยทัศน์และการวางยุทธศาสตร์ป้องกันชายแดน” เปิดเผยตัวเลขปะทะ 4 คืน 5 วัน มีทหารบาดเจ็บกว่า 660 นาย เสียชีวิต 18 นาย ย้ำว่าการตัดสินใจในสนามรบต้องพิจารณาผลกระทบทางเศรษฐกิจ การเมือง และภาพลักษณ์ประเทศด้วย พร้อมยืนยันว่าการปฏิบัติการทุกครั้งเป็นไปเพื่อปกป้องผืนแผ่นดิน ไม่ใช่การรุกรานฝ่ายใด
ในวันเดียวกัน ผศ. อัครพงษ์ ค่ำคูณ อดีตคณบดีวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ และนักวิชาการผู้ศึกษาเขตแดนไทย–กัมพูชา เดินทางไปยื่นคำถามต่อ พล.ท.บุญสิน 4 ข้อ โดยมุ่งเน้นประเด็นเอกสารแผนที่และหลักเขต รวมถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพื้นที่พิพาทและเหตุการณ์ปะทะชายแดน- คำถามเกี่ยวกับแผนที่ L7016/L7017 มาตราส่วน 1:50,000 ในพื้นที่พิพาท เอกสารสำรวจแนวสันปันน้ำบริเวณปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย และบันทึกวาจาหลักเขตที่ 23 ของกรมทหารบก ปี 1909 ซึ่ง ผศ.อัครพงษ์ ขอให้แม่ทัพชี้แจงโดยสังเขป
- มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเหตุการณ์เผาศาลาตรีมุขและการปะทะที่ช่องบกเมื่อวันที่ 28 พ.ค. หรือไม่ และหากดำเนินการแล้ว ผลการสอบสวนเป็นอย่างไร เพื่อให้เป็นแนวทาง Best Practice สำหรับหน่วยงานอื่น ๆ
- กรณีการยิงจรวดและปืนใหญ่จากฝั่งกัมพูชา ที่ทำให้บ้านเรือนประชาชนเสียหาย มีผู้เสียชีวิตในร้านสะดวกซื้อและปั๊มน้ำมัน โดยถามว่าแม่ทัพคิดอย่างไรต่อเหตุการณ์นี้
- การเสียชีวิตของพลเรือนและทหาร รวมถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจและทรัพย์สิน
- คำถามเกี่ยวกับแผนที่ L7016/L7017 มาตราส่วน 1:50,000 ในพื้นที่พิพาท เอกสารสำรวจแนวสันปันน้ำบริเวณปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย และบันทึกวาจาหลักเขตที่ 23 ของกรมทหารบก ปี 1909 ซึ่ง ผศ.อัครพงษ์ ขอให้แม่ทัพชี้แจงโดยสังเขป
- 3 ก.ย. 2568 – รร.ปทุมวิไล จ.ปทุมธานี
- 4 ก.ย. 2568 – รร.สุรนารีวิทยา จ.นครราชสีมา
บรรยายในหัวข้อ “การปลูกฝังความรักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์” นักเรียนกว่า 1,500 คนเข้าร่วม ภายในงานมีขบวนธงชาติ การถ่ายรูปเซลฟี่และจับมือกับแม่ทัพ รวมถึงการแสดงบทกวีและส่งกำลังใจแก่ทหาร
- 4 ก.ย. 2568 – วิทยาลัยอาชีวศึกษานครราชสีมา
- 5 ก.ย. 2568 – รร.เตรียมอุดมศึกษา
บรรยายในหัวข้อ “The truth from Thailand” กว่า 1 ชั่วโมง ย้ำว่าความรู้ต้องคู่คุณธรรม พร้อมเตือนว่า คนเก่งแต่ไร้คุณธรรมคืออันตราย เชื่อมบทเรียนชายแดนกับการศึกษา โดยบอกว่าเยาวชนต้องเป็น “กำลังสำคัญของชาติ” ที่รักษาเอกราช และความสงบมั่นคง
- 16 ก.ย. 2568 – ม.ขอนแก่น
ทหารมีสิทธิ์อยู่ในสถานศึกษา
ซึ่งหมายความว่า “จะต้องถูกตั้งคำถามได้”
ผศ.ศิวพล ชมภูพันธ์ เปิดบทสนทนาโดยมองว่า การเดินสายบรรยายในโรงเรียนต่าง ๆ ของแม่ทัพภาคที่ 2 ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแต่สะท้อนทั้งบทบาททางการเมืองและภาพลักษณ์ของกองทัพที่ดำรงอยู่ในสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง หากมองย้อนกลับไป กองทัพไทยไม่เคยหายไปจากการเมือง เพียงแต่จะปรากฏเด่นชัดมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับจังหวะและสถานการณ์ทางการเมือง ความคาดหวังจากสังคมที่ต้องการให้กองทัพแสดงบทบาทในยามวิกฤต โดยเฉพาะวิกฤตการณ์ทางการเมือง ก็ยังมีอยู่เสมอ

การเดินสายบรรยายของแม่ทัพภาคที่ 2 โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน จึงเป็นเสมือนกระแสความนิยม ไม่ต่างอะไรกับปรากฏการณ์ของคนดังหรืออินฟลูเอนเซอร์คนหนึ่ง ซึ่งสอดรับกับวัฒนธรรมของคนไทยที่ได้รับความสนใจเพราะบุคลิกหรือคำพูดที่ตรงใจสังคมบางส่วน ซึ่งมีแนวคิดชาตินิยมและคาดหวังความเด็ดขาดจากผู้นำ
อย่างไรก็ตาม ผศ.ศิวพล มองว่า ทหารย่อมมีสิทธิเข้ามาในสถานศึกษา แต่สิ่งสำคัญคือเนื้อหาที่สื่อสาร หากเป็นการให้มุมมองด้านความมั่นคงโดยตั้งอยู่บนความเป็นกลางก็ถือว่าเป็นประโยชน์ แต่หากแฝงด้วยอคติหรือความพยายามชักจูง ก็อาจสร้างความน่ากังวล เพราะโครงสร้างของระบบการศึกษาไทยซึ่งมีความเป็นอนุรักษ์นิยมสูงอยู่แล้ว ทำให้การเข้ามาของกองทัพยิ่งเสริมภาพจำเดิมในแบบเรียน เช่น การเชื่อมโยงบทบาททหารกับการรักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือการผลิตซ้ำเรื่องราวประวัติศาสตร์การทหาร
“การปรากฎตัวของกองทัพในพื้นที่อย่างสถานศึกษา โดยปราศจากการตั้งคำถาม อาจสร้างความชอบธรรมให้กับการแทรกแซงทางการเมืองในอนาคต ซึ่งอาจถูกอธิบายได้ว่าเป็นการรักษาความสงบเช่นกัน”
ผศ.ศิวพล ชมภูพันธ์
‘ทหาร’ อาจใกล้ชิด ‘นักเรียน’ กว่าที่เราคิด
หนึ่งในคำถามใหญ่ของวิชารัฐศาสตร์ คือ พลเมืองที่ดีคืออะไร ? ซึ่งในระบอบประชาธิปไตย พลเมืองที่ดีควรมีส่วนร่วมทางการเมือง ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม แต่หากอยู่ภายใต้ระบอบที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ เสรีภาพถูกตีกรอบ การตั้งคำถามถึงภาครัฐเป็นเรื่องเสี่ยงภัย คำจำกัดความของพลเมืองที่ดี ในระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนไม่ใช่เจ้าของอำนาจสูงสุด จึงกลายเป็นผู้เชื่อฟังรัฐ แสดงความภักดี และสอดคล้องกับอุดมการณ์ที่รัฐต้องการ ซึ่งเหล่านี้เป็นค่านิยมแบบกองทัพที่ใช้ควบคุมกำลังพลและปกครองในระบบผู้บังคับบัญชา
“บทบาททหารไม่ใช่ผู้สร้างองค์ความรู้ใหม่
ผศ.ศิวพล ชมภูพันธ์
แต่เป็นผู้ทำให้อุดมการณ์ตามหลักสูตรเข้มข้นขึ้น”
ในมุมมองของ ผศ.ศิวพล การที่ทหารเข้าไปปลูกฝังแนวคิดพลเมืองที่ดี จึงเป็นกลไกสนับสนุนสิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการและรัฐไทยกำหนดไว้ในหลักสูตร คือการยึดมั่นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เช่น การรักชาติ สละตนเพื่อชาติ การทะนุบำรุงศาสนา และการจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งสอดคล้องกับค่านิยมแบบทหารที่มีความเป็นอนุรักษ์นิยมและแบ่งชนชั้นตามลำดับศักดิ์ แนวคิดดังกล่าวทำให้เกิดการแบ่งแยกพลเมืองที่ดี กับ พลเมืองที่ไม่ดี ซึ่งอาจถูกใช้เป็นเหตุผลในการกีดกัน หรือทำให้ความเห็นต่างถูกปฏิเสธไป


จากผลสำรวจเยาวชนไทย อายุ 15-25 ปีกว่า 13,000 คน ทั่วประเทศโดย 101 PUB เผยว่า แนวคิดทางสังคม-การเมืองของพวกเขามีแนวโน้มชาตินิยมมากขึ้น ให้ความสำคัญกับความหลากหลายและความเสมอภาคลดลง ไม่เชื่อมั่นในระบอบการเมือง สำหรับ ผศ.ศิวพล มองว่า แนวคิดชาตินิยมยังคงทำงานอยู่ตลอดในสังคม ไม่ว่าขณะนั้นทิศทางของสังคมจะหันซ้ายหรือขวา เมื่อใดก็ตามที่มี ภัยคุกคามใหม่ หรือมี อีกฝ่ายหนึ่งที่ไม่ใช่พวกเรา ปรากฏการณ์เหล่านี้จะปลุกเร้าความรู้สึกแบบชาตินิยมได้อย่างง่ายดาย และเสี่ยงผลักให้สังคมไทยเดินเข้าสู่วงจรความเกลียดชังและความรุนแรง
การที่ทหารเข้าไปสอนในโรงเรียน โดยเฉพาะวิชาประวัติศาสตร์ ยิ่งตอกย้ำปัญหานี้ แม้ทหารบางคนอาจมีความรู้ แต่คำถามสำคัญคือพวกเขาสอนประวัติศาสตร์แบบใด และเพื่อจุดประสงค์ใด ประวัติศาสตร์ที่ถูกเล่ามักเชื่อมโยงกับการเสียสละเพื่อชาติ และผูกโยงกับความภักดีต่อสถาบันหลัก จนทำให้ภาพของพลเมืองดี กลายเป็นเพียงการสอดคล้อง และไม่ตั้งคำถามต่อรัฐ สิ่งนี้สะท้อนการใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือกล่อมเกลา มากกว่าการสร้างพลเมืองที่มีวิจารณญาณ
ในยุคที่โลกเชื่อมโยงถึงกันมากขึ้น ปรากฏการณ์ชาตินิยมไทยกลับยังพึ่งพาการปลุกเร้าผ่านการเมืองและกระแสสื่อ มากกว่าการสร้างความเข้าใจอย่างมีเหตุผล หากยังยึดติดกับการผลิตซ้ำพลเมืองที่ดี แบบเชื่อฟังโดยปราศจากการตั้งคำถาม เราอาจได้สังคมที่มีความรักชาติสูง แต่ขาดการเคารพในความแตกต่าง และไม่พร้อมจะยืนอยู่ในฐานะพลเมืองโลก ที่เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญของโลกยุคร่วมสมัย ที่เราต้องก้าวข้ามพรมแดนของรัฐชาติ และให้คุณค่ากับมนุษยธรรมให้มากขึ้น
ก่อนเป็นทหาร คือการเป็นมนุษย์
ผศ.ศิวพล ยังทิ้งท้ายว่า ทหารควรทำหน้าที่ในฐานะ มนุษย์ ก่อนจะเป็น ทหารอาชีพ คือมีความเห็นใจ (โดยเฉพาะทหารระดับชั้นผู้ใหญ่ที่พึงตระหนักว่ามีพลทหารในบังคับบัญชาที่ซึ่งเป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน) ควรมองทุกอย่างอย่างเป็นกลาง และเล่าเรื่องภารกิจความมั่นคงอย่างตรงไปตรงมา ไม่ถูกแต่งเติมเกินจริง กองทัพสมัยใหม่ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับภาพวีรกรรมโบราณ แต่ควรแสดงบทบาททหารอาชีพที่รับผิดชอบหน้าที่เฉพาะด้านอย่างมืออาชีพ และหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ไม่ใช่หน้าที่ของกองทัพ

ส่วนโรงเรียนควรปรับวิธีสอนประวัติศาสตร์ และสังคมศึกษาให้มีมุมมองเชิงวิพากษ์ เปิดโอกาสให้นักเรียนตั้งคำถามต่อสิ่งที่ถูกปลูกฝัง ไม่ใช่เพียงการผลิตซ้ำความรักชาติแบบเข้มข้นที่เสี่ยงต่อการกลายเป็นคลั่งชาติ โดยเฉพาะครูวิชาสังคมศึกษาต้องทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ให้ข้อมูลรอบด้าน และชี้ให้เห็นว่าสังคมมีหลายแง่มุม เพื่อให้นักเรียนพัฒนาทักษะคิดวิเคราะห์มากกว่าท่องจำ
รัฐไทยตระหนักดีว่าการศึกษา คือ อาวุธทรงพลังของรัฐในการกล่อมเกลาพลเมือง ดังนั้นสิ่งที่บรรจุลงไปในการเรียนการสอนต้องมีคุณภาพและตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริง ไม่ใช่เพียงการสร้างอุดมการณ์แบบปิด
สังคมต้องเปิดพื้นที่ให้ทั้งทหาร ครู นักวิชาการ และประชาชนร่วมกันทบทวนว่า เราจะร่วมกันพัฒนาชาติในแบบที่ไม่ผลักดันไปสู่ความสุดโต่งได้อย่างไร โดยไม่เป็นการกลับไปซ้ำรอยที่หน้าประวัติศาสตร์เดิม